มองไปที่เวที” สภาปฏิรูป” ออกจะเห็นภาพ “ ปาหี่” ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเชิญตัวแทนเครือข่าย่าง ๆ และภาคธุรกิจเอกชน มาช่วยกันหารือ ทางออกใหม่ ครั้งใหญ่หลวง ให้แก่ประเทศไทย โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นประธาน ในวันอาทิตย์ ที่ 25 สิงหาคม 2556 นับเป็นเรื่อง ดี
แต่คนไทยเราคงจะยังจำกันได้ดี ว่า แนวทางเช่นนี้ ได้มีความ พยายามทำกันมาหลายครั้งแล้ว
ครั้งแรก 1 พฤษภา 2552 อภิสิทธิ์ ได้ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อปฏิรูปการเมือง และศึกษาการแก้ไขรับธรรมนูญ โดยมีนายดิเรก ถึงฝั่ง เป็นประธารกรรมการ ได้ดำเนินการนำเสนอบทบาททั้งการปฏิรูปการเมืองและอื่น ๆหลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนจากทุกภาคส่วน และที่สำคัญ ต้องปฏิรูปตัวและจริยธรรมของนักการเมือง ผู้ที่เป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้ง! !
ครั้งที่ 2. มิถุนา 2553 ครม.นายอภิสิทธิ์ แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อการศึกษาปัญหารากเหง้าของความขัดแย้ง จำนวน 5 คณะ 1. คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (ครป.) มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน
2. คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ มี น.พ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ทั้ง2โครงการนี้เน้นปัญหาของโครงสร้างอำนาจรัฐ
3. คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดย นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน
4. คณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ ( คอป.) โดยนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน
แต่ ข้อเสนอทั้งหมด ของคณะกรรมการทุกคณะ ล้วนถูกแขวนให้ฝุ่นจับไว้บนหิ้ง แล้วปล่อยให้ปัญหาต่าง ๆ คงจมปลักหมักหมมอยู่ในบ้านเมืองต่อๆ ไป
ขณะที่ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีความเห็นว่า .......เวทีสภาปฏิรูป ไม่ได้มุ่งแก้ต้นตอแห่งปัญหาที่แท้จริง ซึ่ง เกิดจากตัวการเมือง จริยธรรม และ พฤติกรรมของนักการเมือง
บทสรุปจากเวทีพูคุย เพื่อหาทางออกให้แก่ประเทศไทยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นี้ คงไม่แตกต่างอะไรกับเวทีต่างๆ ที่มีมาแล้ว แต่ จะมีการนำไปปฏิบัติอย่างไร น่าติดตาม
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาล ไม่เปิดใจ สนใจ รับฟังความเห็นที่ หลากหลาย มาแปรเป็นแนวทางปฏิบัติ ทุกสิ่ง ก็ ไร้บอย
ทั้งหมดนี้ ขอประมวลมาจาก หนังสือพิมพ์ “คมชัดลึก” จึง ขออนุญาต และ ขอบคุณ
อยากเห็นความจริงใจที่ จะมีต่อ ความสงบของประเทศ
มองไปที่เวที” สภาปฏิรูป” ออกจะเห็นภาพ “ ปาหี่” ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเชิญตัวแทนเครือข่าย่าง ๆ และภาคธุรกิจเอกชน มาช่วยกันหารือ ทางออกใหม่ ครั้งใหญ่หลวง ให้แก่ประเทศไทย โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นประธาน ในวันอาทิตย์ ที่ 25 สิงหาคม 2556 นับเป็นเรื่อง ดี
แต่คนไทยเราคงจะยังจำกันได้ดี ว่า แนวทางเช่นนี้ ได้มีความ พยายามทำกันมาหลายครั้งแล้ว
ครั้งแรก 1 พฤษภา 2552 อภิสิทธิ์ ได้ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อปฏิรูปการเมือง และศึกษาการแก้ไขรับธรรมนูญ โดยมีนายดิเรก ถึงฝั่ง เป็นประธารกรรมการ ได้ดำเนินการนำเสนอบทบาททั้งการปฏิรูปการเมืองและอื่น ๆหลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนจากทุกภาคส่วน และที่สำคัญ ต้องปฏิรูปตัวและจริยธรรมของนักการเมือง ผู้ที่เป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้ง! !
ครั้งที่ 2. มิถุนา 2553 ครม.นายอภิสิทธิ์ แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อการศึกษาปัญหารากเหง้าของความขัดแย้ง จำนวน 5 คณะ 1. คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (ครป.) มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน
2. คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ มี น.พ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ทั้ง2โครงการนี้เน้นปัญหาของโครงสร้างอำนาจรัฐ
3. คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดย นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน
4. คณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ ( คอป.) โดยนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน
แต่ ข้อเสนอทั้งหมด ของคณะกรรมการทุกคณะ ล้วนถูกแขวนให้ฝุ่นจับไว้บนหิ้ง แล้วปล่อยให้ปัญหาต่าง ๆ คงจมปลักหมักหมมอยู่ในบ้านเมืองต่อๆ ไป
ขณะที่ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีความเห็นว่า .......เวทีสภาปฏิรูป ไม่ได้มุ่งแก้ต้นตอแห่งปัญหาที่แท้จริง ซึ่ง เกิดจากตัวการเมือง จริยธรรม และ พฤติกรรมของนักการเมือง
บทสรุปจากเวทีพูคุย เพื่อหาทางออกให้แก่ประเทศไทยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นี้ คงไม่แตกต่างอะไรกับเวทีต่างๆ ที่มีมาแล้ว แต่ จะมีการนำไปปฏิบัติอย่างไร น่าติดตาม
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาล ไม่เปิดใจ สนใจ รับฟังความเห็นที่ หลากหลาย มาแปรเป็นแนวทางปฏิบัติ ทุกสิ่ง ก็ ไร้บอย
ทั้งหมดนี้ ขอประมวลมาจาก หนังสือพิมพ์ “คมชัดลึก” จึง ขออนุญาต และ ขอบคุณ