นี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง ๆ จากชีวิตเลยนะครับ
ขอเกริ่นก่อนนะครับครอบครัวเท่าที่ผมจำความได้ตอนเล็ก ๆ เป็นครอบครัวที่ยากจนพ่อกับแม่ต้องไปทำงาน ตจว ทิ้งผมให้อยู่กับย่าแต่พอพ่อกับแม่ทำงานเก็บตังได้สักก้อนก็มาจับธุรกิจเกี่ยวกับการขายส่ง ส่งออกพ่อก็สร้างทุกอย่างให้กับครอบจนมีฐานะมีกิจการเป็นของตัวเองมีโรงงานมีลูกน้องมีหน้าตาในสังคมหมู่บ้านจนเป็นที่ยอมรับในหมู่บ้าน
ครอบครัวผมก็คงจะเหมือนครอบครัวอื่นคือแม่เป็นคนเก็บตังดูแลเรื่องเงินในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือการหาทุนมาหมุนทำการค้าขายถ้ามีงานใหญ่ๆที่ใช้ทุนมาก ๆ ก็หาเงินโดยการเอาบ้านไปเข้าธนาคารเอาเงินมาหมุนได้กำไรก็เอาบ้านออกเป็นวัฏจักรจนดูเป็นเรื่องปกติ ครอบครัวในตอนนั้นแลดูมีความสุขมีครบทุกอย่างทั้งรถเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้านเวลาว่าง ๆ แม่ก็นัดพวกญาติพี่น้องมาเล่นไพ่ตามประสาญาติ ๆ เวลาปีใหม่ก็จัดงานเลี้ยงลูกน้องเราในตอนเด็กแลดูมีความสุขรู้สึกว่าพ่อคือฮีโร่ที่ทำให้เราสบายอยู่ทุกวันนี้
ชีวิตก็ดำเนินต่อไป พ่อแม่จับธุรกิจไปผมก็มีหน้าที่เรียนไปถ้าว่างก็ช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้านเเป็นปกติจนผมเรียนจบ ป.ตรี และสอบเป็นครูคอมได้ในโรงเรียนชนบทแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากบ้านผมมากผมต้องไปนอนที่บ้านพักโรงเรียนเพื่อเซฟค่าใช้จ่ายเดือนหนึ่งอาจกจะได้กลับบ้าน 2-3 ครั้งระหว่างทำงานผมก็คบกับผู้หญิงคนหนึ่งทำงานธนาคารแห่งหนึ่งชีวิตก็แพลนว่าจะเก็บตังแต่งงานกันดูมีความสุข
เรื่องก็เริ่มต้นจากนี้ทุกครั้งที่ผมกลับบ้านเสาร์-อาทิตย์หรือช่วงหยุดยาวหรือปิดเทอมก็เป็นปกติที่เห็นแม่ชอบนัดญาติมาเล่นไพ่กันผมก็ดูเป็นเรื่องปกติที่เห็นมาแต่เด็ก ๆ แต่ดูช่วงหลัง ๆ ดูเล่นบ่อยมากและที่สำคัญคนที่เล่นด้วยไม่ใช่ญาติที่รู้จักคุ้นเคย
แล้วมักชักหนักขึ้นทุกทีแม่เล่นแบบยึดห้องนอนผมเล่นเพราะห้องอยู่ชั้นล่างเข้าออกง่ายเวลาเล่นก็เปิดแอร์เย็นสบายเล่นค่ำถึงเช้าเลยก็มีจนผมต้องไปนอนห้องแม่กับพ่อแทนบางผมไม่รู้จะทำไงเวลาแม่เล่นเสร็จก็เตือนแม่ว่าเลิกเล่นเถอะมันไม่ใช่เล่นสนุก ๆ แบบญาติ ๆ แล้วแต่คำที่ได้กลับมาเสมอคือ "เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่ต้องมายุ่ง"
และเพราะเรื่องเล่นไพ่ที่บ้านบ่อย ๆ พ่อกับผมไม่ชอบมากขึ้นแต่พ่อแกจะเป็นคนไม่ค่อยพูดนิสัยแกชอบเงียบ ๆ แต่ผมไม่ใช่จนหลังผมกับแม่ชอบทะเลาะกันบ่อยเพราะเรื่องไพ่จนแม่พูดกับผมว่า "สรุปแกเป็นลูกชั้นหรือพ่อชั้นกันแน่มาสั่งสอนชั้น" จากนั้นผมกับพ่อก็ไม่สนใจอีกเลยต่างกันต่างทำหน้าที่ของกันไปพ่อทำงานของพ่อ ผมทำงานของผม
จนหลัง ๆ แม่เห็นว่าผมกับพ่อไม่สนใจก็ไม่ได้พาใครมาเล่นไพ่ที่บ้านแล้วผมกับพ่อรู้สึกว่าแม่คงรับรู้ถึงสงครามเย็นที่ผมกับพ่อทำแต่ที่กลับกันแม่ไม่ได้เลิกเล่นเพราะไม่พาใครมาเล่นที่บ้านแต่กลับเข้าสู่วงการการพนันอย่างเต็มรูปแบบโดยการชักชวนไปเล่นบ่อนที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด
และเรื่องก็เร็วร้ายกว่าเดิมเมื่อมีใบแจ้งหนี้ว่าไม่ได้ชำระค่าบ้านที่เข้าธนาคารไว้ผมกับพ่อก็งงจึงได้โทรไปสอบถามทางธนาคารปรากฏว่าแม่เอาบ้านไปเข้าไว้เป็นจำนวนเงิน 2 ล้านบาทเรา 2 พ่อลูกก็รอแม่กลับบ้านแล้วถามเรื่องที่เกิดขึ้นปรากฏว่าแม่สารภาพหมดทุกอย่างว่าเอาบ้านไปเข้าธนาคารแล้วเอาเงินไปเล่นจนเงินใกล้หมดแล้ว แล้วที่สำคัญแม่ไปกู้เงินจากญาติห่าง ๆ มาอีก 1 ล้านบาทรวม 3 ล้านบาทสรุปแม่ใช้เงิน 3 ล้านบาทหมดในระยะเวลาแค่ 6 เดือนสภาพครัวครอบตอนนั้นย่ำแย่ต้องทยอยขายที่ขายรถมาใช้หนี้และหวังว่าจะเอามาต่อยอดธุรกิจ
ดวงผมเหมือนจะตกหรือชาติที่แล้วคงทำกรรมไว้มากชีวิตผมเริมแย่ลงเรื่อย ๆ จากที่กลับบ้านบ่อยก็ต้องนาน ๆ กลับทีเพราะต้องช่วยบ้านประหยัดจากที่ผมไม่ได้กลับบ้านเลยก็ไม่ได้ดูแลบ้านได้พอควรแต่แม่ก็ยังไม่เลิกไม่สำนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเงินจากการขายที่และขายรถที่จำนำมาใช้หนี้และต่อยอดงานทีทำแม่กลับแอบเอาไปเล่นจนหมดอีกครั้ง
ชีวิตตอนนั้นย่ำแย่ไปหมดทุกอย่างเหมือนชะตาชีวิตขีดเส้นไว้ให้ดิ่งลงเรื่อย ๆ พ่อเครียดมากกลับมากินเหล้าสูบบุหรี่หนักอีกครั้งจากที่เลิกไปนานเพราะทุกอย่างที่แกสร้างมาพังทลายไปกับตาจากที่เคยมีทุกอย่างหายลับตาไปไปหมดไม่ว่าเงินทอง ธุรกิจ รถ ลูกน้องแม้แต่ความมีหน้ามีตามีคนเคารพนับถือ
หลังจากที่แม่ไม่มีเงินจ่ายค่าเงินกู้แม่ก็โดนฟ้องจนขึ้นศาลบ่อย ๆ ตอนนั้นผมเครียดมากเรื่องบ้านก็มากพอแต่เวลาผมโทรไปหาแม่แม่ชอบพูดเสมอว่า "ถ้าแม่ไม่อยู่สักคน อยู่กันได้มั้ย" ชอบพูดให้คิดเสมอว่าจะคิดสั้นมันทำให้ผมเครียดไปใหญ่ไม่รู้ทำไงต่อไปผมกลัวครอบครังจะแย่ไปกว่านี้เลยคิดหาทางสุดท้ายเท่าที่จะทำได้ผมก็ปรึกษาแฟนว่าจะกู้ตัง 600000 มาช่วยบ้านตอนแรก ๆ แฟนก็ไม่เห็นด้วยเพราะกัมาแล้วก็เป็นหนี้แล้วอนาคตของเราละ ผมก็อธิบายให้ฟังว่าเอาให้พ่อไปทำทุนไม่ให้แม่จับตังแล้วอีกหน่อยกลับมาดีแม่จะให้เท่าตัวไม่ต้องห่วง
ผมทำเรื่องกู้ตังจนผ่านบวกกับบัตรต่าง ๆ อีก 3 ใบประมาณ 1 แสน รวมเป็น 700000 ให้พ่อดำเนินการแต่ก็เป็นแบบเดิมเวลาพ่อขายของเสร็จแม่จะแอบไปเอาเงินค่าขายของเองและเก็บเงินไว้และแอบไปเล่นอีกเสมอแต่ไม่บ่อยมากนานๆไปเล่นทีแต่ก็มักมีคนมาฟ้องเสอมว่าเห็นแม่แอบเข้าบ่อน
ชีวิตหลังจากนั้นก็แย่ลงเรื่อย ๆ เพราะเครียดเรื่องบ้านไม่พอต้องทะเลาะกับแฟนเรื่องค่าใช้จ่ายไม่พออีกเพราะเราต้องใช้หนี้เงินกู้บวกกับที่โรงเรียนได้เปลี่ยน ผอ.ใหม่ กับ ครูใหม่เข้ามาอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ไม่รัว่าผมโดนกลั่นแกล้งหรือเปล่าหรือดวงผมแย่ ผมเอกจบคอม 4 ปีโดนให้ไปประจำชั้น ป.2 สอนเด็กเล็กโดยไม่ได้สอนคอมเลยเพราะต้องสอนไปพร้อมการเรียนทางทีวี แต่ครูใหม่ที่มากับ ผอ. 2 ปีแรกเรียนพละมา ไปต่อ คอม2ปีหลัง ได้สอนคอมมัธยม (ปล.ร.ร.ผมเป็นโรงเรียนขยายโอกาส) ตอนแรกผมคิดว่าหน้าที่ไงก็รับไปก่อน หลังจากที่ผมสอนไปผมรู้สึกว่าไม่ใช่เลยผมไม่ได้สอนคอมแม้แต่น้อยเลย ผมเคยไปถาม ผอ.แต่ได้รับคำตอบว่า เอาน่าเปลี่ยน ๆ กันสอน เทอมหน้าค่อยว่ากัน
ระหว่างที่อยู่ด้วยความที่ผม จบ คอมมา 4 ปี มันย่อมแน่นกว่าอยู่แล้ว ผมทำเว็ป รร และทำวงดุริยางค์ รร ด้วย หรือ เวลาคอมหรือระบบอะไรเสียหายผมมักจะแก้ไขได้ก่อนจากก่อนหน้านั้นที่ผมสอนคอม ม.1 ผมจะสอน PS ม2.ผมสอน VB 6.0 และ ม.3ผมสอนซ่อมบำรุงคอมฯ แกก็มาเปลี่ยนหมดเป็น คอม ม.1 สอน Word ม.2 สอน Power Point และ ม.3 สอน Excel ผมเคยไปเสนอผมว่าไม่ควรสอนแบบนี้เพราะเด็กโตแล้ว เรื่องไปถึงหูพี่คนนั้น ไม่รู้ว่าทำให้แกเกลียดผมหรือเปล่า แกชอบไซโคผมกับ ผอ.ตลอดเวลาว่า สอนไปได้ไง ซ่อมคอม เดี่ยวเด็กก็แกะคอมขโมยแรมนั้นนี้ เวลาผมสอนวิขาดนตรีเด็ก ป.2 กิจกรรมเข้าจังหวะ ก็ไปฟ้องว่า ทำเสียงดัง เวลาสอนเด็กถนอมอาหารก็ไปฟ้องอีกว่า มีควันไฟรบกวน ตอนนั้นผมก็เฉย ๆ ไม่อยากต่อล้อเถียงเพราะเรื่องที่บ้านก็ปวดหัวมากพอแล้ว
ด้วยเรื่องที่บ้านและเรื่องแฟนสร้างความเครียดให้ผมมากมายจนผมกลายเป็นคนเงียบ ๆ ไม่พูดจา ใครจะใส่ร้ายผมยังไงก็ไม่สนใจ การที่อยู่เฉย ๆ กลายเป็นว่าเป็นผมไม่ตอบโต้กับการที่โดนกล่าวหาเลยกลายเป็นการยอมรับอีก จนผมดูไม่ดีในสายตา ผอ. ผมก็ทนเรื่อยมา จนถึงวันสุดท้ายของภาคเรียน พรุ่งนี้จะปิดเทมอแล้ว ดวงซวยก็เกิดขึ้นอีก นั้นเวลา 15.30 อีก 30 นาที รร ก็เลิก ผมให้เด็กเก็บโต๊ะไว้หลังห้องเพื่อทำความสะอาดห้องก่อนปิดเทมอจนเสร็จจนเวลา 15.50 อีก 10 ก็เลิก ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรให้เด็กนั่งรอจน รร เลิกผมก็ไปเข้าห้องน้ำ เรื่องก็เกิดขึ้นในระหว่างที่ผมไปเข้าห้องน้ำ เด็กเล่นกันจนตกหน้าต่างอาคารไม้ชั้น 1 ลงพื้นดิน จนเป็นเรื่อง ผมก็ตามเด็กไปที่ รพ.และเฝ้าอาการเด็ก ดีที่เด็กปลอดภัยเพราะพื้นที่ตกลงมาเป็นดินอ่อนบวกกับกระดูกเด็กมันยืดหยุ่นได้ดี ระหว่างที่ผมไปส่งเด็กถึงบ้านผมก็ขอโทษผู้ปกครองตลอดเวลา ผู้ปกครองเด็ก็ยิ้มและบอกว่าไม่ได้เอาความอะไรลูกเค้าซนเองช่างมันเถอะ
พอเช้าวันแรกของการปิดเทมอก็เหมือนเดิมพ่อแม่ทะเลาะกันผมก็ทะเลาะกับแฟนจนสร้างเรื่องเครียด ๆ จนผมปวดหัว ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้ามาผมดูหน้าจอ ผอ.โทรมานั้นเอง เสียงแรกที่พูดมาคือ รร ได้ประชุมกันแล้วเรื่องผมที่ทำให้เด็กต้องเข้า รพ ว่าผมไม่ดูแลเด็กจนบาดเจ็บ แล้วเราควรจะทำไงดี ด้วยความเครียดมากมายสะสมทั้งบ้านทั้งแฟน ผมบอกออกไปทันทีว่า ผมจะลาออกเพื่อเป็นการชดใช้เอง ผมเขียนใบลาออกพร้อมลายเซ็นส่งไป รร ทันที โดยที่แม่ไม่รู้
จากนั้นพอแม่รู้เรื่องยิ่งทำให้ทะเลาะกันไปใหญ่ผมตัดสินใจไปทำงานใกล้ ๆ แฟนผมซึ่งอยู่คนละจังหวัดกับบ้านและอารมณ์ตอนนนั้นไม่อยากรับรู้เรื่องทางบ้านและคำเล่าของปากเช้าบ้านบวกกับที่แม่บอกว่า โง่หรือเปล่าที่ลาออก ไปทำงานกับแฟนไปอายเค้า
จากนั้นผมก็มาทำงานที่ จ.เดียวกับแฟน ก็ทำเลาะเรื่องเงินเรื่อยมาเนื่องจากผมต้องใช้หนี้ที่กู้มาอย่างเปล่าประโชยน์และไม่มีเงินเก็บแต่งงานสักทีเรื่องที่บ้านก็แย่พ่อก็กินเหล้าหนักขึ้นทุกวันเรื่องบ้านกับหนี้ก็ยังขึ้นศาลไม่มีหยุดคงให้ประนอมหนี้จ่ายขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ จ่ายได้แค่ดอกโดยไม่มีเงินต้นเลย
หลังจากนั้นแฟนผมก็เปลี่ยนไปจากที่กลับบ้าน ตจว ด้วยกันกลายเป็นว่าเค้ากลับกับญาติ้เค้าบ่อย ๆ จากนั้นผมก็จับได้ว่าเค้ามีคนอื่นเป็นผู้จัดการอะไรสักอย่าง เค้าก็ให้เหตุผลว่าอยู่กับเราไม่มีอะไรดีขึ้น อยากมีอนาคตที่ดีคำที่เจ็บที่สุดคือ ลำพังตัวเค้าคนเดียว เงินเดือนเค้าพอกินแน่ ๆ ซึ้งก็หมายความว่าเราไปเกาะเค้ากิน ผมเสียใจร้องไห้จนไม่รู้จะร้องไห้ยังไง เค้าทิ้งผมไว้ในห้องเพียงลำพังออกจากห้องที่เราเคยอยู่ด้วยกันมา มีเพียงข้อความบอกว่า ขนของออกไปล็อคห้องให้ด้วยนะ ผมขนของมากมายโดยเรียกแท็กซี่แล้วขนไปห้องผมก่อน ในหัวสมองตอนนั้นคิดว่าไม่โกรธเค้าเลย เราคงเป็นอย่างงั้นจริง ๆ เค้าคงมีคนที่ดูแลเค้าได้
พอมาถึงห้องเพื่อนไม่รู้อารมณ์ไหนปน ๆ กันไปหมด ขนของลงรถแบบเบลอ ๆ จนคิดว่าครบแล้ว มารู้ตัวอีกทีว่ากระเป๋าเอกสาร ใบปริญญาบัตร ใบแสดงผลการเรียน หรือผลงานครูต่าง ๆ ที่ผ่านมาทั้งหมดอยู่ในท้ายรถ เพราะของเยอะมากจริง ๆ ที่ย้ายออกมา ซวยอีกแล้ว พยายามโทร จส.100 หรือ อะไรต่างที่เกี่ยวข้องก็หายเงียบไป
อีกไม่กี่เดือนหลังจากได้ห้องพักราคาถูกแล้วย้ายของมาหมดแล้วหลังจากเลิกงานทำงานก็เดินทางกลับห้องแม่ก็โทรมาเป็นคำที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน แม่บอกว่า "ตอนนี้พ่ออาการหนักอยู่ห้อง ICU กลับบ้านด่วน" ความรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวทำอะไรไม่รู้ คิดเพียงในใจว่า "พ่อจ๋าอย่าเป็นอะไรนะรอหนูก่อน" คืนนั้นเดินทางกลับบ้านในทันที แต่ในที่สุดก็ไม่อาจห้ามมัจจุราชที่มาเอาตัวพ่อไปได้ แม่โทรมาบอกว่า พ่อเสียเวลา ตี 2.20 นาที ตอนนั้นรู้สึก แปลก ๆ บอกไม่ถูกร้องไห้ไม่ออก แน่นอกไปหมด เช้าถึงบ้านเห็นงานศพและหีบศพพ่อก็ยังไม่ร้องไห้เลย คิดว่าผมเป็นอะไรไปทำไมถึงไม่ร้องไห้ ในใจลึก ๆ อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องโกหก
หมอบอกว่าข้างในพ่อเสียหมดแล้วเพราะสูบบุหรี่และกินเหล้าหนักมาก ๆ ตลอดงาน 3 วันที่จัดผมไม่มีน้ำตาเลยแล้ววันสุดท้ายวันที่จะเผาต้องเอาพ่อออกจากตู้เย็นลงหีบสับปะเหร่อบอกว่ารอเดี่ยวนะเลือดเสียในตัวพ่อออกจากทางปากทางจมูกแห้งหมดแล้วขอเช็ดก่อน
วินาทีนั้นผมคว้าผ้าจากสับปะเหร่อชุบน้ำอุ่นที่ต้มไว้เช็ดเลือดแห้งที่หน้าพ่อทันทีที่เช็ดความรู้สึกต่าง ๆ ทะลักออกมาทันที ผมปล่อยโหอย่างที่ไม่มีมาก่อนมือสั่นเช็คเลือดพ่อไปร้องไห้ไปเสียใจอย่างบอกไม่ถูกคิดว่า ทำกรรมอะไรไว้ชีวิตถึงได้เป็นแบบนี้
หลังจากงานศพก็ได้เงินจากศพพ่อก่อนสุดท้ายประมาณ 3 แสนให้แม่ดูแลต่อก็ไม่รู้ว่าจะยังไงต่อไป
หลังจากที่เผาเสร็จผมมานั่งคิดคนเดียวว่า ที่พ่อกลับมากินเหล้าสูบบุหรี่เพราะอยากไปสบายแล้วจะได้จากมีเงินจากศพพ่อมาดูแลครอบครังครั้งสุดท้ายหรือเปล่า บางครั้งผมรู้สึกอิจจาพ่อนะว่าพ่อไม่ต้องคิดอะไรแล้ว....คิดแบบพ่อคงดี...!!!
ชีวิตยิ่งกว่าละคร..!!!
ขอเกริ่นก่อนนะครับครอบครัวเท่าที่ผมจำความได้ตอนเล็ก ๆ เป็นครอบครัวที่ยากจนพ่อกับแม่ต้องไปทำงาน ตจว ทิ้งผมให้อยู่กับย่าแต่พอพ่อกับแม่ทำงานเก็บตังได้สักก้อนก็มาจับธุรกิจเกี่ยวกับการขายส่ง ส่งออกพ่อก็สร้างทุกอย่างให้กับครอบจนมีฐานะมีกิจการเป็นของตัวเองมีโรงงานมีลูกน้องมีหน้าตาในสังคมหมู่บ้านจนเป็นที่ยอมรับในหมู่บ้าน
ครอบครัวผมก็คงจะเหมือนครอบครัวอื่นคือแม่เป็นคนเก็บตังดูแลเรื่องเงินในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือการหาทุนมาหมุนทำการค้าขายถ้ามีงานใหญ่ๆที่ใช้ทุนมาก ๆ ก็หาเงินโดยการเอาบ้านไปเข้าธนาคารเอาเงินมาหมุนได้กำไรก็เอาบ้านออกเป็นวัฏจักรจนดูเป็นเรื่องปกติ ครอบครัวในตอนนั้นแลดูมีความสุขมีครบทุกอย่างทั้งรถเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้านเวลาว่าง ๆ แม่ก็นัดพวกญาติพี่น้องมาเล่นไพ่ตามประสาญาติ ๆ เวลาปีใหม่ก็จัดงานเลี้ยงลูกน้องเราในตอนเด็กแลดูมีความสุขรู้สึกว่าพ่อคือฮีโร่ที่ทำให้เราสบายอยู่ทุกวันนี้
ชีวิตก็ดำเนินต่อไป พ่อแม่จับธุรกิจไปผมก็มีหน้าที่เรียนไปถ้าว่างก็ช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้านเเป็นปกติจนผมเรียนจบ ป.ตรี และสอบเป็นครูคอมได้ในโรงเรียนชนบทแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากบ้านผมมากผมต้องไปนอนที่บ้านพักโรงเรียนเพื่อเซฟค่าใช้จ่ายเดือนหนึ่งอาจกจะได้กลับบ้าน 2-3 ครั้งระหว่างทำงานผมก็คบกับผู้หญิงคนหนึ่งทำงานธนาคารแห่งหนึ่งชีวิตก็แพลนว่าจะเก็บตังแต่งงานกันดูมีความสุข
เรื่องก็เริ่มต้นจากนี้ทุกครั้งที่ผมกลับบ้านเสาร์-อาทิตย์หรือช่วงหยุดยาวหรือปิดเทอมก็เป็นปกติที่เห็นแม่ชอบนัดญาติมาเล่นไพ่กันผมก็ดูเป็นเรื่องปกติที่เห็นมาแต่เด็ก ๆ แต่ดูช่วงหลัง ๆ ดูเล่นบ่อยมากและที่สำคัญคนที่เล่นด้วยไม่ใช่ญาติที่รู้จักคุ้นเคย
แล้วมักชักหนักขึ้นทุกทีแม่เล่นแบบยึดห้องนอนผมเล่นเพราะห้องอยู่ชั้นล่างเข้าออกง่ายเวลาเล่นก็เปิดแอร์เย็นสบายเล่นค่ำถึงเช้าเลยก็มีจนผมต้องไปนอนห้องแม่กับพ่อแทนบางผมไม่รู้จะทำไงเวลาแม่เล่นเสร็จก็เตือนแม่ว่าเลิกเล่นเถอะมันไม่ใช่เล่นสนุก ๆ แบบญาติ ๆ แล้วแต่คำที่ได้กลับมาเสมอคือ "เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่ต้องมายุ่ง"
และเพราะเรื่องเล่นไพ่ที่บ้านบ่อย ๆ พ่อกับผมไม่ชอบมากขึ้นแต่พ่อแกจะเป็นคนไม่ค่อยพูดนิสัยแกชอบเงียบ ๆ แต่ผมไม่ใช่จนหลังผมกับแม่ชอบทะเลาะกันบ่อยเพราะเรื่องไพ่จนแม่พูดกับผมว่า "สรุปแกเป็นลูกชั้นหรือพ่อชั้นกันแน่มาสั่งสอนชั้น" จากนั้นผมกับพ่อก็ไม่สนใจอีกเลยต่างกันต่างทำหน้าที่ของกันไปพ่อทำงานของพ่อ ผมทำงานของผม
จนหลัง ๆ แม่เห็นว่าผมกับพ่อไม่สนใจก็ไม่ได้พาใครมาเล่นไพ่ที่บ้านแล้วผมกับพ่อรู้สึกว่าแม่คงรับรู้ถึงสงครามเย็นที่ผมกับพ่อทำแต่ที่กลับกันแม่ไม่ได้เลิกเล่นเพราะไม่พาใครมาเล่นที่บ้านแต่กลับเข้าสู่วงการการพนันอย่างเต็มรูปแบบโดยการชักชวนไปเล่นบ่อนที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด
และเรื่องก็เร็วร้ายกว่าเดิมเมื่อมีใบแจ้งหนี้ว่าไม่ได้ชำระค่าบ้านที่เข้าธนาคารไว้ผมกับพ่อก็งงจึงได้โทรไปสอบถามทางธนาคารปรากฏว่าแม่เอาบ้านไปเข้าไว้เป็นจำนวนเงิน 2 ล้านบาทเรา 2 พ่อลูกก็รอแม่กลับบ้านแล้วถามเรื่องที่เกิดขึ้นปรากฏว่าแม่สารภาพหมดทุกอย่างว่าเอาบ้านไปเข้าธนาคารแล้วเอาเงินไปเล่นจนเงินใกล้หมดแล้ว แล้วที่สำคัญแม่ไปกู้เงินจากญาติห่าง ๆ มาอีก 1 ล้านบาทรวม 3 ล้านบาทสรุปแม่ใช้เงิน 3 ล้านบาทหมดในระยะเวลาแค่ 6 เดือนสภาพครัวครอบตอนนั้นย่ำแย่ต้องทยอยขายที่ขายรถมาใช้หนี้และหวังว่าจะเอามาต่อยอดธุรกิจ
ดวงผมเหมือนจะตกหรือชาติที่แล้วคงทำกรรมไว้มากชีวิตผมเริมแย่ลงเรื่อย ๆ จากที่กลับบ้านบ่อยก็ต้องนาน ๆ กลับทีเพราะต้องช่วยบ้านประหยัดจากที่ผมไม่ได้กลับบ้านเลยก็ไม่ได้ดูแลบ้านได้พอควรแต่แม่ก็ยังไม่เลิกไม่สำนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเงินจากการขายที่และขายรถที่จำนำมาใช้หนี้และต่อยอดงานทีทำแม่กลับแอบเอาไปเล่นจนหมดอีกครั้ง
ชีวิตตอนนั้นย่ำแย่ไปหมดทุกอย่างเหมือนชะตาชีวิตขีดเส้นไว้ให้ดิ่งลงเรื่อย ๆ พ่อเครียดมากกลับมากินเหล้าสูบบุหรี่หนักอีกครั้งจากที่เลิกไปนานเพราะทุกอย่างที่แกสร้างมาพังทลายไปกับตาจากที่เคยมีทุกอย่างหายลับตาไปไปหมดไม่ว่าเงินทอง ธุรกิจ รถ ลูกน้องแม้แต่ความมีหน้ามีตามีคนเคารพนับถือ
หลังจากที่แม่ไม่มีเงินจ่ายค่าเงินกู้แม่ก็โดนฟ้องจนขึ้นศาลบ่อย ๆ ตอนนั้นผมเครียดมากเรื่องบ้านก็มากพอแต่เวลาผมโทรไปหาแม่แม่ชอบพูดเสมอว่า "ถ้าแม่ไม่อยู่สักคน อยู่กันได้มั้ย" ชอบพูดให้คิดเสมอว่าจะคิดสั้นมันทำให้ผมเครียดไปใหญ่ไม่รู้ทำไงต่อไปผมกลัวครอบครังจะแย่ไปกว่านี้เลยคิดหาทางสุดท้ายเท่าที่จะทำได้ผมก็ปรึกษาแฟนว่าจะกู้ตัง 600000 มาช่วยบ้านตอนแรก ๆ แฟนก็ไม่เห็นด้วยเพราะกัมาแล้วก็เป็นหนี้แล้วอนาคตของเราละ ผมก็อธิบายให้ฟังว่าเอาให้พ่อไปทำทุนไม่ให้แม่จับตังแล้วอีกหน่อยกลับมาดีแม่จะให้เท่าตัวไม่ต้องห่วง
ผมทำเรื่องกู้ตังจนผ่านบวกกับบัตรต่าง ๆ อีก 3 ใบประมาณ 1 แสน รวมเป็น 700000 ให้พ่อดำเนินการแต่ก็เป็นแบบเดิมเวลาพ่อขายของเสร็จแม่จะแอบไปเอาเงินค่าขายของเองและเก็บเงินไว้และแอบไปเล่นอีกเสมอแต่ไม่บ่อยมากนานๆไปเล่นทีแต่ก็มักมีคนมาฟ้องเสอมว่าเห็นแม่แอบเข้าบ่อน
ชีวิตหลังจากนั้นก็แย่ลงเรื่อย ๆ เพราะเครียดเรื่องบ้านไม่พอต้องทะเลาะกับแฟนเรื่องค่าใช้จ่ายไม่พออีกเพราะเราต้องใช้หนี้เงินกู้บวกกับที่โรงเรียนได้เปลี่ยน ผอ.ใหม่ กับ ครูใหม่เข้ามาอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ไม่รัว่าผมโดนกลั่นแกล้งหรือเปล่าหรือดวงผมแย่ ผมเอกจบคอม 4 ปีโดนให้ไปประจำชั้น ป.2 สอนเด็กเล็กโดยไม่ได้สอนคอมเลยเพราะต้องสอนไปพร้อมการเรียนทางทีวี แต่ครูใหม่ที่มากับ ผอ. 2 ปีแรกเรียนพละมา ไปต่อ คอม2ปีหลัง ได้สอนคอมมัธยม (ปล.ร.ร.ผมเป็นโรงเรียนขยายโอกาส) ตอนแรกผมคิดว่าหน้าที่ไงก็รับไปก่อน หลังจากที่ผมสอนไปผมรู้สึกว่าไม่ใช่เลยผมไม่ได้สอนคอมแม้แต่น้อยเลย ผมเคยไปถาม ผอ.แต่ได้รับคำตอบว่า เอาน่าเปลี่ยน ๆ กันสอน เทอมหน้าค่อยว่ากัน
ระหว่างที่อยู่ด้วยความที่ผม จบ คอมมา 4 ปี มันย่อมแน่นกว่าอยู่แล้ว ผมทำเว็ป รร และทำวงดุริยางค์ รร ด้วย หรือ เวลาคอมหรือระบบอะไรเสียหายผมมักจะแก้ไขได้ก่อนจากก่อนหน้านั้นที่ผมสอนคอม ม.1 ผมจะสอน PS ม2.ผมสอน VB 6.0 และ ม.3ผมสอนซ่อมบำรุงคอมฯ แกก็มาเปลี่ยนหมดเป็น คอม ม.1 สอน Word ม.2 สอน Power Point และ ม.3 สอน Excel ผมเคยไปเสนอผมว่าไม่ควรสอนแบบนี้เพราะเด็กโตแล้ว เรื่องไปถึงหูพี่คนนั้น ไม่รู้ว่าทำให้แกเกลียดผมหรือเปล่า แกชอบไซโคผมกับ ผอ.ตลอดเวลาว่า สอนไปได้ไง ซ่อมคอม เดี่ยวเด็กก็แกะคอมขโมยแรมนั้นนี้ เวลาผมสอนวิขาดนตรีเด็ก ป.2 กิจกรรมเข้าจังหวะ ก็ไปฟ้องว่า ทำเสียงดัง เวลาสอนเด็กถนอมอาหารก็ไปฟ้องอีกว่า มีควันไฟรบกวน ตอนนั้นผมก็เฉย ๆ ไม่อยากต่อล้อเถียงเพราะเรื่องที่บ้านก็ปวดหัวมากพอแล้ว
ด้วยเรื่องที่บ้านและเรื่องแฟนสร้างความเครียดให้ผมมากมายจนผมกลายเป็นคนเงียบ ๆ ไม่พูดจา ใครจะใส่ร้ายผมยังไงก็ไม่สนใจ การที่อยู่เฉย ๆ กลายเป็นว่าเป็นผมไม่ตอบโต้กับการที่โดนกล่าวหาเลยกลายเป็นการยอมรับอีก จนผมดูไม่ดีในสายตา ผอ. ผมก็ทนเรื่อยมา จนถึงวันสุดท้ายของภาคเรียน พรุ่งนี้จะปิดเทมอแล้ว ดวงซวยก็เกิดขึ้นอีก นั้นเวลา 15.30 อีก 30 นาที รร ก็เลิก ผมให้เด็กเก็บโต๊ะไว้หลังห้องเพื่อทำความสะอาดห้องก่อนปิดเทมอจนเสร็จจนเวลา 15.50 อีก 10 ก็เลิก ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรให้เด็กนั่งรอจน รร เลิกผมก็ไปเข้าห้องน้ำ เรื่องก็เกิดขึ้นในระหว่างที่ผมไปเข้าห้องน้ำ เด็กเล่นกันจนตกหน้าต่างอาคารไม้ชั้น 1 ลงพื้นดิน จนเป็นเรื่อง ผมก็ตามเด็กไปที่ รพ.และเฝ้าอาการเด็ก ดีที่เด็กปลอดภัยเพราะพื้นที่ตกลงมาเป็นดินอ่อนบวกกับกระดูกเด็กมันยืดหยุ่นได้ดี ระหว่างที่ผมไปส่งเด็กถึงบ้านผมก็ขอโทษผู้ปกครองตลอดเวลา ผู้ปกครองเด็ก็ยิ้มและบอกว่าไม่ได้เอาความอะไรลูกเค้าซนเองช่างมันเถอะ
พอเช้าวันแรกของการปิดเทมอก็เหมือนเดิมพ่อแม่ทะเลาะกันผมก็ทะเลาะกับแฟนจนสร้างเรื่องเครียด ๆ จนผมปวดหัว ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้ามาผมดูหน้าจอ ผอ.โทรมานั้นเอง เสียงแรกที่พูดมาคือ รร ได้ประชุมกันแล้วเรื่องผมที่ทำให้เด็กต้องเข้า รพ ว่าผมไม่ดูแลเด็กจนบาดเจ็บ แล้วเราควรจะทำไงดี ด้วยความเครียดมากมายสะสมทั้งบ้านทั้งแฟน ผมบอกออกไปทันทีว่า ผมจะลาออกเพื่อเป็นการชดใช้เอง ผมเขียนใบลาออกพร้อมลายเซ็นส่งไป รร ทันที โดยที่แม่ไม่รู้
จากนั้นพอแม่รู้เรื่องยิ่งทำให้ทะเลาะกันไปใหญ่ผมตัดสินใจไปทำงานใกล้ ๆ แฟนผมซึ่งอยู่คนละจังหวัดกับบ้านและอารมณ์ตอนนนั้นไม่อยากรับรู้เรื่องทางบ้านและคำเล่าของปากเช้าบ้านบวกกับที่แม่บอกว่า โง่หรือเปล่าที่ลาออก ไปทำงานกับแฟนไปอายเค้า
จากนั้นผมก็มาทำงานที่ จ.เดียวกับแฟน ก็ทำเลาะเรื่องเงินเรื่อยมาเนื่องจากผมต้องใช้หนี้ที่กู้มาอย่างเปล่าประโชยน์และไม่มีเงินเก็บแต่งงานสักทีเรื่องที่บ้านก็แย่พ่อก็กินเหล้าหนักขึ้นทุกวันเรื่องบ้านกับหนี้ก็ยังขึ้นศาลไม่มีหยุดคงให้ประนอมหนี้จ่ายขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ จ่ายได้แค่ดอกโดยไม่มีเงินต้นเลย
หลังจากนั้นแฟนผมก็เปลี่ยนไปจากที่กลับบ้าน ตจว ด้วยกันกลายเป็นว่าเค้ากลับกับญาติ้เค้าบ่อย ๆ จากนั้นผมก็จับได้ว่าเค้ามีคนอื่นเป็นผู้จัดการอะไรสักอย่าง เค้าก็ให้เหตุผลว่าอยู่กับเราไม่มีอะไรดีขึ้น อยากมีอนาคตที่ดีคำที่เจ็บที่สุดคือ ลำพังตัวเค้าคนเดียว เงินเดือนเค้าพอกินแน่ ๆ ซึ้งก็หมายความว่าเราไปเกาะเค้ากิน ผมเสียใจร้องไห้จนไม่รู้จะร้องไห้ยังไง เค้าทิ้งผมไว้ในห้องเพียงลำพังออกจากห้องที่เราเคยอยู่ด้วยกันมา มีเพียงข้อความบอกว่า ขนของออกไปล็อคห้องให้ด้วยนะ ผมขนของมากมายโดยเรียกแท็กซี่แล้วขนไปห้องผมก่อน ในหัวสมองตอนนั้นคิดว่าไม่โกรธเค้าเลย เราคงเป็นอย่างงั้นจริง ๆ เค้าคงมีคนที่ดูแลเค้าได้
พอมาถึงห้องเพื่อนไม่รู้อารมณ์ไหนปน ๆ กันไปหมด ขนของลงรถแบบเบลอ ๆ จนคิดว่าครบแล้ว มารู้ตัวอีกทีว่ากระเป๋าเอกสาร ใบปริญญาบัตร ใบแสดงผลการเรียน หรือผลงานครูต่าง ๆ ที่ผ่านมาทั้งหมดอยู่ในท้ายรถ เพราะของเยอะมากจริง ๆ ที่ย้ายออกมา ซวยอีกแล้ว พยายามโทร จส.100 หรือ อะไรต่างที่เกี่ยวข้องก็หายเงียบไป
อีกไม่กี่เดือนหลังจากได้ห้องพักราคาถูกแล้วย้ายของมาหมดแล้วหลังจากเลิกงานทำงานก็เดินทางกลับห้องแม่ก็โทรมาเป็นคำที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน แม่บอกว่า "ตอนนี้พ่ออาการหนักอยู่ห้อง ICU กลับบ้านด่วน" ความรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวทำอะไรไม่รู้ คิดเพียงในใจว่า "พ่อจ๋าอย่าเป็นอะไรนะรอหนูก่อน" คืนนั้นเดินทางกลับบ้านในทันที แต่ในที่สุดก็ไม่อาจห้ามมัจจุราชที่มาเอาตัวพ่อไปได้ แม่โทรมาบอกว่า พ่อเสียเวลา ตี 2.20 นาที ตอนนั้นรู้สึก แปลก ๆ บอกไม่ถูกร้องไห้ไม่ออก แน่นอกไปหมด เช้าถึงบ้านเห็นงานศพและหีบศพพ่อก็ยังไม่ร้องไห้เลย คิดว่าผมเป็นอะไรไปทำไมถึงไม่ร้องไห้ ในใจลึก ๆ อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องโกหก
หมอบอกว่าข้างในพ่อเสียหมดแล้วเพราะสูบบุหรี่และกินเหล้าหนักมาก ๆ ตลอดงาน 3 วันที่จัดผมไม่มีน้ำตาเลยแล้ววันสุดท้ายวันที่จะเผาต้องเอาพ่อออกจากตู้เย็นลงหีบสับปะเหร่อบอกว่ารอเดี่ยวนะเลือดเสียในตัวพ่อออกจากทางปากทางจมูกแห้งหมดแล้วขอเช็ดก่อน
วินาทีนั้นผมคว้าผ้าจากสับปะเหร่อชุบน้ำอุ่นที่ต้มไว้เช็ดเลือดแห้งที่หน้าพ่อทันทีที่เช็ดความรู้สึกต่าง ๆ ทะลักออกมาทันที ผมปล่อยโหอย่างที่ไม่มีมาก่อนมือสั่นเช็คเลือดพ่อไปร้องไห้ไปเสียใจอย่างบอกไม่ถูกคิดว่า ทำกรรมอะไรไว้ชีวิตถึงได้เป็นแบบนี้
หลังจากงานศพก็ได้เงินจากศพพ่อก่อนสุดท้ายประมาณ 3 แสนให้แม่ดูแลต่อก็ไม่รู้ว่าจะยังไงต่อไป
หลังจากที่เผาเสร็จผมมานั่งคิดคนเดียวว่า ที่พ่อกลับมากินเหล้าสูบบุหรี่เพราะอยากไปสบายแล้วจะได้จากมีเงินจากศพพ่อมาดูแลครอบครังครั้งสุดท้ายหรือเปล่า บางครั้งผมรู้สึกอิจจาพ่อนะว่าพ่อไม่ต้องคิดอะไรแล้ว....คิดแบบพ่อคงดี...!!!