รักต้องมนตร์ บทที่ ๑

กระทู้สนทนา
ครั้งแรกในนามนี้ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยจร้าาาาาาาาาา

รักต้องมนตร์


บทที่ 1



    
ไม่มีช่วงเวลาไหนในชีวิต ที่ฉันจะมีความสุขได้เท่านี้อีกแล้ว นายนั่นเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนสติเสีย

    แต่มันไม่สำคัญเท่ากับที่ว่า เขาหล่อเป็นบ้า!

    ใช่สิ ถ้าคลื่นความคิดของเขาดำมืดขนาดนั้น นั่นมันเป็นคลื่นความคิดของคนบ้าชัดๆ

    แล้วทำไมฉันถึงรู้ว่าคลื่นความคิดของคนบ้าเป็นยังไงน่ะหรือ ยากซะที่ไหนล่ะ แค่ทำเหม่อๆ ทำใจลอยๆ แค่นี้ฉันก็จะรู้ได้ทะลุปรุโปร่ง ว่าใครกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

    มันก็เหมือนๆ กับนิยายโรแมนติกแฟนตาซีทั่วไปนั่นแหละ ที่ว่านางเอกต้องมีพลังพิเศษอะไรสักอย่างหนึ่ง ต่อต้านตัวเอง เป็นที่หมายปองของความชั่วร้ายบางอย่าง และสุดท้ายก็มักได้ลงเอยกับพระเอก ที่ผ่านการทดสอบความมั่นคงในรักมาอย่างหนักหน่วง

    ถูกละ แม้ว่าฉันจะไม่ได้เรียกการสามารถอ่านความคิดของคนอื่นว่าพลังพิเศษ ซ้ำยังพยายามต่อต้านและหาทางกำจัดมันไปให้พ้นจากชีวิต แต่ไอ้ความสามารถชนิดนี้ กลับเป็นหนทางหาเงิน ช่วยให้แม่และน้องมีชีวิตอยู่กันมาได้อย่างไม่ลำบากจนเกินไป

    นั่นจะหมายถึงเป็นที่หมายปองของความชั่วร้ายบางอย่างหรือเปล่าฉันก็ไม่แน่ใจ เพราะแต่ละวัน ฉันต้องอดทนเพ่งมองคลื่นความคิดของบรรดาพวกที่ทุกข์ทรมานด้วยสาเหตุสารพัด มองหาแสงสว่างแห่งกำลังใจที่แสนจะริบหรี่ แล้วใช้ตรงนั้นละ เป็นตัวจุดประกายความหวังใหม่ๆ ให้คนพวกนั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อไป

    แต่บอกไว้ก่อน ฉันไม่ใช่พวกญาณทิพย์ตัดกรรมอะไรนั่นหรอกนะ บอกไม่ได้ด้วยว่า ก่อนที่ใครจะมานั่งพนมมือแต้อยู่หน้าแม่ฉันนั่น ไม่ว่าชาตินี้ชาติหน้า สี่ห้าชาติที่แล้วๆ มาน่ะ เขาเคยทำเวรทำกรรมอะไรมาบ้าง

    เธออาจจะงงว่า ความสามารถพิเศษของฉันมันไปเกี่ยวอะไรกับแม่?

    ทั้งหมดมันอยู่ตรงความน่าเชื่อถือไงล่ะ

    ไม่ต้องรวมถึงลีลาท่าทางก็ได้ แค่รูปร่างหน้าตาของแม่ คนที่ได้พบเห็นก็พากันเชื่อถือศรัทธาไปแล้วไม่ใช่น้อยว่า ต้องเป็นร่างทรงผู้หยั่งรู้

    พอบวกกับความสามารถของฉัน ที่เหมือนจะได้ยินเสียงความคิดของใครต่อใครได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปนั่งจ้องตากันให้เสียเวลา “ตำหนักเจ้าแม่พลับพลึง” ก็มีคนมาฝากตัวเป็นลูกช้างลูกม้ากันให้ครึด

    ส่วนกับนายคนนี้ เขามากับคุณนายอีกคน ที่ฉันไม่แน่ใจว่าสายสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นยังไง เพราะมุมเล็กๆ ในหัวใจของคุณนาย ต่อต้านเขาอยู่ในที ขณะที่ออกปากแนะนำชัดเจนว่าเขาเป็นลูกชาย

    แล้วก็อย่างที่บอก ความคิดที่ดำมืดของเขาทำให้ฉันอ่านไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่ความดำมืดแบบเป็นมาแต่กำเนิด เพียงแค่... หากจะเปรียบคลื่นความคิดเป็นลายปากกา ความคิดของเขาก็เหมือนการขีดเขียนเส้นสายถ้อยคำนั่นลงบนแผ่นกระดาษ ซ้ำไปซ้ำมา ทับกันไปมา จนแยกไม่ออกว่าเขากำลังเขียนอะไรอยู่กันแน่

    “คุณนายไม่ต้องเป็นห่วง น้องสาวคุณนายจะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”

    ฉันหันขวับไปทางต้นเสียง ส่งสายตาถามแม่ว่ารู้ได้ยังไง

    แต่แม่ยังทำตาลอยๆ ตามบทบาทร่างที่กำลังถูกประทับทรง ก่อนจะเริ่มทำตัวสั่นๆ อันเป็นสัญญาณว่าพี่เลี้ยงต้องรีบหาหมอนไปรับหลัง เพราะในสองสามอึดใจข้างหน้า ท่านที่ประทับร่างจะถอนองค์

    นั่นเป็นหน้าที่ของไอ้ษิต อดีตเด็กชายจรจัดที่แม่รับเลี้ยงไว้หลังจากที่เช้าวันหนึ่งพบมันมานอนคุดคู้อยู่ใต้ศาลพระภูมิหน้าบ้าน ที่ตอนนี้เติบโตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อที่มีเค้าลูกครึ่งเสียด้วยซ้ำ

    “คุณนงพรมีนามบัตรแล้วนะคะ มีข่าวคราวอะไรคืบหน้าก็โทร.มาบอกด้วยนะคะ ส่วนทางนี้ ถ้าท่านลงกลางคืนอีกรอบ หนูจะลองถามให้อีกครั้งค่ะว่า จะไปหากันได้ที่ไหน”

    ฉันก็ทำหน้าที่ของฉัน คือจัดการใส่ความปรารถนาดีไปให้ลูกค้า เผื่อว่าจะได้ไปบอกต่อๆ กัน ว่าตำหนักทรงนี้ มีบริการหลังการขายดีเยี่ยม ซึ่งใจของคุณนงพรก็เบิกบานขึ้นอีกไม่ใช่น้อย

และที่ฉันพูดไปดังนั้น ก็เพราะคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเธอนั่นแหละ ที่ยังกังวล อยากออกไปตามหาน้องสาว มากกว่าจะนั่งรอให้กลับมาเอง

    ส่วนเขา แม้ไม่ได้แสดงอาการเบื่อหน่าย หรือมีทีท่าว่าไม่เชื่อถือ แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนหรือเห็นด้วยกับการมาพึ่งพาตำหนักนี้ของผู้เป็นแม่ (ฉันขอเชื่อว่าเขาเป็น แม่กับลูก ไปก่อนก็แล้วกัน)

    เขาชื่อพรหมสรรค์ ซึ่งเป็นชื่อที่คุณนงพรไม่เคยแนะนำออกมาตรงๆ ต่อหน้า เวลาที่เอ่ยออกไป เธอจะบอกลูกชายเพียงว่า “...สรรค์... ไหว้ท่านสิลูก...” เพราะใจของเธอยังอายๆ ที่จะเรียกชื่อเขาเต็มๆ ด้วยว่ามันออกจะเชยแสนเชย นั่นละที่ฉันคิดว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล มีแม่แท้ๆ ที่ไหนบ้าง จะรู้สึกไม่ชอบชื่อของลูกชายตัวเอง ก็พวกเธอน่าจะมีส่วนเห็นชอบในการตั้งชื่อนี้มาตั้งแต่แรกเกิดไม่ใช่หรือ

    ตอนให้ไหว้ เขาก็ไหว้ แต่ตรงนี้ฉันมองออก ว่าเขาไหว้เลยไปที่พระพุทธรูปองค์ประธาน ซึ่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดของหิ้งบูชามหาอลังการ ไม่ได้ไหว้แม่ในฐานะเจ้าแม่พลับพลึง และไม่ได้ไหว้รูปเคารพอื่นๆ ที่เกลื่อนกล่นอยู่บนโต๊ะเล็กๆ สูงๆ ต่ำๆ ที่เรียงรายอยู่เป็นฉาก

    คุณนงพรกล่าวลา บอกว่าจะมาหาทันทีที่มีเวลา พรหมสรรค์พยักหน้าให้ฉันนิดหนึ่ง แล้วเขาก็หันจากไป โดยไม่เหลียวกลับมาอีก ฉันมองตามอย่างรู้สึกอาลัย กับที่พักสายตาชั้นเลิศที่เพิ่งจะลับตัวไป

    คิวต่อไปชะโงกเข้ามาบ้าง รายนี้สามีไปมีเมียน้อยที่สาว สวย และสดกว่าเป็นร้อยเท่า ขนาดหล่อนลงทุนไปทำศัลยกรรมตกแต่งกระชับทุกสัดส่วนมาแล้ว แต่สามียังบ่ายเบี่ยงไม่ยอมร่วมหลับนอน กล่าวหาว่าที่ไปทำมาใหม่ มันแข็งตึงเกินไป ไม่ยืดหยุ่นเป็นธรรมชาติ

    โชคดีที่หล่อนไม่ได้คิดจะมาถามว่าทำยังไงให้มันยืดหยุ่น เพราะนั่นไปถามที่คลินิกมาแล้ว ที่มานี้ก็เพราะจะถามว่าสามีจะดวงถึงฆาตเมื่อไหร่ จะป่วยหรือตายเพราะอุบัติเหตุก็ได้ หล่อนกับชู้รักจะได้ใช้เงินประกันชีวิตของเขากันให้เปรมปรีดา

    มันเป็นปัญหาเดิมๆ ที่แม่ฉันจัดการได้สบายๆ

    “รอสักเดี๋ยวนะคะ ร่างของพักสักหน่อย”

    ฉันบอกพวกที่เริ่มออประตูกันเข้ามา โดยมีคุณนายกระชับสัดส่วนคอยกันท่าไว้เต็มที่

    “รายเมื่อกี้หนักหรือคะ”

    คนชอบเรื่องชาวบ้านตะโกนข้ามหัวคนข้างหน้า

    “ก็... พอสมควรค่ะ”

    “เร็วหน่อยนะคะ พี่มีธุระอื่น”

    คุณนายสวยกระชับพูดสะบัดๆ

    “โอกาสหน้าก็ได้ค่ะ”

    “แต่นี่มานั่งรอ จองคิวไว้แล้วด้วย”

    ถึงฉันจะเข้าใจดีว่า จิตใจคนที่ต้องมาหาที่พึ่งทางนี้ ต้องไม่ค่อยปกติ แต่ก็อดไม่ได้หรอกที่จะเหวี่ยงกลับไปบ้าง

    “นี่ตำหนักทรงนะคะ ไม่ใช่ร้านบุฟเฟ่ต์หรือคลินิกศัลยกรรม จะได้กำหนดเวลานั่นนี่ได้แน่นอน หรือจะให้หนูแนะนำตำหนักอื่น”

    มันก็เป็นเสียอย่างนี้ละ ที่ทำให้กิจการตำหนักเจ้าแม่พลับพลึง แค่พอไปได้ ซึ่งใครไม่เป็นฉันไม่มีวันรู้หรอกว่า ธุรกิจให้บริการด้านจิตวิญญาณ (ว่าเข้านั่น) มันละเอียดอ่อนพร้อมกับน่ารำคาญได้มากขนาดไหน

    พอคุณนายสวยกระชับสงบปากคำลงได้ ฉันจึงเลื่อนบานประตูปิดเบาๆ ได้ยินหล่อนตะโกนก้องอยู่ในใจว่า “...เป็นตายก็ต้องรู้ให้ได้ย มันจะมีอันเป็นไปในสามวันเจ็ดวันหรือเปล่า”


(ต่อคคห.ที่๑)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่