ไม้ผี...
ราสส์ กิโลหก
นาฬิกาข้างฝาบ้านตีบอกเวลาเที่ยงคืน ด้านนอกมืดสนิทเพราะแถวนี้มีบ้านผู้คนไม่แออัดออกจะเปลี่ยวๆด้วยซ้ำ ผมยังนั่งอยู่หน้าจอทีวี นั่งอยู่คนเดียว เมียผมเข้านอนไปนานแล้ว วันนี้เป็นวันศุกร์จึงไม่กังวลกับการตื่นนอนในวันรุ่งขึ้นเพราะไม่ต้องไปทำงาน กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆดูนั่นดูนี่ เพราะยังไม่ง่วง บรรยากาศในช่วงที่ดึกดื่นเที่ยงคืนเงียบสงัด นานๆครั้งได้ยินเสียงหมาเห่าแว่วดังจากที่ไกล ไม่มีอะไรดูแล้วปิดทีวี .ลุกจากเก้าอี้ยืนบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ เดินไปที่หน้าต่างมองผ่านออกไปนอกตัวบ้าน ยังคิดว่าความมืดกับความเงียบมักจะอยู่ด้วยกัน ท้องฟ้าไร้ดวงดาว ไอ้ด่าง นางแต๋น นางม่อน ซุกตัวนอนกันเงียบอยู่ใกล้ประตูรั้วหน้าบ้าน ที่เสารั้วมีไฟฟ้าดวงเล็กๆให้ความสว่างอยู่ เห็นพวกมันนอนกันอย่างสบายอารมณ์ ยังนึกอิจฉาว่าเกิดเป็นหมาแสนสบาย ไม่ต้องคิดอะไรมาก วิ่งเล่นกันไปมา เมื่อได้เวลาก็มีอาหารมาให้กิน งานก็ไม่หนักใช้เสียงเห่าอย่างเดียว และคอยกระดิกหางต้อนรับเวลาที่เจ้านายกลับมา บ้านผมตั้งอยู่ชานเมือง ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นซอยแยกเข้ามา ตลอดซอยมีบ้านไม่มากนัก นับหลังได้ ตรงไหนไม่มีบ้านคนก็รกครึ้มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ถนนหนทางยังเป็นดินลูกรัง ไฟฟ้าริมถนนไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีให้ ถ้าวันไหนฝนตกหนักยังมีปูปลาออกมาว่ายน้ำเล่นบนถนน เป็นที่สนุกสนานตามประสาปูปลา..
ด้านตรงกันข้ามหน้าบ้านไม่ตรงซะที่เดียวแต่เยื้องๆไปสัก 20 เมตรเป็นบ้านไม้สองชั้นสีฟ้าอ่อน มีกำแพงคอนกรีตเป็นรั้ว เจ้าของบ้านเป็นทหารเกษียณอายุแล้วแต่ด้วยความขยันและเป็นทหารเก่าจึงออกไปสมัครเป็นยามให้กับโรงงานเล็กๆแห่งหนึ่ง อยู่ห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร จ่าเย็นคือชื่อของแก จ่าเย็นรูปร่างผอมเกร็งท่าทางแข็งแรง ตอนไปทำงานแกขี่รถจักรยานสองล้อไป แสดงถึงความแข็งแกร่งของร่างกายไม่เสียชื่อทหารเก่า ท่าทางการขี่ของจ่า แกจะขี่ไปเรื่อยๆเหมือนรถมีเกียร์เดียว ความเร็วสม่ำเสมอ นี่คงเป็นเคล็ดลับในการขี่รถจักรยานซึ่งจะทำให้ไม่เหนื่อย แกจะขี่ออกจากบ้านในตอนเย็นและกลับเข้าบ้านตอนเช้า ตามลักษณะของยามทั่วๆไป ไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการไปทำงานของแก ด้วยความขยันหมั่นเพียรไปทำงานไม่กี่ปีก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ายาม
ภาพที่ผมเห็นเป็นประจำในตอนเช้าคือเมื่อผมออกจากบ้านจะไปทำงาน จะสวนกับจ่าเย็นขี่จักรยานสองล้อ ใส่หมวกแก๊ปสีขี้ม้า ชุดยามสีเทาเข้ม ใส่แว่นตาสีดำเก่าๆเพื่อกลับบ้าน ส่วนตอนเย็นผมเลิกงานกลับบ้านก็เจอแกแต่งตัวออกไปทำงาน จุดประสงค์ดูแตกต่างกัน อีกคนไปทำงาน แต่อีกคนกลับบ้าน..ผมไม่รู้ว่าแกได้เงินเดือนเท่าใด เพราะเห็นแล้วรู้สึกเหนื่อยแทน การขี่จักรยานไปกลับวันละ 20 กิโลฯไม่ใช่สิ่งง่ายสำหรับคนแก่อายุเลย 60 ยังคิดว่าคนแบบนี้คงอายุยืนตายยากเพราะออกกำลังกายทุกวัน..ร่างกายต้องแข็งแรง
*************************************************************
อากาศนอกตัวบ้านเย็นจนรู้สึกได้แม้ยืนอยู่ในบ้าน ผมยังคงยืนอยู่ที่หน้าต่างมองไปที่ถนนหน้าบ้านตรงประตูรั้วมีไฟดวงเล็กๆให้ความสว่างอยู่ ลมพัดเบาๆแลเห็นกิ่งไม้ใบหญ้าเอนไปมา ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆให้เห็น ความเงียบปกคลุมรอบตัวจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นตุ๊บๆ...เอามือป้องปากหาวนอนคิดว่าคงต้องเข้านอนเสียที หันหลังกลับเพื่อจะเข้าห้อง..
ทันใดนั้น หูได้ยินเสียงหมาหอนแว่วๆมาจากทางปากซอย นึกแปลกใจว่าธรรมดาแล้วในตอนดึกๆหากมีผู้คนเดินเข้ามาตามถนน มันจะเห่ากันเป็นช่วง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ มันเห่าหอนเสียงยาวโหยหวน เสียงนี้จะไล่เรียงกันมา เหมือนหอนตามหลังอะไรสักอย่าง ทำให้ผมต้องหันกลับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง นึกสงสัยว่าพวกมันเห่าหอนอะไรกัน เพราะไม่เคยได้ยินส่งเสียงกันระงมแบบนี้ จู่ๆเสียงหยุดลง แต่ผมต้องขนลุกซู่ด้วยความตกใจ เพราะเจ้าหมาสามตัวในบ้านที่นอนอยู่ข้างรั้ว พากันลุกขึ้นโก่งคอหอนพร้อมกันทั้งสามตัว ในบรรยากาศเช่นนี้เสียงร้องโหยหวนทำให้ใจหวั่นไหวเยือกเย็นจนบอกไม่ถูก มันหอนอะไรกัน ผมพยายามมองหาสิ่งนั้น และแล้วสายตาผมก็กระทบกับสิ่งที่พวกหมาพากันหอนรับ เห็นเป็นเงาดำกำลังเคลื่อนไหวผ่านเสารั้วที่มีดวงไฟเล็กๆให้ความสว่างอยู่ เพ่งสายตาด้วยความสนใจ พอสายตาปรับภาพได้ชัดเจน จึงเห็นว่า สิ่งนั้นคือจ่าเย็นนั่นเอง หมวกของแก ชุดของแก และจักรยานของแกผมจำได้แม่นยำ แถวนี้ไม่มีใครที่มีลักษณะอย่างนี้ แกขี่ผ่านไปเงียบๆไม่ได้สนใจกับเจ้าหมาสามตัวที่โก่งคอร้องตามหลัง
ผมแปลกใจว่าทำไมวันนี้จ่าเย็นกลับมาดึกดื่นเที่ยงคืน ธรรมดาแกต้องกลับตอนเช้า เวลาประมาณ 8 โมงเช้าทุกวันเป็นกิจวัตร หรือแกมีอะไรสำคัญเร่งด่วนจนต้องรับกลับมาบ้าน ผมมองตามไปจนภาพจ่าเย็นหายไปในความมืด ข้องใจอยู่นิดๆแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร ..หันกลับเข้าห้องนอนเพราะดึกมากแล้ว..
ตื่นนอนแต่เช้า วันนี้วันเสาร์ไม่ต้องไปทำงาน เดินเตร่ไปทางบ้านจ่าเย็นด้วยความสอดรู้สอดเห็น เพราะคิดว่าคนที่บ้านจ่าเย็นอาจจะมีใครเป็นอะไรสักอย่าง จ่าแกถึงรีบกลับบ้าน เจออ้ายหน่อยบ้านมันอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านจ่าเย็น มันเดินรี่เข้ามาหาทำท่าเหมือนมีเรื่องสำคัญจะบอก ผมก็นึกในใจอยู่แล้วว่าคนที่บ้านจ่าเย็นต้องมีใครเป็นอะไร
“รู้อะไรมั๊ย !” มันทำท่าหลังงอๆ ยื่นหน้ามาจนชิด..
ผมสั่นหน้า แต่ถามกลับไปว่า
“บ้านจ่ามีใครเป็นอะไรหรือวะ! เห็นจ่าแกขี่จักรยานผ่านหน้าบ้านข้า ตั้งแต่เมื่อคืน” ผมพูดขึ้นก่อน
อ้ายหน่อยทำท่าทางเหมือนถูกผีหลอก
“ว่าไงนะ จ่ากลับมาเมื่อคืนหรือ ?”
“เออ ตอนเที่ยงคืน กูนอนไม่หลับ เห็นแกขี่จักรยานผ่านหน้าบ้าน แต่หมาหอนไล่ตามกันเป็นพรวน”
“อ้ายบ้าเอ๊ย ! อย่าพูดเล่นน่า ”
“ทำไมหรือ วะ!”
“ไม่ทำไม หรอก ตอนเช้าเมียจ่ามาบอกว่า จ่าเย็นตายแล้วตั้งแต่เที่ยงคืน"
"แกเป็นลมที่โรงงานตอนหัวค่ำ พรรคพวกพาส่งโรงพยาบาล หมอช่วยไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นตอนเที่ยงคืน”
ขนหัวของผมลุกเหมือนมันจะพองออกมาอีกเท่าตัว..
****************************************************************
ศพจ่าเย็นตั้งสวดที่วัดใกล้บ้าน แกไม่ค่อยมีญาติพี่น้องที่ไหน เพราะเท่าที่รู้แกเป็นคนทางภาคอีสานมาเป็นทหารที่จังหวัดนี้ และมาได้เมียที่นี่ ในย่านนี้แกมาอยู่ก่อนใคร สมัยนั้นเปลี่ยวมากไม่ค่อยมีใครอยากมาอยู่ แต่เพราะเป็นทหารแกจึงไม่กลัวอะไร บ้านแกจึงถือว่าเป็นหลังแรกของที่นี่ เมียจ่าเป็นคนไม่ค่อยพูดและไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับใครๆ ลูกจ่ามี 2 คนผู้หญิง 1 ผู้ชาย 1 คน คนผู้หญิงสติไม่ค่อยดีเดินเข้าเดินออกทั้งวัน ไม่รู้ว่าวันๆไปที่ไหน ส่วนผู้ชายแต่งงานไปอยู่กับเมียที่จังหวัดอื่น แต่ไม่ห่างนัก
งานศพจ่าเย็นผ่านไปอย่างเรียบง่าย ผ่านมาได้ไม่ถึงเดือน วันหนึ่งกลับจากที่ทำงานตอนเย็น ผมเห็นมีคนงานหลายคนกำลังรื้อบ้านของจ่าเย็น ข้างรั้วบ้านมีรถสิบล้อจอดอยู่ ไม้จำนวนมากถูกรื้อและขนไปไว้บนกระบะรถ นึกแปลกใจว่าเมียแกจะสร้างบ้านใหม่หรือไง .
อ้ายหน่อยเห็นผม มันเดินแถออกมาทันที
“เสียดายไม้ดีๆทั้งนั้น เป็นไม้โบราณ หาไม่ได้แล้วสมัยนี้ ไม้พื้นหนาเป็นนิ้ว แดงแจ๋เลย”
มันพูดพร้อมหันไปมองที่รถสิบล้อ
ผมเดินเตร่เข้าไปดู จริงของมันไม้เก่าแก่ ดีๆทั้งนั้นเป็นไม้เนื้อแข็งอย่างดี...
ผมถามอ้ายหน่อยว่า เมียจ่ารื้อบ้านทำไม
“แกขายไม้เก่า เพราะไม่อยากอยู่ที่นี่ จะไปอยู่กับลูกชายที่ต่างจังหวัด”
พวกช่างเร่งรื้อเฉพาะไม้ แกะแคะจนเหลือแต่เสาปูนโด่เด่ เป็นซากหักพัง เหมือนบ้านโดนระเบิดสมัยสงคราม .
“แกบอกขายที่ดินด้วยนะ” เสียงอ้ายหน่อยบอกอยู่ข้างๆ..
ก่อนที่เมียจ่า จะออกเดินทาง แกเรียกนาย ช่วย ซาเล้งซึ่งอยู่ท้ายซอยให้มาเก็บเศษไม้ในบ้านที่เหลือจากการรื้อของพวกช่าง เป็นเศษไม้เก่าๆ แต่มีจำนวนมาก โดยยกให้ฟรี แต่ขอให้เก็บกวาดให้เรียบร้อย นายช่วยยิ้มหน้าบานเพราะเอาฟืนไปขายคงได้หลายตัง
**********************************************
คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ พระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ส่องแสงเหลืองอร่ามนวลตา ผมนั่งทำงานดึกเหมือนเคยเพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ นาฬิกาข้างฝาส่งเสียงดัง หันไปมอง เที่ยงคืนแล้วทำงานเพลินจนดึก .
ลุกขึ้นยืนบิดตัวไล่ความเมื่อยขบ เดินมาดูที่ริมหน้าต่างมองออกไปนอกบ้านตามความเคยชิน คืนนี้บรรยากาศดี แสงสว่างจากดวงจันทร์ขับไล่ความมืดมองเห็นสิ่งต่างๆรอบบ้านได้รางๆ…อดที่จะหันไปมองที่บ้านจ่าเย็นไม่ได้ นึกเสียดายบ้านดีๆอยู่ๆก็รื้อไม่ไปขาย ซะงั้น มองเห็นเสาหลายต้น ตั้งด้วนๆ เป็นที่หดหู่ในหัวใจ เมียจ่าคิดได้ไงกันแบบนี้ กำลังคิดอะไรเพลินๆ
ทันใดนั้น มีเสียงร้องกะวนกะวาย เสียงนั้นมาจากเจ้าหมาสามตัวของผมนั่นเอง พวกมันทำท่าทางแปลกๆ คือต่างพากันหันหน้าไปทางบ้านจ่าเย็น คอยืดจนยาวกันทั้งสามตัว โก่งคอเห่าหอนโดยพร้อมเพรียงกัน.
เอ๊ะ ! อะไรกันนั่น สายตาของผมมองเห็น มีบางสิ่งอยู่ตรงคานข้างๆเสาที่ยืนโด้เด่ เสานี้เป็นเสาชั้นที่สองของบ้านจ่าเย็น เป็นเงาตะคุ่มผมพยายามเพ่งสายตาดู
“เฮ๊ยๆๆ...”
ด้วยความตกใจลืมตัวร้องออกมา เที่ยงคืนแล้วใครไปยืนอยู่บนนั้น หรือนายช่วยซาเล้งมาเก็บเศษไม้ แต่คิดว่าไม่น่าใช่เพราะนายช่วยตัวอ้วนใหญ่ แกคงปีนขึ้นไปไม่ได้เพราะพวกช่างรื้อบันใดออกไปหมดแล้ว หรือจะเป็น ...
ผมตัวชาขนลุกไปทั้งตัว กำลังตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ให้ตายเถอะ เหมือนจ่าแกรู้ว่าผมแอบมองอยู่ แสงจากดวงจันทร์ก็แจ่มเหลือเกิน เงานั้นค่อยๆหันหน้ามาทางผม ชัดเลยเป็นจ่าเย็นจริงๆทั้งหมวกใบเดิม ทั้งแว่นตา ทั้งชุดที่ใส่.. ...
"เหวอๆๆๆ....."
*******************************************
ผมไม่ได้เล่าเรื่องจ่าให้ใครฟัง เพราะไม่มีใครเคยพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับแกเลย จึงไม่อยากพูดบอกอะไร เดี๋ยวจะหาว่าผมจินตนาการเอาเอง มันเสียเชิงชาย..
กลับจากที่ทำงานในตอนเย็น เอารถจอดเรียบร้อย เมียผมทำหน้าระรื่น เดินมาจูงมือให้ไปดูของที่กองอยู่หลังบ้าน ของที่ว่าคือกองเศษไม้กองใหญ่
“นายช่วยเอามาขายถูกๆแค่ 300 บาท ไม้ยังดีอยู่เลย คุณดูซิ ”
“เฮ้ย ! ......ซื้อมาทำไม”
ผมร้องจนเสียงหลงจนเธอตกใจ ไม่คิดว่าจะร้องลั่นแบบนั้น
“เป็นอะไรไปคุณ ทำท่ายังกับถูกผีหลอก” หล่อนมองผมเหมือนจะตำหนิด้วยสายตา
“เอาไปคืนๆๆๆๆ” ผมยังยืนยันคำเดิม แล้วรีบเดินเข้าบ้าน
โดยนิสัยเมียผมคนนี้เธอดื้อตาใส ผมรู้ว่ายังไงเธอคงไม่ทำตามที่ผมบอกหรอก ผมไม่อยากพูดว่าคืนก่อนผมเจอผีจ่าเย็น
ไม้ผี...
ราสส์ กิโลหก
นาฬิกาข้างฝาบ้านตีบอกเวลาเที่ยงคืน ด้านนอกมืดสนิทเพราะแถวนี้มีบ้านผู้คนไม่แออัดออกจะเปลี่ยวๆด้วยซ้ำ ผมยังนั่งอยู่หน้าจอทีวี นั่งอยู่คนเดียว เมียผมเข้านอนไปนานแล้ว วันนี้เป็นวันศุกร์จึงไม่กังวลกับการตื่นนอนในวันรุ่งขึ้นเพราะไม่ต้องไปทำงาน กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆดูนั่นดูนี่ เพราะยังไม่ง่วง บรรยากาศในช่วงที่ดึกดื่นเที่ยงคืนเงียบสงัด นานๆครั้งได้ยินเสียงหมาเห่าแว่วดังจากที่ไกล ไม่มีอะไรดูแล้วปิดทีวี .ลุกจากเก้าอี้ยืนบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ เดินไปที่หน้าต่างมองผ่านออกไปนอกตัวบ้าน ยังคิดว่าความมืดกับความเงียบมักจะอยู่ด้วยกัน ท้องฟ้าไร้ดวงดาว ไอ้ด่าง นางแต๋น นางม่อน ซุกตัวนอนกันเงียบอยู่ใกล้ประตูรั้วหน้าบ้าน ที่เสารั้วมีไฟฟ้าดวงเล็กๆให้ความสว่างอยู่ เห็นพวกมันนอนกันอย่างสบายอารมณ์ ยังนึกอิจฉาว่าเกิดเป็นหมาแสนสบาย ไม่ต้องคิดอะไรมาก วิ่งเล่นกันไปมา เมื่อได้เวลาก็มีอาหารมาให้กิน งานก็ไม่หนักใช้เสียงเห่าอย่างเดียว และคอยกระดิกหางต้อนรับเวลาที่เจ้านายกลับมา บ้านผมตั้งอยู่ชานเมือง ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นซอยแยกเข้ามา ตลอดซอยมีบ้านไม่มากนัก นับหลังได้ ตรงไหนไม่มีบ้านคนก็รกครึ้มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ถนนหนทางยังเป็นดินลูกรัง ไฟฟ้าริมถนนไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีให้ ถ้าวันไหนฝนตกหนักยังมีปูปลาออกมาว่ายน้ำเล่นบนถนน เป็นที่สนุกสนานตามประสาปูปลา..
ด้านตรงกันข้ามหน้าบ้านไม่ตรงซะที่เดียวแต่เยื้องๆไปสัก 20 เมตรเป็นบ้านไม้สองชั้นสีฟ้าอ่อน มีกำแพงคอนกรีตเป็นรั้ว เจ้าของบ้านเป็นทหารเกษียณอายุแล้วแต่ด้วยความขยันและเป็นทหารเก่าจึงออกไปสมัครเป็นยามให้กับโรงงานเล็กๆแห่งหนึ่ง อยู่ห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร จ่าเย็นคือชื่อของแก จ่าเย็นรูปร่างผอมเกร็งท่าทางแข็งแรง ตอนไปทำงานแกขี่รถจักรยานสองล้อไป แสดงถึงความแข็งแกร่งของร่างกายไม่เสียชื่อทหารเก่า ท่าทางการขี่ของจ่า แกจะขี่ไปเรื่อยๆเหมือนรถมีเกียร์เดียว ความเร็วสม่ำเสมอ นี่คงเป็นเคล็ดลับในการขี่รถจักรยานซึ่งจะทำให้ไม่เหนื่อย แกจะขี่ออกจากบ้านในตอนเย็นและกลับเข้าบ้านตอนเช้า ตามลักษณะของยามทั่วๆไป ไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการไปทำงานของแก ด้วยความขยันหมั่นเพียรไปทำงานไม่กี่ปีก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ายาม
ภาพที่ผมเห็นเป็นประจำในตอนเช้าคือเมื่อผมออกจากบ้านจะไปทำงาน จะสวนกับจ่าเย็นขี่จักรยานสองล้อ ใส่หมวกแก๊ปสีขี้ม้า ชุดยามสีเทาเข้ม ใส่แว่นตาสีดำเก่าๆเพื่อกลับบ้าน ส่วนตอนเย็นผมเลิกงานกลับบ้านก็เจอแกแต่งตัวออกไปทำงาน จุดประสงค์ดูแตกต่างกัน อีกคนไปทำงาน แต่อีกคนกลับบ้าน..ผมไม่รู้ว่าแกได้เงินเดือนเท่าใด เพราะเห็นแล้วรู้สึกเหนื่อยแทน การขี่จักรยานไปกลับวันละ 20 กิโลฯไม่ใช่สิ่งง่ายสำหรับคนแก่อายุเลย 60 ยังคิดว่าคนแบบนี้คงอายุยืนตายยากเพราะออกกำลังกายทุกวัน..ร่างกายต้องแข็งแรง
*************************************************************
อากาศนอกตัวบ้านเย็นจนรู้สึกได้แม้ยืนอยู่ในบ้าน ผมยังคงยืนอยู่ที่หน้าต่างมองไปที่ถนนหน้าบ้านตรงประตูรั้วมีไฟดวงเล็กๆให้ความสว่างอยู่ ลมพัดเบาๆแลเห็นกิ่งไม้ใบหญ้าเอนไปมา ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆให้เห็น ความเงียบปกคลุมรอบตัวจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นตุ๊บๆ...เอามือป้องปากหาวนอนคิดว่าคงต้องเข้านอนเสียที หันหลังกลับเพื่อจะเข้าห้อง..
ทันใดนั้น หูได้ยินเสียงหมาหอนแว่วๆมาจากทางปากซอย นึกแปลกใจว่าธรรมดาแล้วในตอนดึกๆหากมีผู้คนเดินเข้ามาตามถนน มันจะเห่ากันเป็นช่วง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ มันเห่าหอนเสียงยาวโหยหวน เสียงนี้จะไล่เรียงกันมา เหมือนหอนตามหลังอะไรสักอย่าง ทำให้ผมต้องหันกลับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง นึกสงสัยว่าพวกมันเห่าหอนอะไรกัน เพราะไม่เคยได้ยินส่งเสียงกันระงมแบบนี้ จู่ๆเสียงหยุดลง แต่ผมต้องขนลุกซู่ด้วยความตกใจ เพราะเจ้าหมาสามตัวในบ้านที่นอนอยู่ข้างรั้ว พากันลุกขึ้นโก่งคอหอนพร้อมกันทั้งสามตัว ในบรรยากาศเช่นนี้เสียงร้องโหยหวนทำให้ใจหวั่นไหวเยือกเย็นจนบอกไม่ถูก มันหอนอะไรกัน ผมพยายามมองหาสิ่งนั้น และแล้วสายตาผมก็กระทบกับสิ่งที่พวกหมาพากันหอนรับ เห็นเป็นเงาดำกำลังเคลื่อนไหวผ่านเสารั้วที่มีดวงไฟเล็กๆให้ความสว่างอยู่ เพ่งสายตาด้วยความสนใจ พอสายตาปรับภาพได้ชัดเจน จึงเห็นว่า สิ่งนั้นคือจ่าเย็นนั่นเอง หมวกของแก ชุดของแก และจักรยานของแกผมจำได้แม่นยำ แถวนี้ไม่มีใครที่มีลักษณะอย่างนี้ แกขี่ผ่านไปเงียบๆไม่ได้สนใจกับเจ้าหมาสามตัวที่โก่งคอร้องตามหลัง
ผมแปลกใจว่าทำไมวันนี้จ่าเย็นกลับมาดึกดื่นเที่ยงคืน ธรรมดาแกต้องกลับตอนเช้า เวลาประมาณ 8 โมงเช้าทุกวันเป็นกิจวัตร หรือแกมีอะไรสำคัญเร่งด่วนจนต้องรับกลับมาบ้าน ผมมองตามไปจนภาพจ่าเย็นหายไปในความมืด ข้องใจอยู่นิดๆแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร ..หันกลับเข้าห้องนอนเพราะดึกมากแล้ว..
ตื่นนอนแต่เช้า วันนี้วันเสาร์ไม่ต้องไปทำงาน เดินเตร่ไปทางบ้านจ่าเย็นด้วยความสอดรู้สอดเห็น เพราะคิดว่าคนที่บ้านจ่าเย็นอาจจะมีใครเป็นอะไรสักอย่าง จ่าแกถึงรีบกลับบ้าน เจออ้ายหน่อยบ้านมันอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านจ่าเย็น มันเดินรี่เข้ามาหาทำท่าเหมือนมีเรื่องสำคัญจะบอก ผมก็นึกในใจอยู่แล้วว่าคนที่บ้านจ่าเย็นต้องมีใครเป็นอะไร
“รู้อะไรมั๊ย !” มันทำท่าหลังงอๆ ยื่นหน้ามาจนชิด..
ผมสั่นหน้า แต่ถามกลับไปว่า
“บ้านจ่ามีใครเป็นอะไรหรือวะ! เห็นจ่าแกขี่จักรยานผ่านหน้าบ้านข้า ตั้งแต่เมื่อคืน” ผมพูดขึ้นก่อน
อ้ายหน่อยทำท่าทางเหมือนถูกผีหลอก
“ว่าไงนะ จ่ากลับมาเมื่อคืนหรือ ?”
“เออ ตอนเที่ยงคืน กูนอนไม่หลับ เห็นแกขี่จักรยานผ่านหน้าบ้าน แต่หมาหอนไล่ตามกันเป็นพรวน”
“อ้ายบ้าเอ๊ย ! อย่าพูดเล่นน่า ”
“ทำไมหรือ วะ!”
“ไม่ทำไม หรอก ตอนเช้าเมียจ่ามาบอกว่า จ่าเย็นตายแล้วตั้งแต่เที่ยงคืน"
"แกเป็นลมที่โรงงานตอนหัวค่ำ พรรคพวกพาส่งโรงพยาบาล หมอช่วยไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นตอนเที่ยงคืน”
ขนหัวของผมลุกเหมือนมันจะพองออกมาอีกเท่าตัว..
****************************************************************
ศพจ่าเย็นตั้งสวดที่วัดใกล้บ้าน แกไม่ค่อยมีญาติพี่น้องที่ไหน เพราะเท่าที่รู้แกเป็นคนทางภาคอีสานมาเป็นทหารที่จังหวัดนี้ และมาได้เมียที่นี่ ในย่านนี้แกมาอยู่ก่อนใคร สมัยนั้นเปลี่ยวมากไม่ค่อยมีใครอยากมาอยู่ แต่เพราะเป็นทหารแกจึงไม่กลัวอะไร บ้านแกจึงถือว่าเป็นหลังแรกของที่นี่ เมียจ่าเป็นคนไม่ค่อยพูดและไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับใครๆ ลูกจ่ามี 2 คนผู้หญิง 1 ผู้ชาย 1 คน คนผู้หญิงสติไม่ค่อยดีเดินเข้าเดินออกทั้งวัน ไม่รู้ว่าวันๆไปที่ไหน ส่วนผู้ชายแต่งงานไปอยู่กับเมียที่จังหวัดอื่น แต่ไม่ห่างนัก
งานศพจ่าเย็นผ่านไปอย่างเรียบง่าย ผ่านมาได้ไม่ถึงเดือน วันหนึ่งกลับจากที่ทำงานตอนเย็น ผมเห็นมีคนงานหลายคนกำลังรื้อบ้านของจ่าเย็น ข้างรั้วบ้านมีรถสิบล้อจอดอยู่ ไม้จำนวนมากถูกรื้อและขนไปไว้บนกระบะรถ นึกแปลกใจว่าเมียแกจะสร้างบ้านใหม่หรือไง .
อ้ายหน่อยเห็นผม มันเดินแถออกมาทันที
“เสียดายไม้ดีๆทั้งนั้น เป็นไม้โบราณ หาไม่ได้แล้วสมัยนี้ ไม้พื้นหนาเป็นนิ้ว แดงแจ๋เลย”
มันพูดพร้อมหันไปมองที่รถสิบล้อ
ผมเดินเตร่เข้าไปดู จริงของมันไม้เก่าแก่ ดีๆทั้งนั้นเป็นไม้เนื้อแข็งอย่างดี...
ผมถามอ้ายหน่อยว่า เมียจ่ารื้อบ้านทำไม
“แกขายไม้เก่า เพราะไม่อยากอยู่ที่นี่ จะไปอยู่กับลูกชายที่ต่างจังหวัด”
พวกช่างเร่งรื้อเฉพาะไม้ แกะแคะจนเหลือแต่เสาปูนโด่เด่ เป็นซากหักพัง เหมือนบ้านโดนระเบิดสมัยสงคราม .
“แกบอกขายที่ดินด้วยนะ” เสียงอ้ายหน่อยบอกอยู่ข้างๆ..
ก่อนที่เมียจ่า จะออกเดินทาง แกเรียกนาย ช่วย ซาเล้งซึ่งอยู่ท้ายซอยให้มาเก็บเศษไม้ในบ้านที่เหลือจากการรื้อของพวกช่าง เป็นเศษไม้เก่าๆ แต่มีจำนวนมาก โดยยกให้ฟรี แต่ขอให้เก็บกวาดให้เรียบร้อย นายช่วยยิ้มหน้าบานเพราะเอาฟืนไปขายคงได้หลายตัง
**********************************************
คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ พระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ส่องแสงเหลืองอร่ามนวลตา ผมนั่งทำงานดึกเหมือนเคยเพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ นาฬิกาข้างฝาส่งเสียงดัง หันไปมอง เที่ยงคืนแล้วทำงานเพลินจนดึก .
ลุกขึ้นยืนบิดตัวไล่ความเมื่อยขบ เดินมาดูที่ริมหน้าต่างมองออกไปนอกบ้านตามความเคยชิน คืนนี้บรรยากาศดี แสงสว่างจากดวงจันทร์ขับไล่ความมืดมองเห็นสิ่งต่างๆรอบบ้านได้รางๆ…อดที่จะหันไปมองที่บ้านจ่าเย็นไม่ได้ นึกเสียดายบ้านดีๆอยู่ๆก็รื้อไม่ไปขาย ซะงั้น มองเห็นเสาหลายต้น ตั้งด้วนๆ เป็นที่หดหู่ในหัวใจ เมียจ่าคิดได้ไงกันแบบนี้ กำลังคิดอะไรเพลินๆ
ทันใดนั้น มีเสียงร้องกะวนกะวาย เสียงนั้นมาจากเจ้าหมาสามตัวของผมนั่นเอง พวกมันทำท่าทางแปลกๆ คือต่างพากันหันหน้าไปทางบ้านจ่าเย็น คอยืดจนยาวกันทั้งสามตัว โก่งคอเห่าหอนโดยพร้อมเพรียงกัน.
เอ๊ะ ! อะไรกันนั่น สายตาของผมมองเห็น มีบางสิ่งอยู่ตรงคานข้างๆเสาที่ยืนโด้เด่ เสานี้เป็นเสาชั้นที่สองของบ้านจ่าเย็น เป็นเงาตะคุ่มผมพยายามเพ่งสายตาดู
“เฮ๊ยๆๆ...”
ด้วยความตกใจลืมตัวร้องออกมา เที่ยงคืนแล้วใครไปยืนอยู่บนนั้น หรือนายช่วยซาเล้งมาเก็บเศษไม้ แต่คิดว่าไม่น่าใช่เพราะนายช่วยตัวอ้วนใหญ่ แกคงปีนขึ้นไปไม่ได้เพราะพวกช่างรื้อบันใดออกไปหมดแล้ว หรือจะเป็น ...
ผมตัวชาขนลุกไปทั้งตัว กำลังตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ให้ตายเถอะ เหมือนจ่าแกรู้ว่าผมแอบมองอยู่ แสงจากดวงจันทร์ก็แจ่มเหลือเกิน เงานั้นค่อยๆหันหน้ามาทางผม ชัดเลยเป็นจ่าเย็นจริงๆทั้งหมวกใบเดิม ทั้งแว่นตา ทั้งชุดที่ใส่.. ...
"เหวอๆๆๆ....."
*******************************************
ผมไม่ได้เล่าเรื่องจ่าให้ใครฟัง เพราะไม่มีใครเคยพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับแกเลย จึงไม่อยากพูดบอกอะไร เดี๋ยวจะหาว่าผมจินตนาการเอาเอง มันเสียเชิงชาย..
กลับจากที่ทำงานในตอนเย็น เอารถจอดเรียบร้อย เมียผมทำหน้าระรื่น เดินมาจูงมือให้ไปดูของที่กองอยู่หลังบ้าน ของที่ว่าคือกองเศษไม้กองใหญ่
“นายช่วยเอามาขายถูกๆแค่ 300 บาท ไม้ยังดีอยู่เลย คุณดูซิ ”
“เฮ้ย ! ......ซื้อมาทำไม”
ผมร้องจนเสียงหลงจนเธอตกใจ ไม่คิดว่าจะร้องลั่นแบบนั้น
“เป็นอะไรไปคุณ ทำท่ายังกับถูกผีหลอก” หล่อนมองผมเหมือนจะตำหนิด้วยสายตา
“เอาไปคืนๆๆๆๆ” ผมยังยืนยันคำเดิม แล้วรีบเดินเข้าบ้าน
โดยนิสัยเมียผมคนนี้เธอดื้อตาใส ผมรู้ว่ายังไงเธอคงไม่ทำตามที่ผมบอกหรอก ผมไม่อยากพูดว่าคืนก่อนผมเจอผีจ่าเย็น