และพี่ ๆ น้อง ๆ รุ่น 1-2-3 ว.ท.บ Ceramic lampang ครับ
ผมโชคดีที่มีเพื่อนเป็นคนไต้ สายปัญญาชนเหล่านี้
ที่มีโอกาสได้เรียนด้วยกัน 4 ปี
และมีบางคนที่ยังได้อยู่ในสังคมเดียวกันมาจนถึงทุกวันนี้
ผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิด แนวทางการใช้ชีวิตกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ คนไต้มาตลอด 4 ปี
วันนี้ผมอยากสื่อไปถึงลูกหลานชาวสวนยางแดนไต้สักเล็กน้อย เอาแค่เท่าที่เป็นมุมมองที่ผมสัมผัสมาจริง....
เมฆ ลานสกา คนคอน เพื่อนผม
เคยพูดให้ผมฟังว่า
ชีวิตคู่ของคนทางโน้น หากเรารักใครชอบและใครให้ผู้ใหญ่ ไปสู่ขอนะ
ผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิงจะถามเลยครับว่า " มีสวนยางอยู่กี่ไร่ "
บร่ะ !!
ผมยัง งง
งงครับว่าเออทำไมต้องถามด้วย .....มายุ่งอะไรกับทรัพย์สมบัติตระกูลข้า
เพื่อนผมอธิบายว่า .....ถามเพื่อเป็นความมั่นใจว่า........
ทางฝ่ายชายจะดูแลฝ่ายหญิงได้ดี จากรายได้ของสวนยาง..... อ๋อ.... เอากันยังงี้เลยรึ
ถ้างั้นถ้าใครไม่มีสวนยาง....ก็ไม่มีเมียอ่ะดิเนี่ย...
ตลอดสี่ปี ที่ผมเรียนด้วยกัน
แม่ของเพื่อนมาจากลานสกา มีขึ้นมาเยี่ยมลูกชาย 2 ครั้ง
ครั้งแรกแม่ของเมฆ ขึ้นมา เอาวัตถุดิบ/เครื่องปรุงทำอาหารจากลานสกา เอามาทำให้ลูกกิน
และได้ให้เพื่อน ๆ ของลูกได้ลองกินกัน
นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้กินผัดสตอใส่กุ้ง และแกงเหลืองเมืองคอน
( ลำปางเมื่อ 20 ปีก่อนแทบไม่มีร้านอาหารแดนใต้ และถึงมีก็คงไม่มีปัญญาไปนั่งกินครับ )
ก็ได้ร่วมวงทานข้าว
ทักทายถามไถ่ก็ได้ใจความว่าที่ นคร ทำทั้งนาข้าวและสวนยาง
และพ่อแม่พี่น้องญาติมิตร ต่างทำกันเอง รายได้ดีก็อยู่กันได้สบายถึงขั้นส่งลูกมาเรียนเมืองเหนือเมื่อ 20 ปีก่อนก็ทำได้
ในยุคที่ผมคุยกับเพื่อน ๆ ชาวไต้ที่ผมกล่าวถึงนั้น
เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 2532-2536 ที่ผมเรียนด้วยกันครับ
============================================
แต่ห้าปี สิบปีให้หลังที่ผ่านมานี้
นายหัวชาวสวนยางเมืองใต้เปลี่ยนไปครับ !!
เมื่อยางเป็นพืชที่ทำรายได้ดี ฐานะทางครอบครัวของชาวสวนยางดีขึ้น
ความอยากสบาย
อยากเป็นนายหัวก็เป็นเทรนด์เป็นแฟชั่นที่เกิดขึ้น
และแข่งกันเองของนายหัวหน้าใหม่ ชาวสวนยางพารา
และเมื่อแรงงานอิสาน....เข้าไปรับจ้างกรีดยาง
โดยการแบ่งผลประโบชน์ 70:30 รึ 60:40 % ของรายได้
ก็ทำให้นายหัวชาวสวนยางยุคใหม่ ใช้ชึวิตกับการออกรถใหม่ ท่องเที่ยวชนวัว
รึนั่งจิบน้ำชา ฟังเสียงนกกรงหัวจุก ... นี่คือเรื่องจริงจากปากเพื่อนคนใต้ของผม
ในยุคยางราคาดี ขึ้นสุดขีด ปี 2553-2554 ( คงเป็นผลงานรัฐบาล มาร์คมั้ง 555 )
ในยุคนี้ เรืองรุ่งสุดขีด
นายหัวชาวสวนยาง ขับเบนท์หรู ขับสปอร์ตซิ่ง
เที่ยวท่องสบายใจสร้างภาระรายจ่ายเกินตัวจากความรักความชอบชีวิตหรู ๆ
และเสพติดความสบาย ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
เมื่อมาถึงตอนนี้ เมื่อราคายางพารามันลงตามตลาด จึงปรับตัวยอมรับไม่ได้
จึงกระโดดโลดเต้นว่าขาดทุน ตกต่ำต้องประท้วง 555++
แท้จริงแล้ว ....
นายหัวชาวสวนยางท่านไม่ได้หันกลับไปมองต้นตอปัญหาที่ท่านขาดรายได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักสบาย
เปิดหน้ายางกรีดแบบแบ่งสัดส่วนให้ลูกจ้างกรีดยางชาวอิสาน รึชาวต่างด้าว
ด้วยการจูงใจใคร่หาคนมาทำงานให้
บางรายตัดรายได้ให้คนกรีดถึง 50:50 แบบนั้มันจะไม่ขาดรายได้ไปได้อย่างไร
และผมขอสื่อว่า....
ไม่นานชาวอิสานที่ลงไปทำงานที่ใต้ ก็จะหอบเอาวิชาทำสวนยาง
กลับมาทำที่อิสานบ้านเกิดทั้งหมด
จากโครงการ ยางล้านไร่ ในยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งตอนนี้กำลังเริ่มเปิดกรีดหน้ายาง
และลองคิดดูครับว่า เมื่อท่าเรือทวายแผ่นดินพม่าเดินหน้าเต็มกำลัง
ที่นั่นจะสร้างงานกี่หมื่นกี่แสนตำแหน่ง รวมทั้งโครงการต่อเนื่องที่จะตามมาด้วย
ดังนั้นแรงงานต่างด้าวเค้าจะกลับไปทำงานที่บ้านเมืองเค้า
ท่านนายหัว จะทำอย่างไรกัน...หากไม่ปรับตัว
และรุ่นลูกรุ่นหลาน มีสักกี่มากน้อยที่ยังสนใจที่จะทำสวนหรือเอาวิชาความรู้ไปพัฒนาสวนยาง
ผมก็เห็นแต่ใช้ชีวิตสะดวกสบายของหนุ่มใต้รุ่นใหม่....ขับรถซิ่งรถแรงรถหรูกันเต็มบ้านเต็มเมือง
==============================================
ส.ส ปชป แดนไต้เอ๋ย......
ที่ท่านขู่จะเคาะจะขนคนทำสวนยางทั่วประเทศให้มาชุมนุมกันนั้น
ท่านโปรดอย่าได้ฝันกลางวันเลยครับ
หนึ่งละ.....ชาวสานยางแดนอิสานแดนเหนือ 80% คือคนเสื้อแดง
สองละ.....ชาวสวนยางแดนอิสานเค้าไม่ได้ทำสวนแบบที่ท่านทำ
ที่บ้านปู่ผม....บ้านคำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
พี่ชายผมเป็นข้าราชหาร ใช้เวลาทำสวนยางเองจากยามว่าง
ทำคนเดียวทุกขั้นตอน ปลูก ดูแล กรีด เก้บ ขาย ใช้เวลานอกราชการทำ
พี่ผม 1 คน มีกำลังทำเล่น ๆ ราว ๆ 7-8 ไร่ ( มากกว่านี้คนเดียวทำไม่ไหว )
เค้าเก็บขี้ยางขายได้ เดือนละราว ๆ 15,000-20,000 บาท
บวกกับรายได้จากงานประจำเดือนละราว ๆ หมื่นกว่า บาท
ครอบครัวพี่เค้า สามพ่อลูก ก็ดำเนินชีวิตกันได้ แบบชิล ๆ ตามสไตร์ลูกอิสาน
( ผมกับลูกสาวแวะไปดูพี่ชายกรีดยางตอนวันที่ 1 ม.ค 56 วันนั้นที่บ้านคำชะอี หนาวคอด ๆ )
ชาวสวนยางแดนอิสาน ไม่เหมือนสวนยางท่านท่านนายหัว ส.ส ประชาธิปัตย์ครับ
ชาวอิสานเค้าเริ่มต้นด้วยการไม่มีโอกาส
ต้องไปเรียนรู้เป็นลูกจ้างจากท่านในเมืองใต้
ด้วยค่านิยมความคิดที่ปลูกฝังกันมาว่า ยางพารานั้นปลูกได้แต่ที่แดนได้
ที่ไหนได้...แหกตากันชัด ๆ ......เวงกำ
ดังนั้น ท่าน ส.ส ป.ช.ป ผู้อยู่หลังม๊อบยางพารา
ท่านโปรดอย่าฝันกลางวันตอนแดดเปรี้ยง ๆ เลยครับ
เพราะสำหรับชาวสวนยางอิสานนั้น ราคายาง ก.ก แค่นี้ก็ดีกว่าการถูกบังคับให้ปลูกมันสำปะหลัง ก.ก ละ 2-3 บาท
ที่แต่ละครอบครัวทำกันคนละ 30-50 ไร่ แต่ทั้งปีขายได้ไม่กี่หมื่นบาท
ผมขอบอกครับว่าผมกลับบ้านปู่ คำชะอี มุกดาหารล่าสุด
ไร่มันสำปะหลังสุดลูกหูลูกตาที่ผมเคยเห็น......
ตลอดเส้นทาง ไป บ้านแก้งช้างเนียม ทางไปบ้านโนนสว่าง ยาวไปถึงภูศรีฐาน ( อดีตฐานที่มั่น ผ.ก.ค ) เต็มไปด้วยสวนยางพาราครับ
ผมขอสื่อไปยังพี่น้องชาวสวนยางแดนใต้ครับว่า
ตอนนี้หาใช่ว่าท่านจะเป็นผู้ผูกขาดกุมชะตาราคายางพารา
หากท่านไม่ปรับตัว ที่จะอยู่กับราคาตลาดโลก
และยิ่งในอนาคตยางพาราจากต่างประเทศแถบเพื่อนบ้าน
เปิดหน้ายางกรีด ราคาจะอยู่ในมือรายใหญ่
ซึ่งอีกไม่นาน ยางพารานับร้อยล้านไร่ จากตอนใต้ของจีนจะเปิดหน้ายางกรีด
และยางจาก สปป ลาว ที่นายทุนไทยข้ามไปลงทุนเช่า พื้นที่ปลูกนับล้านไร่จะออกมาสู่ตลาด
จึงขอสื่อไปด้วยความห่วงใยครับว่าหากไม่มีการปรับตัว
คนที่จะไปต่อไม่ได้คือพวกท่านเอง......
การที่ท่านออกมา ประท้วงขอกันหน้าซื่อ ๆ ว่า 120 บาทแบบไม่มีเหตุมีผล ไม่ฟังอะไรเลย มันจึงไม่มีน้ำหนักเลย
และขอถามย้อนไปตอนที่ราคาดี..ท่านได้ออกมาชื่นชอบชมเชย รึปรับกระบวนการอะไรบ้าง
เผื่อไว้ ครับ....
เผื่อว่าราคามันไม่ดีจะทำยังไง.......แต่นะ หากท่าน ๆ ทั้งหลายยังเสพติดการเป็นนายหัว ชอบชนวัว ชอบเลี้ยงนกกรง
แบบนั้น คงต้องวิธีการปก้ปัญหาราคายองแบบท่านชวน คือโค่นทิ้งแล้วปลูกจำปาดะ
หรือไม่ก็คงต้องอาศัยท่านสุเทพ เทือกสุบรรณแก้ไขปัญหาให้
ด้วยการเผาโกดังเก็บยางแผ่นสัก สองสามที่
แล้วราคามันจะดีมาเอง.....พับผ่าสิ เมพขิง ขิง ....สุเทพ เทือกสุบรรณ
============================================================= จบ
ป.ล 1 ขออภัยเพื่อน ๆ ชาวใต้ที่ผมเอาข้อความจากการสนทนากันเมื่อ 20 ปีก่อนมาเปิดเผยในที่สาธารณะนะคราบบ
ป.ล 2 ผมเขียนด้วยจิตปราถนาดี หาใช่จะประชดประชันท่านพี่น้องชาวสวนเมืองใต้
ท่านโปรดย้อนมองมาที่ความเป็นจริงของเนื้อหา...ผมเขียนตามที่ผมประสพพบเจอ
แต่ท่านอยู่กับความเป็นจริง ท่านย่อมทราบดีกว่าผม
...
ระลึกถึงลูกชาวสวนยาง เพื่อน ๆ พี่ ๆ คนไต้ที่เรียนด้วยกันมา เมฆ/ลานสกา/ย้อย พัทลุง/พี่แจง ยะลา/พี่ชา ระโนด ครับ
ผมโชคดีที่มีเพื่อนเป็นคนไต้ สายปัญญาชนเหล่านี้
ที่มีโอกาสได้เรียนด้วยกัน 4 ปี
และมีบางคนที่ยังได้อยู่ในสังคมเดียวกันมาจนถึงทุกวันนี้
ผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิด แนวทางการใช้ชีวิตกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ คนไต้มาตลอด 4 ปี
วันนี้ผมอยากสื่อไปถึงลูกหลานชาวสวนยางแดนไต้สักเล็กน้อย เอาแค่เท่าที่เป็นมุมมองที่ผมสัมผัสมาจริง....
เมฆ ลานสกา คนคอน เพื่อนผม
เคยพูดให้ผมฟังว่า
ชีวิตคู่ของคนทางโน้น หากเรารักใครชอบและใครให้ผู้ใหญ่ ไปสู่ขอนะ
ผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิงจะถามเลยครับว่า " มีสวนยางอยู่กี่ไร่ "
บร่ะ !!
ผมยัง งง
งงครับว่าเออทำไมต้องถามด้วย .....มายุ่งอะไรกับทรัพย์สมบัติตระกูลข้า
เพื่อนผมอธิบายว่า .....ถามเพื่อเป็นความมั่นใจว่า........
ทางฝ่ายชายจะดูแลฝ่ายหญิงได้ดี จากรายได้ของสวนยาง..... อ๋อ.... เอากันยังงี้เลยรึ
ถ้างั้นถ้าใครไม่มีสวนยาง....ก็ไม่มีเมียอ่ะดิเนี่ย...
ตลอดสี่ปี ที่ผมเรียนด้วยกัน
แม่ของเพื่อนมาจากลานสกา มีขึ้นมาเยี่ยมลูกชาย 2 ครั้ง
ครั้งแรกแม่ของเมฆ ขึ้นมา เอาวัตถุดิบ/เครื่องปรุงทำอาหารจากลานสกา เอามาทำให้ลูกกิน
และได้ให้เพื่อน ๆ ของลูกได้ลองกินกัน
นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้กินผัดสตอใส่กุ้ง และแกงเหลืองเมืองคอน
( ลำปางเมื่อ 20 ปีก่อนแทบไม่มีร้านอาหารแดนใต้ และถึงมีก็คงไม่มีปัญญาไปนั่งกินครับ )
ก็ได้ร่วมวงทานข้าว
ทักทายถามไถ่ก็ได้ใจความว่าที่ นคร ทำทั้งนาข้าวและสวนยาง
และพ่อแม่พี่น้องญาติมิตร ต่างทำกันเอง รายได้ดีก็อยู่กันได้สบายถึงขั้นส่งลูกมาเรียนเมืองเหนือเมื่อ 20 ปีก่อนก็ทำได้
ในยุคที่ผมคุยกับเพื่อน ๆ ชาวไต้ที่ผมกล่าวถึงนั้น
เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 2532-2536 ที่ผมเรียนด้วยกันครับ
============================================
แต่ห้าปี สิบปีให้หลังที่ผ่านมานี้
นายหัวชาวสวนยางเมืองใต้เปลี่ยนไปครับ !!
เมื่อยางเป็นพืชที่ทำรายได้ดี ฐานะทางครอบครัวของชาวสวนยางดีขึ้น
ความอยากสบาย
อยากเป็นนายหัวก็เป็นเทรนด์เป็นแฟชั่นที่เกิดขึ้น
และแข่งกันเองของนายหัวหน้าใหม่ ชาวสวนยางพารา
และเมื่อแรงงานอิสาน....เข้าไปรับจ้างกรีดยาง
โดยการแบ่งผลประโบชน์ 70:30 รึ 60:40 % ของรายได้
ก็ทำให้นายหัวชาวสวนยางยุคใหม่ ใช้ชึวิตกับการออกรถใหม่ ท่องเที่ยวชนวัว
รึนั่งจิบน้ำชา ฟังเสียงนกกรงหัวจุก ... นี่คือเรื่องจริงจากปากเพื่อนคนใต้ของผม
ในยุคยางราคาดี ขึ้นสุดขีด ปี 2553-2554 ( คงเป็นผลงานรัฐบาล มาร์คมั้ง 555 )
ในยุคนี้ เรืองรุ่งสุดขีด
นายหัวชาวสวนยาง ขับเบนท์หรู ขับสปอร์ตซิ่ง
เที่ยวท่องสบายใจสร้างภาระรายจ่ายเกินตัวจากความรักความชอบชีวิตหรู ๆ
และเสพติดความสบาย ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
เมื่อมาถึงตอนนี้ เมื่อราคายางพารามันลงตามตลาด จึงปรับตัวยอมรับไม่ได้
จึงกระโดดโลดเต้นว่าขาดทุน ตกต่ำต้องประท้วง 555++
แท้จริงแล้ว ....
นายหัวชาวสวนยางท่านไม่ได้หันกลับไปมองต้นตอปัญหาที่ท่านขาดรายได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักสบาย
เปิดหน้ายางกรีดแบบแบ่งสัดส่วนให้ลูกจ้างกรีดยางชาวอิสาน รึชาวต่างด้าว
ด้วยการจูงใจใคร่หาคนมาทำงานให้
บางรายตัดรายได้ให้คนกรีดถึง 50:50 แบบนั้มันจะไม่ขาดรายได้ไปได้อย่างไร
และผมขอสื่อว่า....
ไม่นานชาวอิสานที่ลงไปทำงานที่ใต้ ก็จะหอบเอาวิชาทำสวนยาง
กลับมาทำที่อิสานบ้านเกิดทั้งหมด
จากโครงการ ยางล้านไร่ ในยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งตอนนี้กำลังเริ่มเปิดกรีดหน้ายาง
และลองคิดดูครับว่า เมื่อท่าเรือทวายแผ่นดินพม่าเดินหน้าเต็มกำลัง
ที่นั่นจะสร้างงานกี่หมื่นกี่แสนตำแหน่ง รวมทั้งโครงการต่อเนื่องที่จะตามมาด้วย
ดังนั้นแรงงานต่างด้าวเค้าจะกลับไปทำงานที่บ้านเมืองเค้า
ท่านนายหัว จะทำอย่างไรกัน...หากไม่ปรับตัว
และรุ่นลูกรุ่นหลาน มีสักกี่มากน้อยที่ยังสนใจที่จะทำสวนหรือเอาวิชาความรู้ไปพัฒนาสวนยาง
ผมก็เห็นแต่ใช้ชีวิตสะดวกสบายของหนุ่มใต้รุ่นใหม่....ขับรถซิ่งรถแรงรถหรูกันเต็มบ้านเต็มเมือง
==============================================
ส.ส ปชป แดนไต้เอ๋ย......
ที่ท่านขู่จะเคาะจะขนคนทำสวนยางทั่วประเทศให้มาชุมนุมกันนั้น
ท่านโปรดอย่าได้ฝันกลางวันเลยครับ
หนึ่งละ.....ชาวสานยางแดนอิสานแดนเหนือ 80% คือคนเสื้อแดง
สองละ.....ชาวสวนยางแดนอิสานเค้าไม่ได้ทำสวนแบบที่ท่านทำ
ที่บ้านปู่ผม....บ้านคำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
พี่ชายผมเป็นข้าราชหาร ใช้เวลาทำสวนยางเองจากยามว่าง
ทำคนเดียวทุกขั้นตอน ปลูก ดูแล กรีด เก้บ ขาย ใช้เวลานอกราชการทำ
พี่ผม 1 คน มีกำลังทำเล่น ๆ ราว ๆ 7-8 ไร่ ( มากกว่านี้คนเดียวทำไม่ไหว )
เค้าเก็บขี้ยางขายได้ เดือนละราว ๆ 15,000-20,000 บาท
บวกกับรายได้จากงานประจำเดือนละราว ๆ หมื่นกว่า บาท
ครอบครัวพี่เค้า สามพ่อลูก ก็ดำเนินชีวิตกันได้ แบบชิล ๆ ตามสไตร์ลูกอิสาน
( ผมกับลูกสาวแวะไปดูพี่ชายกรีดยางตอนวันที่ 1 ม.ค 56 วันนั้นที่บ้านคำชะอี หนาวคอด ๆ )
ชาวสวนยางแดนอิสาน ไม่เหมือนสวนยางท่านท่านนายหัว ส.ส ประชาธิปัตย์ครับ
ชาวอิสานเค้าเริ่มต้นด้วยการไม่มีโอกาส
ต้องไปเรียนรู้เป็นลูกจ้างจากท่านในเมืองใต้
ด้วยค่านิยมความคิดที่ปลูกฝังกันมาว่า ยางพารานั้นปลูกได้แต่ที่แดนได้
ที่ไหนได้...แหกตากันชัด ๆ ......เวงกำ
ดังนั้น ท่าน ส.ส ป.ช.ป ผู้อยู่หลังม๊อบยางพารา
ท่านโปรดอย่าฝันกลางวันตอนแดดเปรี้ยง ๆ เลยครับ
เพราะสำหรับชาวสวนยางอิสานนั้น ราคายาง ก.ก แค่นี้ก็ดีกว่าการถูกบังคับให้ปลูกมันสำปะหลัง ก.ก ละ 2-3 บาท
ที่แต่ละครอบครัวทำกันคนละ 30-50 ไร่ แต่ทั้งปีขายได้ไม่กี่หมื่นบาท
ผมขอบอกครับว่าผมกลับบ้านปู่ คำชะอี มุกดาหารล่าสุด
ไร่มันสำปะหลังสุดลูกหูลูกตาที่ผมเคยเห็น......
ตลอดเส้นทาง ไป บ้านแก้งช้างเนียม ทางไปบ้านโนนสว่าง ยาวไปถึงภูศรีฐาน ( อดีตฐานที่มั่น ผ.ก.ค ) เต็มไปด้วยสวนยางพาราครับ
ผมขอสื่อไปยังพี่น้องชาวสวนยางแดนใต้ครับว่า
ตอนนี้หาใช่ว่าท่านจะเป็นผู้ผูกขาดกุมชะตาราคายางพารา
หากท่านไม่ปรับตัว ที่จะอยู่กับราคาตลาดโลก
และยิ่งในอนาคตยางพาราจากต่างประเทศแถบเพื่อนบ้าน
เปิดหน้ายางกรีด ราคาจะอยู่ในมือรายใหญ่
ซึ่งอีกไม่นาน ยางพารานับร้อยล้านไร่ จากตอนใต้ของจีนจะเปิดหน้ายางกรีด
และยางจาก สปป ลาว ที่นายทุนไทยข้ามไปลงทุนเช่า พื้นที่ปลูกนับล้านไร่จะออกมาสู่ตลาด
จึงขอสื่อไปด้วยความห่วงใยครับว่าหากไม่มีการปรับตัว
คนที่จะไปต่อไม่ได้คือพวกท่านเอง......
การที่ท่านออกมา ประท้วงขอกันหน้าซื่อ ๆ ว่า 120 บาทแบบไม่มีเหตุมีผล ไม่ฟังอะไรเลย มันจึงไม่มีน้ำหนักเลย
และขอถามย้อนไปตอนที่ราคาดี..ท่านได้ออกมาชื่นชอบชมเชย รึปรับกระบวนการอะไรบ้าง
เผื่อไว้ ครับ....
เผื่อว่าราคามันไม่ดีจะทำยังไง.......แต่นะ หากท่าน ๆ ทั้งหลายยังเสพติดการเป็นนายหัว ชอบชนวัว ชอบเลี้ยงนกกรง
แบบนั้น คงต้องวิธีการปก้ปัญหาราคายองแบบท่านชวน คือโค่นทิ้งแล้วปลูกจำปาดะ
หรือไม่ก็คงต้องอาศัยท่านสุเทพ เทือกสุบรรณแก้ไขปัญหาให้
ด้วยการเผาโกดังเก็บยางแผ่นสัก สองสามที่
แล้วราคามันจะดีมาเอง.....พับผ่าสิ เมพขิง ขิง ....สุเทพ เทือกสุบรรณ
============================================================= จบ
ป.ล 1 ขออภัยเพื่อน ๆ ชาวใต้ที่ผมเอาข้อความจากการสนทนากันเมื่อ 20 ปีก่อนมาเปิดเผยในที่สาธารณะนะคราบบ
ป.ล 2 ผมเขียนด้วยจิตปราถนาดี หาใช่จะประชดประชันท่านพี่น้องชาวสวนเมืองใต้
ท่านโปรดย้อนมองมาที่ความเป็นจริงของเนื้อหา...ผมเขียนตามที่ผมประสพพบเจอ
แต่ท่านอยู่กับความเป็นจริง ท่านย่อมทราบดีกว่าผม
...