เนื่องจากเหตุการณ์ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยยากของชาวหุ้นทุกคน แม้แต่ผมเองเช่นกัน ยอมรับว่าความตึงเครียดมีมากขึ้น แม้ว่าขณะนี้พอร์ตโดยรวมในปีนี้ยังโตขึ้นมาจากเมื่อปลายปี 2555 อยู่ 12 %(ไม่รวมปันผล) ก็ตาม แต่ก็ลดลงจากช่วงที่พอร์ตเติบโตสูงสุดเมื่อเดือน พฤษภาคม ที่พอร์ตผมบวกอยู่ประมาณ 20 % โดย ดัชนีตลาดปีนี้ได้ไปทำจุดสูงสุดที่ 1650 จุด และล่าสุด ดัชนีอยู่ที่ 1338 จุด นับว่าลงมาประมาณ 19% หรือถ้าเทียบจากต้นปีเป็นต้นมา จากเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2555 ดัชนีปิดที่ 1391 จุด เท่ากับว่าขณะนี้ผลตอบแทนของตลาดได้ติดลบไปแล้ว 3.8 %
จากที่ผมจับอารมณ์ความรู้สึกของนักลงทุนผ่านห้องสินธร ช่วงนี้เมื่อเทียบกับช่วงก่อนกลางเดือนมีนาคม หรือก่อนการปรับฐานครั้งแรก เป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังใจ ความมั่นใจของนักลงทุนทุกท่านล้วนเต็มเปี่ยม ความกระตือรือร้นในการเข้าลงทุนมีมากมาย กระทู้ที่พูดถึงหุ้นแต่ละตัวในด้านบวกมีมาก แต่ละคนนำพอร์ตมาโชว์ด้วยความสุข(รวมถึงผมด้วยเช่นกัน) กระทู้แต่ละวันมีมากมาย ล้วนแต่ถามว่าเข้าตัวไหนดี เวลานั้นหากใครมองลงจะกลายเป็นตัวประหลาดทันที แต่ขณะนี้กลับแตกต่างกัน เพราะเริ่มขาดทุนในหุ้น บางคนคัทลอสไปแล้ว ขณะที่หลายคนยังสู้อยู่ บางคนสู้จนหมดกระสุนแล้ว ก็ได้ให้กำลังใจและเรียนรู้ที่จะปรับตัวอยู่กับภาวะที่พอร์ตติดลบและมีแววว่าจะลบไปเรื่อยๆ แต่ยังมีอีกหลายคนที่เริ่มรู้สึกขยาดและรับรู้ได้อย่างดีถึงความโหดร้ายของตลาดหุ้นว่ามันช่างเหนื่อยและสาหัสกว่าที่คิด วาดไว้เยอะ เทียบกับช่วงก่อนเข้ามาลงทุน
ส่วนตัวผมเองที่เป็นนักลงทุนที่ผ่านประสบการณ์ระดับกลางๆ คือประมาณ 9 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมาระดับหนึ่ง รวมถึงช่วง Sub-Prime ยังจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ เลยขอย้อนเล่าความหลังกลับไปช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาโหดร้ายที่สุดของช่วงเวลา Sub-Prime ดังนี้ครับ
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551 เช้าวันนั้นผมตื่นมารับทราบข่าวร้ายที่เกิดจากอีกซีกโลกหนึ่ง ทั้งดัชนีฝั่งยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ได้ถึงคราววิกฤติอย่างหนักด้วยการติดลบลงอย่างรุนแรงเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง คือลดลงในวันเดียวถึง 774 จุด คือลงมาจาก 11139 ลงมาปิดที่ 10365 จุด หรือคิดเป็นเกือบ 7 % วันนั้นผมรู้สึกว่าคงต้องเป็นอีกวันที่หนักแน่ๆ และผมเองก็รับรู้ถึงความกดดันและตึงเครียด แม้ว่าขณะนั้นผมล้างพอร์ตไปแล้วก็ตาม โดยพอร์ตตัวเองได้ติดลบจากช่วงกลางปีประมาณ 15 % แต่มีเงินสด 100 % ในวันนั้นยอมรับว่าไม่กล้าที่จะซื้อหรือทำอะไร โดยเช้าวันนั้น ดัชนีได้เปิดที่ 568 จุด จากวันก่อนหน้า แถว 600 จุด หรือเปิดลบมาเกือบๆ 6 % ผมเลือกที่จะอยู่เฉยๆเพราะความกลัวในสภาพตลาดที่ผันผวนรุนแรง และในที่สุดดัชนีกลับมาขึ้นมาจากจุดต่ำสุดได้เกือบ 5 % โดยผมไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อตอนเย็นกลับมาดูกราฟ มันเกิดแท่งเขียวยาวมาก โดยดูน่าจะทำ Double Bottom เพราะก่อนหน้านี้ก็เกิดแรงซื้อกลับมาตอนดัชนีลงไปแถว 570 จุด วันต่อมาดัชนีก็กลับมายืนได้ 2 วัน
นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างยืนยันตรงกันว่า ในรอบนี้ดัชนีน่าจะทำจุดต่ำสุดไปแล้ว ด้วย Big Hammer และ Double Bottom ผมเองก็มีความรู้สึกว่ากลัวที่จะตกรถ และต้องการเอาคืนกลับส่วนที่เสียไป โดยกะว่าเล่นเพียงเด้ง เพราะจริงๆก็ไม่ไว้ใจในสถานการณ์ เลยเข้าไปดูในหุ้นรายตัว พบว่า QH ลงมามากแล้วจากแถวๆ 3 บาท จนหลุด 2 บาท เหลือเพียง 1.75 โดย P/E vอยู่เพียงประมาณ 10 เท่า และ P/BV เพียง 1.5 เท่า เลยเข้าไปรับที่ 1.75 ประมาณครึ่งพอร์ต และ TTA กับ PTT ที่ 17 บาท และ PTT 206 อีกอย่างละ 1 ใน 4 เท่ากับทุ่มไปเต็มพอร์ตกับหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม โดยหารู้ไม่ว่าการเริ่มต้นซื้อในวันแรกของเดือนตุลาคมนั้นจะต้องเจอกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตการลงทุนซึ่งกำลังรออยู่เบื้องหน้า
หมายเหตุ ถ้าท่านอ่านแล้วเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนักลงทุนด้วยกัน โปรดกดบวกเพื่อเป็นวิทยาทานต่อกันด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
แชร์ประสบการณ์ช่วง Sub-Prime (ผมผ่านมาได้อย่างไร)
จากที่ผมจับอารมณ์ความรู้สึกของนักลงทุนผ่านห้องสินธร ช่วงนี้เมื่อเทียบกับช่วงก่อนกลางเดือนมีนาคม หรือก่อนการปรับฐานครั้งแรก เป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังใจ ความมั่นใจของนักลงทุนทุกท่านล้วนเต็มเปี่ยม ความกระตือรือร้นในการเข้าลงทุนมีมากมาย กระทู้ที่พูดถึงหุ้นแต่ละตัวในด้านบวกมีมาก แต่ละคนนำพอร์ตมาโชว์ด้วยความสุข(รวมถึงผมด้วยเช่นกัน) กระทู้แต่ละวันมีมากมาย ล้วนแต่ถามว่าเข้าตัวไหนดี เวลานั้นหากใครมองลงจะกลายเป็นตัวประหลาดทันที แต่ขณะนี้กลับแตกต่างกัน เพราะเริ่มขาดทุนในหุ้น บางคนคัทลอสไปแล้ว ขณะที่หลายคนยังสู้อยู่ บางคนสู้จนหมดกระสุนแล้ว ก็ได้ให้กำลังใจและเรียนรู้ที่จะปรับตัวอยู่กับภาวะที่พอร์ตติดลบและมีแววว่าจะลบไปเรื่อยๆ แต่ยังมีอีกหลายคนที่เริ่มรู้สึกขยาดและรับรู้ได้อย่างดีถึงความโหดร้ายของตลาดหุ้นว่ามันช่างเหนื่อยและสาหัสกว่าที่คิด วาดไว้เยอะ เทียบกับช่วงก่อนเข้ามาลงทุน
ส่วนตัวผมเองที่เป็นนักลงทุนที่ผ่านประสบการณ์ระดับกลางๆ คือประมาณ 9 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมาระดับหนึ่ง รวมถึงช่วง Sub-Prime ยังจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ เลยขอย้อนเล่าความหลังกลับไปช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาโหดร้ายที่สุดของช่วงเวลา Sub-Prime ดังนี้ครับ
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551 เช้าวันนั้นผมตื่นมารับทราบข่าวร้ายที่เกิดจากอีกซีกโลกหนึ่ง ทั้งดัชนีฝั่งยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ได้ถึงคราววิกฤติอย่างหนักด้วยการติดลบลงอย่างรุนแรงเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง คือลดลงในวันเดียวถึง 774 จุด คือลงมาจาก 11139 ลงมาปิดที่ 10365 จุด หรือคิดเป็นเกือบ 7 % วันนั้นผมรู้สึกว่าคงต้องเป็นอีกวันที่หนักแน่ๆ และผมเองก็รับรู้ถึงความกดดันและตึงเครียด แม้ว่าขณะนั้นผมล้างพอร์ตไปแล้วก็ตาม โดยพอร์ตตัวเองได้ติดลบจากช่วงกลางปีประมาณ 15 % แต่มีเงินสด 100 % ในวันนั้นยอมรับว่าไม่กล้าที่จะซื้อหรือทำอะไร โดยเช้าวันนั้น ดัชนีได้เปิดที่ 568 จุด จากวันก่อนหน้า แถว 600 จุด หรือเปิดลบมาเกือบๆ 6 % ผมเลือกที่จะอยู่เฉยๆเพราะความกลัวในสภาพตลาดที่ผันผวนรุนแรง และในที่สุดดัชนีกลับมาขึ้นมาจากจุดต่ำสุดได้เกือบ 5 % โดยผมไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อตอนเย็นกลับมาดูกราฟ มันเกิดแท่งเขียวยาวมาก โดยดูน่าจะทำ Double Bottom เพราะก่อนหน้านี้ก็เกิดแรงซื้อกลับมาตอนดัชนีลงไปแถว 570 จุด วันต่อมาดัชนีก็กลับมายืนได้ 2 วัน
นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างยืนยันตรงกันว่า ในรอบนี้ดัชนีน่าจะทำจุดต่ำสุดไปแล้ว ด้วย Big Hammer และ Double Bottom ผมเองก็มีความรู้สึกว่ากลัวที่จะตกรถ และต้องการเอาคืนกลับส่วนที่เสียไป โดยกะว่าเล่นเพียงเด้ง เพราะจริงๆก็ไม่ไว้ใจในสถานการณ์ เลยเข้าไปดูในหุ้นรายตัว พบว่า QH ลงมามากแล้วจากแถวๆ 3 บาท จนหลุด 2 บาท เหลือเพียง 1.75 โดย P/E vอยู่เพียงประมาณ 10 เท่า และ P/BV เพียง 1.5 เท่า เลยเข้าไปรับที่ 1.75 ประมาณครึ่งพอร์ต และ TTA กับ PTT ที่ 17 บาท และ PTT 206 อีกอย่างละ 1 ใน 4 เท่ากับทุ่มไปเต็มพอร์ตกับหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม โดยหารู้ไม่ว่าการเริ่มต้นซื้อในวันแรกของเดือนตุลาคมนั้นจะต้องเจอกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตการลงทุนซึ่งกำลังรออยู่เบื้องหน้า
หมายเหตุ ถ้าท่านอ่านแล้วเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนักลงทุนด้วยกัน โปรดกดบวกเพื่อเป็นวิทยาทานต่อกันด้วยครับ ขอบพระคุณครับ