โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
“เก็งกำไรที่ดิน” มาตั้งแต่อายุ 20 ปี ทว่าวันนี้ขายยกแผง“หญิงวัย 46 ปี” “นุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ” เจ้าของ“บางกอก เดค-คอน” จะโกยกำไรหลักพันล้า
“โชคชะตานำพา”!!
หากวันนั้นไม่มี “หลงจู๊” วัย 60 กว่าปี บุรุษผู้หยิบยื่นทั้ง “เงิน-ความรู้- ธุรกิจ” ให้ “ฉลาม-นุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ” บุตรสาวคนที่ 4 จากทั้งหมด 5 คน เพียงเพราะถูกชะตา !! วันนี้เธอคงไม่ได้เป็นเจ้าของ “บางกอก เดค-คอน” หรือ BKD ผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาตกแต่งภายใน น้องใหม่ที่เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 180 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท
หลัง “ฉลาม” สูญเสียผู้เป็นพ่อไม่นาน ทำให้ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้างให้ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดนนทบุรีจำเป็นต้องปิดตัวลงอัตโนมัติ ในขณะนั้นเธอมีอายุเพียง 17 ปี ก่อนที่จะหันมาทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์โต๊ะตู้และเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา ตามคำเชื้อเชิญของ “หลงจู้” ท่านหนึ่ง หลังหุ้นส่วนเดิม 3 คน มีปัญหาในการทำธุรกิจ
แม้จะยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่เธอก็ตัดสินใจ “เทคโอเวอร์” บริษัทแห่งนี้ ทั้งๆที่ไม่มีเงินลงทุน ด้วยข้อตกลงที่มีต่อ “หลงจู้” ว่า “ทำงานไปคืนเงินไป” เธอใช้เวลาเพียง 1-2 ปี ก็สามารถคืนเงินหลงจู้รายนี้หมดเกลี้ยง!! ปัจจุบันผู้มีพระคุณท่านนี้เสียชีวิตแล้ว หลังรู้จักกันมานานกว่า 10 ปี ชายสูงวัยท่านนี้สอน “นายหญิง” แห่ง “บางกอก เดค-คอน” ทำงานทุกอย่าง ไล่มาตั้งแต่ยิงโครงไม้ โป๊วสีเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ
“ดวงชะตาเราสองคนตรงกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ตอนท่านยังอยู่ไม่เคยถามว่า เห็นอะไรในตัวเราจึงตัดสินใจส่งต่อธุรกิจให้มาอยู่ในมือเด็กน้อยวัย 17 ปี แต่ท่านคงสัมผัสได้ว่า เราไม่โกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร เพราะก่อนจะมาทำงานที่นี่ เคยขับรถส่งโต๊ะขาเหล็กที่ข้าราชการเขาใช้ทำงาน ท่านคงเห็นความมุ่งมั่นของเรามั้ง” “ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ“ เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟัง
“หญิงวัย 46 ปี” ย้อนความสำเร็จสมัยลงมือทำธุรกิจในช่วงแรกๆให้ฟังว่า ปีแรกของการได้เป็นเจ้าของกิจการเต็มตัว “ธุรกิจบูมมาก” บริษัทมีเงินเหลือหลายแสนบาท เรียกว่าเป็น “กำไร” ก็ว่าได้ เพราะเราทำเองทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องบัญชี แถมยังขับรถส่งของอีกต่างหาก แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้จนถึงทุกวันนี้ เฉลี่ยปีละ 10% คือ บริษัทไม่ได้กู้เงินจากธนาคาร ทำให้เราทำงานสบายมากขึ้น
“เหนื่อยมั้ย” ตอบเลย “เหนื่อยมาก” แต่นี่คือ อาชีพของเรา
วันหนึ่งบริษัทเจอวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เพราะดันไปกู้เงินนอกประมาณ 1 ล้านดอลลาร์ แต่บนวิกฤติย่อมมีความโชคดี เพราะบริษัทผลิตสินค้าส่งออกประเทศสหรัฐฯ และญี่ปุ่นเยอะมาก
ต่อมาบริษัทโดนวิกฤติน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯในปี 2554 ทำให้บริษัทผลิตสินค้าไม่ได้ เพราะโรงงานอยู่แถวบางบัวทอง เจอน้ำท่วม 1.80 เมตร ตอนนั้นจำเป็นต้องปิดโรงงานประมาณ 4 เดือน (เดือนต.ค.2554- ม.ค.2555) แต่โชคดีมาก (ลากเสียงยาว) ตรงที่บริษัทได้ทำประกันน้ำไว้ ทำให้ไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนั้น หลังโรงงานเปิดการผลิตปกติ มีคำสั่งซื้อเข้ามาพรึ่บ! เราโชคดีมากจริงๆ
“การไม่มีหนี้กับแบงก์ ทำให้บริษัทสามารถเดินผ่านวิกฤติแรงๆได้อย่างง่ายดาย”
“หญิงเก่ง” เลือกที่จะเล่า “วิถีแห่งเซียนเก็งกำไรที่ดินเปล่า” ให้ฟังแทนแผนธุรกิจของ “บางกอก เดค-คอน” ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาวันซื้อขายว่า ช่วงอายุ 20 ปี สมัย “พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ” เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นที่ดินบูมมากๆ คนแห่เก็งกำไรกันเพียบ!!
วันหนึ่งเพื่อนมาชวนไปซื้อที่ดินแถวจังหวัดนนทบุรี เราตัดสินใจซื้อ ทั้งๆที่ยังไม่เห็นหน้าตาที่ดินด้วยซ้ำ ด้วยการวางเงินมัดจำไม่กี่ล้านบาท เชื่อหรือไม่! ยังไม่ทันโอนที่ดิน รู้สึกห่างจากวันวางเงินมัดจำไม่ถึงเดือน เพื่อนโทรมาบอกว่า “ขายที่ดินแล้วได้แถมได้กำไรสูงถึง 3-4 เท่าตัว”
อาการ “ติดใจ” เกิดขึ้นละ!!
คราวนี้มา “เก็งกำไรที่ดิน” แถวจังหวัดนนทบุรีสักระยะ บางแปลงยังไม่ทันโอน หรือโอนไม่นานเราก็ขายกินกำไรแล้ว แต่เก็งกำไรที่ดินสมัยน้าชาติใช่ว่าจะราบรื่นตลอด เคยเจอวิกฤติที่เดินแพงเว่อร์เหมือนกัน โชคดีโดนผลกระทบนิดหน่อย เพราะถือคติ “ไม่ทำอะไรเกินตัวมาก” ทุกครั้งก่อนซื้อที่ดิน เราต้องมั่นใจว่ามีเงินโอนเพียงพอ ถือเป็นการป้องกันความเสี่ยงชนิดหนึ่ง
จากนั้นไม่นานก็มาไล่ซื้อที่ดินแถวจังหวัด “เชียงราย-ภูเก็ต- ตรัง-เขาใหญ่” มีข้อแม้ว่าต้องใช้เงินซื้อที่ดินหนึ่งแห่งไม่เกินหลักร้อยล้านบาท ผลของการเก็งกำไรปีแรกๆ ถือว่าได้ “กำไรหลายเท่าตัว” ทุกครั้งที่ได้กำไรมักนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนต่อ (เรียกว่าเงินต่อเงิน) พูดง่ายๆว่า มีเงินเหลือเท่าไรทุ่มซื้อที่ดินหมดเกลี้ยง (หัวเราะ) นั่นเป็นเพราะมีผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากเยอะมาก เพียงแต่เราต้องดูที่ดินให้เป็นเท่านั้น
กลยุทธ์การลงทุนช่วงแรกๆ คือ เน้นซื้อที่ดินย่านที่กำลังจะมีถนนตัดผ่าน พูดง่ายๆว่า “ตรงไหนที่ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึงจะชอบมาก” เพราะนอกจากจะถูกแล้วยังขายต่อได้ง่ายด้วย แต่ถ้าที่ดินที่ความเจริญเข้าถึงแล้ว ราคาค่อนข้างแพงซื้อไม่ไหวจริงๆ
ปัจจุบันกลยุทธ์การเลือกที่ดินได้ปรับเปลี่ยนไปแล้ว ตรงที่ยอมซื้อที่ดินทำเลดี ราคาแพง เพราะทุกครั้งที่ขายจะได้ราคาดีมาก แถมขายง่ายอีกต่างหาก เมื่อก่อนไม่ค่อยสนใจที่ดินแถวใจกลางเมือง โดยเฉพาะเส้นสุขุมวิท บอกตรงซื้อไม่ไหว (เธอย้ำ) แพงเกินไป แต่เดี๋ยวนี้ชอบมาก
หากมีใครมาเสนอขายที่ดินติดรถไฟฟ้า หรือติดถนนแบบ “ไม่แพงเว่อร์” ยอมรับอยากได้เป็นพิเศษ จริงๆอยากได้ที่ดินแถบภาคอีสาน อาทิเช่น จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดมหาสารคาม แต่ซื้อไม่ไหว วันนี้ราคาตกตารางวาละเป็นแสนบาท
เธอ ตอบคำถามที่ว่า “ตอนนี้ครอบครองที่ดินแถวไหนบ้าง” มีที่ดินเปล่าแถวอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 5-6 แห่ง ประมาณ 600-700 ไร่ สอยมา 5-6 ปีก่อน ต้นทุนแค่ “หลักแสนบาทต่อไร่” ตอนนี้ราคาขึ้นเป็น “หลักล้านต่อไร่” แล้ว ตั้งใจจะตัดขายประมาณ 500 ไร่ ตกไร่ละ 1 ล้านบาท มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท
ตอนนี้มีคนติดต่ออยากซื้อที่ดินแปลงนี้ไปเก็งกำไรต่อแล้ว แต่เขาต่อราคาเหลือไร่ละ 800,000 บาท ถ้าราคานี้ตอบเลยไม่ขาย! แต่ถ้ารัฐบาลอนุมัติสร้างมอเตอร์เวย์ซึ่งจะใช้เวลาวิ่งตรงจากกรุงเทพฯเพียง 1 ชั่วโมงกว่า และรัฐเตรียมเปิดเมืองใหม่แถวตำบลหนองสาหร่าย อาจไม่ขายแล้ว คิดดูสิเราใช้เวลาไม่นานออกจากเมืองแล้วได้สูดอากาศที่ลดลงจากกรุงเทพ 7-10 องศา บอกตรงเสียดาย! แต่สุดท้ายจะขายหรือไม่ขึ้นอยู่กับราคา!! ถ้ามีเมืองใหม่อนาคตที่ดินแปลงนี้คงมีราคาแพงขึ้น
เมื่อก่อนเคยคิดจะขายที่ดินแถวถนน กุดคล้า จังหวัดนครราชสีมา ทั้งๆที่รักที่ดินแปลงนี้มาก โชคดีพี่สาวเบรกไว้ ตอนโน้นซื้อมาไร่ละ “หลักแสนบาท” ปัจจุบันราคาพุ่งพรวดเป็นไร่ละ 10 ล้านบาท เรามีอยู่ 20 ไร่!!
“นักเก็งกำไรที่ดิน” เล่าต่อว่า ยังมีที่ดินกลางเมือง จังหวัดตรัง 10 ไร่ ซื้อมาไร่ละ 2 ล้านบาท ตั้งใจจะขายไร่ละ 10 ล้าน แต่มีคนต่อเหลือไร่ละ 7 ล้านบาท ถ้าไม่ได้ดั่งใจไม่ขาย เธอยืนยัน เรายังมีที่ดินในหาดกะรน จังหวัดภูเก็ต ประมาณ 30 ไร่ ต้นทุนหลายล้านบาทต่อไร่ แปลงนี้คงไม่ขาย เพราะตั้งใจจะนำที่ดินไปปลูกป่าแล้วสร้างกระต๊อบสักหลัง กะจะทำเป็นที่พักตากอากาศเล็กๆของครอบครัว
“พี่รักต้นไม้ อาชีพของเราตัดต้นไม้เยอะฉะนั้นหากมีโอกาสควรสร้างทดแทน”
เธอ เล่าต่อว่า เรายังมีที่ดิน 600 ไร่ จังหวัดเชียงราย ห่างจากสามเหลี่ยมทองคำ 5 กิโลเมตร ซื้อมา 10 กว่าปีแล้ว ต้นทุนไร่ละ “หลักหมื่นบาท” ทุกวันนี้ราคาตกไร่ละ “หลายแสนบาท” ที่ดินแปลงนี้เราได้นำไปปลูกป่าสักเต็มพื้นที่ น่าเสียดายตายไปครึ่งหนึ่ง เพราะคนดูแลไม่ดี แถมโดนขโมยอีกต่างหาก ตอนนี้ได้ขอให้ผู้ใหญ่บ้านมาช่วยดูแล
ตั้งใจว่าจะแบ่งที่ดินบางสวนไปทำโครงการพลังงานชีวภาพ ด้วยการร่วมทุนกับบริษัทที่เขามีความถนัดเรื่องนี้ กะว่าจะทำให้นามส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท เบื้องต้นจะมีกำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 1 ปีข้างหน้า ที่ดินแถวจังหวัดกาญจนบุรี เราก็มีเหมือนกันอยู่ใกล้ๆเขื่อนน่าจะประมาณ 3-4 ไร่ ซื้อมานานมากแล้วประมาณ 20 ปี ยังไม่มีไอเดียจะนำไปทำอะไร
ถามถึงที่ดินในกรุงเทพ เธอตอบว่า มีแถวรามอินทรา ซอยวัดคู้บอน 10 กว่าไร่ ตั้งอยู่ใกล้ๆตรงที่ทางการจะตัดถนนสายรัตนโกสินทร์สมโภช-นิมิตรใหม่ ล่าสุดเพิ่งเทคโอเวอร์อพาร์ทเมนท์เก่า แถวอินทามระ ใกล้ๆบมจ.ช.การช่าง จำนวน 170 ห้อง มูลค่า 60 ล้านบาท เพิ่งใส่เงินหลายสิบล้านบาท เพื่อปรับปรุงใหม่ยกแผง โดยเปิดให้เช่าเดือนละ 6,000 บาท
ถ้าใครมี “เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์” ถูกๆมาขายต่อขอให้บอก ที่ผ่านมามีแวะเวียนมาขายเหมือนกัน แต่เสนอแพงไปหน่อย ส่วนตัวชอบเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์แถวกลางเมือง อาทิเช่น สุขุมวิท การไปเทคโอเวอร์กิจการของคนอื่นมาทำต่อ ถือเป็นวิธีที่ “ง่ายกว่า” ลงมือทำเอง
“หากขายที่ดินทั้งหมดที่มีอยู่ในมือน่าจะได้เงินกลับมา“หลักพันล้านบาท” เธอ ประเมิน
ถามถึงเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น “ฉลาม” เล่าว่า ลงทุนมาตั้งแต่อายุ 17-18 ปี ทุกวันนี้ให้ความสำคัญเพียง 2% ของพอร์ตเท่านั้น ส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักในการเก็งกำไรที่ดินมากกว่า เพราะตลาดหุ้นค่อนข้างมีความเสี่ยง แต่ถึงจะเสี่ยง ก็ยังซื้อลงทุน (หัวเราะ) ส่วนตัวชอบหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตรวดเร็ว เพราะโอกาสขาดทุนน้อยกว่า
ช่วงแรกของการลงทุนใช้เงินซื้อหุ้นเพียง “หลักล้านบาท” หุ้นตัวแรก คือ หุ้นกลุ่มแบงก์ ตอนนั้นซื้อเยอะมาก แต่เมื่อแบงก์ปิดตัว หลังเจอต้มยำกุ้งพ่นพิษ หุ้นที่มีอยู่กลายเป็นกระดาษทันที ทำตอนนั้นหยุดเล่นหุ้นไปพักใหญ่ หลังจากนั้น 3-4 ปี จึงกลับมาเล่นใหม่ เพราะการลงทุนในตลาดหุ้น ถือว่าให้ผลตอบแทนดี หากเราวิเคราะห์เป็นส่วนใหญ่จะเน้นดูผลประกอบการของบริษัทนั้นๆว่าดีหรือไม่ และเจ้าของมีธรรมภิบาลมั้ย พวกค่า P/E หรือหนี้สินต่อทุน หรือ D/E จะให้ความสำคัญแค่ไม่มากเท่านั้น
“รักหุ้นตัวไหนมากที่สุด” ตอบหุ้นตัวเองได้มั้ย เธอพูดติดตลก ก่อนตอบว่า ตอนนี้มีหุ้นในมือแค่ 3-4 ตัว เช่น กลุ่มแบงก์ พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ เน้นพื้นฐานดีๆเป็นหลัก เพราะหากตลาดหุ้นตกอยู่ในภาวะไม่เอื้ออำนวยจนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงในบางขณะ เมื่อตลาดหุ้นกลับมาดีเหมือนเดิม หุ้นเหล่านี้จะดีดกลับทันทีแทบไม่ต้องไปทำอะไรเลย
ช่วง 3-4 ปีที่หลังที่ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาเยอะ ยอมรับได้ “กำไรหลายเท่าตัว” ถามว่า อนาคตจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นหรือไม่ ขอเน้นเก็งกำไรที่ดินดีกว่า
เพราะโอกาสขาดทุนน้อยมาก ยิ่งเราดูเป็นมองออกโอกาสกำไรเยอะ ส่วนการลงทุนใน ทองคำ บอกตรงไม่กล้าซื้อ ทองคำเขาเล่นกันทั่วโลก มองยากมากๆ
ครั้งหนึ่งเคยทดลองเล่นโกลด์ฟิวเจอร์ส มูลค่าหลักล้านบาท สุดท้ายไม่เหลืออะไรเลย เสี่ยงมากๆ ขณะที่เรานอนหลับตลาดบ้านเราปิด แต่ทั่วโลกไม่ปิด นาทีนั้นอยากขายใจจะขาด แต่ขายไม่ได้ ทำให้ตอนนั้นขาดทุนเกิน 50% ตัดใจเลิกเล่นเลย ไม่ได้ตั้งใจให้ขาดทุนหนักขนาดนี้ แต่ตลาดบ้านเรายังไม่เปิดขายจะขายยังไง..
ปัจจุบันพอร์ตหุ้นเฉียด “ร้อยล้านบาท” ไม่หวังผลตอบแทนมากมายเฉลี่ยปีละ 10% ก็พอใจแล้ว กลยุทธ์การลงทุนทุกวันนี้ไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่จะตัดขาดทุน 20% และขายเมื่อได้กำไร 20-30% เว้นแต่บางตัวดีที่พื้นฐานดีจริงๆ ก็จะปล่อยให้เขาทำกำไรไปเรื่อยๆ ถามถึงวิธีการหาหุ้น ปกติคิดเองทำเอง ฟังคนอื่นบ้างนิดหน่อย แต่สุดท้ายจะนำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาเองว่า “
“เก็งกำไรที่ดิน”งานเสริมสุดเลิฟ "นุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ”
“เก็งกำไรที่ดิน” มาตั้งแต่อายุ 20 ปี ทว่าวันนี้ขายยกแผง“หญิงวัย 46 ปี” “นุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ” เจ้าของ“บางกอก เดค-คอน” จะโกยกำไรหลักพันล้า
“โชคชะตานำพา”!!
หากวันนั้นไม่มี “หลงจู๊” วัย 60 กว่าปี บุรุษผู้หยิบยื่นทั้ง “เงิน-ความรู้- ธุรกิจ” ให้ “ฉลาม-นุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ” บุตรสาวคนที่ 4 จากทั้งหมด 5 คน เพียงเพราะถูกชะตา !! วันนี้เธอคงไม่ได้เป็นเจ้าของ “บางกอก เดค-คอน” หรือ BKD ผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาตกแต่งภายใน น้องใหม่ที่เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 180 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท
หลัง “ฉลาม” สูญเสียผู้เป็นพ่อไม่นาน ทำให้ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้างให้ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดนนทบุรีจำเป็นต้องปิดตัวลงอัตโนมัติ ในขณะนั้นเธอมีอายุเพียง 17 ปี ก่อนที่จะหันมาทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์โต๊ะตู้และเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา ตามคำเชื้อเชิญของ “หลงจู้” ท่านหนึ่ง หลังหุ้นส่วนเดิม 3 คน มีปัญหาในการทำธุรกิจ
แม้จะยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่เธอก็ตัดสินใจ “เทคโอเวอร์” บริษัทแห่งนี้ ทั้งๆที่ไม่มีเงินลงทุน ด้วยข้อตกลงที่มีต่อ “หลงจู้” ว่า “ทำงานไปคืนเงินไป” เธอใช้เวลาเพียง 1-2 ปี ก็สามารถคืนเงินหลงจู้รายนี้หมดเกลี้ยง!! ปัจจุบันผู้มีพระคุณท่านนี้เสียชีวิตแล้ว หลังรู้จักกันมานานกว่า 10 ปี ชายสูงวัยท่านนี้สอน “นายหญิง” แห่ง “บางกอก เดค-คอน” ทำงานทุกอย่าง ไล่มาตั้งแต่ยิงโครงไม้ โป๊วสีเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ
“ดวงชะตาเราสองคนตรงกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ตอนท่านยังอยู่ไม่เคยถามว่า เห็นอะไรในตัวเราจึงตัดสินใจส่งต่อธุรกิจให้มาอยู่ในมือเด็กน้อยวัย 17 ปี แต่ท่านคงสัมผัสได้ว่า เราไม่โกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร เพราะก่อนจะมาทำงานที่นี่ เคยขับรถส่งโต๊ะขาเหล็กที่ข้าราชการเขาใช้ทำงาน ท่านคงเห็นความมุ่งมั่นของเรามั้ง” “ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ“ เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟัง
“หญิงวัย 46 ปี” ย้อนความสำเร็จสมัยลงมือทำธุรกิจในช่วงแรกๆให้ฟังว่า ปีแรกของการได้เป็นเจ้าของกิจการเต็มตัว “ธุรกิจบูมมาก” บริษัทมีเงินเหลือหลายแสนบาท เรียกว่าเป็น “กำไร” ก็ว่าได้ เพราะเราทำเองทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องบัญชี แถมยังขับรถส่งของอีกต่างหาก แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้จนถึงทุกวันนี้ เฉลี่ยปีละ 10% คือ บริษัทไม่ได้กู้เงินจากธนาคาร ทำให้เราทำงานสบายมากขึ้น
“เหนื่อยมั้ย” ตอบเลย “เหนื่อยมาก” แต่นี่คือ อาชีพของเรา
วันหนึ่งบริษัทเจอวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เพราะดันไปกู้เงินนอกประมาณ 1 ล้านดอลลาร์ แต่บนวิกฤติย่อมมีความโชคดี เพราะบริษัทผลิตสินค้าส่งออกประเทศสหรัฐฯ และญี่ปุ่นเยอะมาก
ต่อมาบริษัทโดนวิกฤติน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯในปี 2554 ทำให้บริษัทผลิตสินค้าไม่ได้ เพราะโรงงานอยู่แถวบางบัวทอง เจอน้ำท่วม 1.80 เมตร ตอนนั้นจำเป็นต้องปิดโรงงานประมาณ 4 เดือน (เดือนต.ค.2554- ม.ค.2555) แต่โชคดีมาก (ลากเสียงยาว) ตรงที่บริษัทได้ทำประกันน้ำไว้ ทำให้ไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนั้น หลังโรงงานเปิดการผลิตปกติ มีคำสั่งซื้อเข้ามาพรึ่บ! เราโชคดีมากจริงๆ
“การไม่มีหนี้กับแบงก์ ทำให้บริษัทสามารถเดินผ่านวิกฤติแรงๆได้อย่างง่ายดาย”
“หญิงเก่ง” เลือกที่จะเล่า “วิถีแห่งเซียนเก็งกำไรที่ดินเปล่า” ให้ฟังแทนแผนธุรกิจของ “บางกอก เดค-คอน” ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาวันซื้อขายว่า ช่วงอายุ 20 ปี สมัย “พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ” เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นที่ดินบูมมากๆ คนแห่เก็งกำไรกันเพียบ!!
วันหนึ่งเพื่อนมาชวนไปซื้อที่ดินแถวจังหวัดนนทบุรี เราตัดสินใจซื้อ ทั้งๆที่ยังไม่เห็นหน้าตาที่ดินด้วยซ้ำ ด้วยการวางเงินมัดจำไม่กี่ล้านบาท เชื่อหรือไม่! ยังไม่ทันโอนที่ดิน รู้สึกห่างจากวันวางเงินมัดจำไม่ถึงเดือน เพื่อนโทรมาบอกว่า “ขายที่ดินแล้วได้แถมได้กำไรสูงถึง 3-4 เท่าตัว”
อาการ “ติดใจ” เกิดขึ้นละ!!
คราวนี้มา “เก็งกำไรที่ดิน” แถวจังหวัดนนทบุรีสักระยะ บางแปลงยังไม่ทันโอน หรือโอนไม่นานเราก็ขายกินกำไรแล้ว แต่เก็งกำไรที่ดินสมัยน้าชาติใช่ว่าจะราบรื่นตลอด เคยเจอวิกฤติที่เดินแพงเว่อร์เหมือนกัน โชคดีโดนผลกระทบนิดหน่อย เพราะถือคติ “ไม่ทำอะไรเกินตัวมาก” ทุกครั้งก่อนซื้อที่ดิน เราต้องมั่นใจว่ามีเงินโอนเพียงพอ ถือเป็นการป้องกันความเสี่ยงชนิดหนึ่ง
จากนั้นไม่นานก็มาไล่ซื้อที่ดินแถวจังหวัด “เชียงราย-ภูเก็ต- ตรัง-เขาใหญ่” มีข้อแม้ว่าต้องใช้เงินซื้อที่ดินหนึ่งแห่งไม่เกินหลักร้อยล้านบาท ผลของการเก็งกำไรปีแรกๆ ถือว่าได้ “กำไรหลายเท่าตัว” ทุกครั้งที่ได้กำไรมักนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนต่อ (เรียกว่าเงินต่อเงิน) พูดง่ายๆว่า มีเงินเหลือเท่าไรทุ่มซื้อที่ดินหมดเกลี้ยง (หัวเราะ) นั่นเป็นเพราะมีผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากเยอะมาก เพียงแต่เราต้องดูที่ดินให้เป็นเท่านั้น
กลยุทธ์การลงทุนช่วงแรกๆ คือ เน้นซื้อที่ดินย่านที่กำลังจะมีถนนตัดผ่าน พูดง่ายๆว่า “ตรงไหนที่ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึงจะชอบมาก” เพราะนอกจากจะถูกแล้วยังขายต่อได้ง่ายด้วย แต่ถ้าที่ดินที่ความเจริญเข้าถึงแล้ว ราคาค่อนข้างแพงซื้อไม่ไหวจริงๆ
ปัจจุบันกลยุทธ์การเลือกที่ดินได้ปรับเปลี่ยนไปแล้ว ตรงที่ยอมซื้อที่ดินทำเลดี ราคาแพง เพราะทุกครั้งที่ขายจะได้ราคาดีมาก แถมขายง่ายอีกต่างหาก เมื่อก่อนไม่ค่อยสนใจที่ดินแถวใจกลางเมือง โดยเฉพาะเส้นสุขุมวิท บอกตรงซื้อไม่ไหว (เธอย้ำ) แพงเกินไป แต่เดี๋ยวนี้ชอบมาก
หากมีใครมาเสนอขายที่ดินติดรถไฟฟ้า หรือติดถนนแบบ “ไม่แพงเว่อร์” ยอมรับอยากได้เป็นพิเศษ จริงๆอยากได้ที่ดินแถบภาคอีสาน อาทิเช่น จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดมหาสารคาม แต่ซื้อไม่ไหว วันนี้ราคาตกตารางวาละเป็นแสนบาท
เธอ ตอบคำถามที่ว่า “ตอนนี้ครอบครองที่ดินแถวไหนบ้าง” มีที่ดินเปล่าแถวอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 5-6 แห่ง ประมาณ 600-700 ไร่ สอยมา 5-6 ปีก่อน ต้นทุนแค่ “หลักแสนบาทต่อไร่” ตอนนี้ราคาขึ้นเป็น “หลักล้านต่อไร่” แล้ว ตั้งใจจะตัดขายประมาณ 500 ไร่ ตกไร่ละ 1 ล้านบาท มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท
ตอนนี้มีคนติดต่ออยากซื้อที่ดินแปลงนี้ไปเก็งกำไรต่อแล้ว แต่เขาต่อราคาเหลือไร่ละ 800,000 บาท ถ้าราคานี้ตอบเลยไม่ขาย! แต่ถ้ารัฐบาลอนุมัติสร้างมอเตอร์เวย์ซึ่งจะใช้เวลาวิ่งตรงจากกรุงเทพฯเพียง 1 ชั่วโมงกว่า และรัฐเตรียมเปิดเมืองใหม่แถวตำบลหนองสาหร่าย อาจไม่ขายแล้ว คิดดูสิเราใช้เวลาไม่นานออกจากเมืองแล้วได้สูดอากาศที่ลดลงจากกรุงเทพ 7-10 องศา บอกตรงเสียดาย! แต่สุดท้ายจะขายหรือไม่ขึ้นอยู่กับราคา!! ถ้ามีเมืองใหม่อนาคตที่ดินแปลงนี้คงมีราคาแพงขึ้น
เมื่อก่อนเคยคิดจะขายที่ดินแถวถนน กุดคล้า จังหวัดนครราชสีมา ทั้งๆที่รักที่ดินแปลงนี้มาก โชคดีพี่สาวเบรกไว้ ตอนโน้นซื้อมาไร่ละ “หลักแสนบาท” ปัจจุบันราคาพุ่งพรวดเป็นไร่ละ 10 ล้านบาท เรามีอยู่ 20 ไร่!!
“นักเก็งกำไรที่ดิน” เล่าต่อว่า ยังมีที่ดินกลางเมือง จังหวัดตรัง 10 ไร่ ซื้อมาไร่ละ 2 ล้านบาท ตั้งใจจะขายไร่ละ 10 ล้าน แต่มีคนต่อเหลือไร่ละ 7 ล้านบาท ถ้าไม่ได้ดั่งใจไม่ขาย เธอยืนยัน เรายังมีที่ดินในหาดกะรน จังหวัดภูเก็ต ประมาณ 30 ไร่ ต้นทุนหลายล้านบาทต่อไร่ แปลงนี้คงไม่ขาย เพราะตั้งใจจะนำที่ดินไปปลูกป่าแล้วสร้างกระต๊อบสักหลัง กะจะทำเป็นที่พักตากอากาศเล็กๆของครอบครัว
“พี่รักต้นไม้ อาชีพของเราตัดต้นไม้เยอะฉะนั้นหากมีโอกาสควรสร้างทดแทน”
เธอ เล่าต่อว่า เรายังมีที่ดิน 600 ไร่ จังหวัดเชียงราย ห่างจากสามเหลี่ยมทองคำ 5 กิโลเมตร ซื้อมา 10 กว่าปีแล้ว ต้นทุนไร่ละ “หลักหมื่นบาท” ทุกวันนี้ราคาตกไร่ละ “หลายแสนบาท” ที่ดินแปลงนี้เราได้นำไปปลูกป่าสักเต็มพื้นที่ น่าเสียดายตายไปครึ่งหนึ่ง เพราะคนดูแลไม่ดี แถมโดนขโมยอีกต่างหาก ตอนนี้ได้ขอให้ผู้ใหญ่บ้านมาช่วยดูแล
ตั้งใจว่าจะแบ่งที่ดินบางสวนไปทำโครงการพลังงานชีวภาพ ด้วยการร่วมทุนกับบริษัทที่เขามีความถนัดเรื่องนี้ กะว่าจะทำให้นามส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท เบื้องต้นจะมีกำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 1 ปีข้างหน้า ที่ดินแถวจังหวัดกาญจนบุรี เราก็มีเหมือนกันอยู่ใกล้ๆเขื่อนน่าจะประมาณ 3-4 ไร่ ซื้อมานานมากแล้วประมาณ 20 ปี ยังไม่มีไอเดียจะนำไปทำอะไร
ถามถึงที่ดินในกรุงเทพ เธอตอบว่า มีแถวรามอินทรา ซอยวัดคู้บอน 10 กว่าไร่ ตั้งอยู่ใกล้ๆตรงที่ทางการจะตัดถนนสายรัตนโกสินทร์สมโภช-นิมิตรใหม่ ล่าสุดเพิ่งเทคโอเวอร์อพาร์ทเมนท์เก่า แถวอินทามระ ใกล้ๆบมจ.ช.การช่าง จำนวน 170 ห้อง มูลค่า 60 ล้านบาท เพิ่งใส่เงินหลายสิบล้านบาท เพื่อปรับปรุงใหม่ยกแผง โดยเปิดให้เช่าเดือนละ 6,000 บาท
ถ้าใครมี “เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์” ถูกๆมาขายต่อขอให้บอก ที่ผ่านมามีแวะเวียนมาขายเหมือนกัน แต่เสนอแพงไปหน่อย ส่วนตัวชอบเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์แถวกลางเมือง อาทิเช่น สุขุมวิท การไปเทคโอเวอร์กิจการของคนอื่นมาทำต่อ ถือเป็นวิธีที่ “ง่ายกว่า” ลงมือทำเอง
“หากขายที่ดินทั้งหมดที่มีอยู่ในมือน่าจะได้เงินกลับมา“หลักพันล้านบาท” เธอ ประเมิน
ถามถึงเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น “ฉลาม” เล่าว่า ลงทุนมาตั้งแต่อายุ 17-18 ปี ทุกวันนี้ให้ความสำคัญเพียง 2% ของพอร์ตเท่านั้น ส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักในการเก็งกำไรที่ดินมากกว่า เพราะตลาดหุ้นค่อนข้างมีความเสี่ยง แต่ถึงจะเสี่ยง ก็ยังซื้อลงทุน (หัวเราะ) ส่วนตัวชอบหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตรวดเร็ว เพราะโอกาสขาดทุนน้อยกว่า
ช่วงแรกของการลงทุนใช้เงินซื้อหุ้นเพียง “หลักล้านบาท” หุ้นตัวแรก คือ หุ้นกลุ่มแบงก์ ตอนนั้นซื้อเยอะมาก แต่เมื่อแบงก์ปิดตัว หลังเจอต้มยำกุ้งพ่นพิษ หุ้นที่มีอยู่กลายเป็นกระดาษทันที ทำตอนนั้นหยุดเล่นหุ้นไปพักใหญ่ หลังจากนั้น 3-4 ปี จึงกลับมาเล่นใหม่ เพราะการลงทุนในตลาดหุ้น ถือว่าให้ผลตอบแทนดี หากเราวิเคราะห์เป็นส่วนใหญ่จะเน้นดูผลประกอบการของบริษัทนั้นๆว่าดีหรือไม่ และเจ้าของมีธรรมภิบาลมั้ย พวกค่า P/E หรือหนี้สินต่อทุน หรือ D/E จะให้ความสำคัญแค่ไม่มากเท่านั้น
“รักหุ้นตัวไหนมากที่สุด” ตอบหุ้นตัวเองได้มั้ย เธอพูดติดตลก ก่อนตอบว่า ตอนนี้มีหุ้นในมือแค่ 3-4 ตัว เช่น กลุ่มแบงก์ พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ เน้นพื้นฐานดีๆเป็นหลัก เพราะหากตลาดหุ้นตกอยู่ในภาวะไม่เอื้ออำนวยจนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงในบางขณะ เมื่อตลาดหุ้นกลับมาดีเหมือนเดิม หุ้นเหล่านี้จะดีดกลับทันทีแทบไม่ต้องไปทำอะไรเลย
ช่วง 3-4 ปีที่หลังที่ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาเยอะ ยอมรับได้ “กำไรหลายเท่าตัว” ถามว่า อนาคตจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นหรือไม่ ขอเน้นเก็งกำไรที่ดินดีกว่า
เพราะโอกาสขาดทุนน้อยมาก ยิ่งเราดูเป็นมองออกโอกาสกำไรเยอะ ส่วนการลงทุนใน ทองคำ บอกตรงไม่กล้าซื้อ ทองคำเขาเล่นกันทั่วโลก มองยากมากๆ
ครั้งหนึ่งเคยทดลองเล่นโกลด์ฟิวเจอร์ส มูลค่าหลักล้านบาท สุดท้ายไม่เหลืออะไรเลย เสี่ยงมากๆ ขณะที่เรานอนหลับตลาดบ้านเราปิด แต่ทั่วโลกไม่ปิด นาทีนั้นอยากขายใจจะขาด แต่ขายไม่ได้ ทำให้ตอนนั้นขาดทุนเกิน 50% ตัดใจเลิกเล่นเลย ไม่ได้ตั้งใจให้ขาดทุนหนักขนาดนี้ แต่ตลาดบ้านเรายังไม่เปิดขายจะขายยังไง..
ปัจจุบันพอร์ตหุ้นเฉียด “ร้อยล้านบาท” ไม่หวังผลตอบแทนมากมายเฉลี่ยปีละ 10% ก็พอใจแล้ว กลยุทธ์การลงทุนทุกวันนี้ไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่จะตัดขาดทุน 20% และขายเมื่อได้กำไร 20-30% เว้นแต่บางตัวดีที่พื้นฐานดีจริงๆ ก็จะปล่อยให้เขาทำกำไรไปเรื่อยๆ ถามถึงวิธีการหาหุ้น ปกติคิดเองทำเอง ฟังคนอื่นบ้างนิดหน่อย แต่สุดท้ายจะนำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาเองว่า “