จากกระทู้นี้
http://2g.ppantip.com/cafe/wahkor/topic/X13067739/X13067739.html
ท่านเจ้าของกระทู้ถามแล้ว ยังไม่มีคำตอบ
ผมได้อ่านงานเขียนของท่านเสฐียรพงษ์ พอจะตอบคำฐามของท่านได้ แต่คงไม่ไช่แบบกำปั้นทุบด้นนะครับว่าพระพุทธเจ้าท่านมีเจริงเช่นนี้เช่นนั้น
แต่มีงานศึกษาที่เทียบเคียงได้ว่ามีการคิดที่ชอบแล้วด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์คือ
อาทิตย์ที่แล้วได้พูดถึงเผ่าศากยะและโกลิยะ ว่าอาจมิใช่อารยันแท้ก็ได้ เพราะมีขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างจากอารยันในชมพูทวีปหลายอย่าง แต่ก็มิได้ซีเรียส เป็นเพียงการสันนิษฐาน (ก็คือเดา แต่เดามีเหตุผลสนับสนุนเท่านั้น) อาจสันนิษฐานหรือเดาผิดก็ได้เพราะเรื่องก่อนเกิด ไม่มีใครรู้จริงดอกครับ
ถ้าถามว่า พระพุทธเจ้า ผู้ทรงอุบัติขึ้นในเผ่าศากยะนั้นทรงเป็นเชื้อชาติอะไร ถ้ามิใช่อารยัน นักปราชญ์หลายท่าน เช่น วี.เอ.สมิธ บอกว่าน่าจะเป็นชาวมองโกเลีย สมิธกล่าวว่าพระคัมภีร์ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระฉวีวรรณสีเหลือง (สุวัณณวัณโณ) และว่าพวกกษัตริย์ลิจฉวี พวกมัลละ ก็มีผิวเหลืองเหมือนกัน
เออ แล้วเผ่ามองโกล ไปยังไง มายังไง จึงมาเกี่ยวข้องกับเนปาลประเทศมาตุภูมิของพระพุทธเจ้า ก่อนอื่นควรทราบว่า เนปาลเมืองมาตุภูมิของพระพุทธเจ้า ถึงจะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็มีประวัติความเป็นมาไม่แพ้ชาติโบราณอื่นๆ ก่อนสมัยพุทธกาลขึ้นไปยาวนานไกลประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า มีพวกมองโกลอพยพเข้ามาทางทิศเหนือเข้ามาเป็นใหญ่ในเนปาลแถบภูมิภาคภูเขาและหุบเขา ต่อมามีพวกอารยันเข้ามาสมทบ พวกมองโกลนี้ต่อมากลายเป็นชนเผ่าเนวาร์พระพุทธเจ้าจึงน่าจะสืบเชื้อสายมาจากเผ่ามองโกลก็ได้
ก็ว่ากันไป เพียงเพราะมีผิวเหลือง มิใช่ผิวขาวเหมือนอารยัน และประเพณีนิยมบางอย่างไม่เหมือนชาวอารยัน จะตัดสินว่าพวกศากยะเป็นเผ่ามองโกลเลยก็ไม่ควรด่วนเชื่อ นักปราชญ์อย่าง เสถียร โพธินันทะ ยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่า ไม่เชื่อเด็ดขาด ท่านว่าท่านเชื่อตามพระคัมภีร์ที่ว่า พระพุทธเจ้าประสูติจากตระกูลศากยะแท้ๆ เพียวๆ เป็นสายเลือดอารยัน
มีข้อน่าคิดอยู่นิดหนึ่ง เผ่าศากยะของพระพุทธเจ้า มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม (ปกครองผ่านรัฐสภา) เช่นเดียวกับเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีแห่งเมืองไพศาลี และพวกมัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราและปาวา เพราะเหตุนี้เอง พระองค์จึงทรงคุ้นเคยเป็นพิเศษกับเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี และมัลลกษัตริย์ ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระญาติกับกษัตริย์เหล่านั้นด้วย
เฉพาะเมืองไพศาลี แคว้นวัชชีนั้น พระพุทธองค์ชอบมาประทับพักผ่อนอยู่เป็นครั้งคราว ทรงมีความคุ้นเคยเป็นพิเศษ ถ้าเรียกด้วยภาษาสามัญว่า "ทรงชอบ" เมืองนี้เป็นพิเศษ เมื่อครั้งจะเสด็จไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองแล้วขณะเสด็จออกนอกเมือง ก็ทรง
วพระศอไปทอดพระเนตรเป็นการ "อำลา" ครั้งสุดท้าย พระบาลีเรียกพระอิริยาบถนี้ว่า "นาคาวโลก" (มองดูดุจช้างเหลียวหลัง) ตรัสกับพระอานนท์ว่า การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
ยิ่งเมืองกุสินาราของชาวมัลลกษัตริย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถ้าพระองค์ไม่มีความผูกพันมาก พระองค์คงไม่ตั้งพระทัยจะไปปรินิพพานที่เมืองนี้แน่นอน ทั้งๆ ที่เป็นเมืองเล็ก พระอานนท์ทูลอาราธนาให้ไปปรินิพพานที่เมืองใหญ่ๆ แห่งอื่น เช่น สาวัตถี ราชคฤห์ พระองค์ก็ทรงยืนยันว่า เมืองกุสินารานี้แหละเหมาะที่จะปรินิพพาน ถ้าจะเอาความเล็กความใหญ่มาตัดสิน เมืองกุสินารานี้ปัจจุบันอาจเล็ก แต่ในอดีตกาลอันยาวนานโพ้น เป็นเมืองใหญ่ชื่อ กุสาวดี เป็นที่ประทับของพระมหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
เรียกว่า เมืองไม่ใหญ่ในปัจจุบัน ในอดีตก็ใหญ่ ว่าอย่างนั้นเถิด
เหตุผลเบื้องหลังความตั้งพระทัยจะไปปรินิพพานที่เมืองกุสินาราให้ได้นั้น ผมเคยสันนิษฐาน (เดาไว้แล้ว) ใน "บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์" ที่พิมพ์เผยแพร่แล้ว หนึ่งในหลายสาเหตุก็คือ พระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธประสงค์จะทรงบำเพ็ญ "ญาตัตถจริยา" (การสงเคราะห์ญาติ) ให้สมบูรณ์ พระญาติเมืองอื่นทรงสงเคราะห์มาหมดแล้วยังเหลือแต่พระญาติเมืองกุสินาราและปาวานี้แล ที่ยังไม่ได้สงเคราะห์เพราะถ้าญาตัตถจริยายังไม่สมบูรณ์ พระพุทธองค์ก็คงยังไม่ปรินิพพาน
ขอทิ้งประเด็นว่าศากยะเป็นอารยันหรือมองโกลไว้เท่านี้ ให้ท่านผู้อ่านถกเถียงกันเอง
อ้างอิงกระทู้นี้
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4574
คงพอเห็นเค้าโครงให้เชื่อได้บ้าง แต่จริงหรือไม่ ผมไม่ขอตอบและถกเถียงด้วยนะครับ
เอาเป็นว่า หลักธรรมของท่าน แก้ปัญหาชีวิตจากทุกข์ให้เป็นสุขได้จริงในชีวิตของผมครับ
จากกระทู้หนึ่งที่ถามเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ตกลงเจอหลักฐานเพิ่มแล้วนะครับ
http://2g.ppantip.com/cafe/wahkor/topic/X13067739/X13067739.html
ท่านเจ้าของกระทู้ถามแล้ว ยังไม่มีคำตอบ
ผมได้อ่านงานเขียนของท่านเสฐียรพงษ์ พอจะตอบคำฐามของท่านได้ แต่คงไม่ไช่แบบกำปั้นทุบด้นนะครับว่าพระพุทธเจ้าท่านมีเจริงเช่นนี้เช่นนั้น
แต่มีงานศึกษาที่เทียบเคียงได้ว่ามีการคิดที่ชอบแล้วด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์คือ
อาทิตย์ที่แล้วได้พูดถึงเผ่าศากยะและโกลิยะ ว่าอาจมิใช่อารยันแท้ก็ได้ เพราะมีขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างจากอารยันในชมพูทวีปหลายอย่าง แต่ก็มิได้ซีเรียส เป็นเพียงการสันนิษฐาน (ก็คือเดา แต่เดามีเหตุผลสนับสนุนเท่านั้น) อาจสันนิษฐานหรือเดาผิดก็ได้เพราะเรื่องก่อนเกิด ไม่มีใครรู้จริงดอกครับ
ถ้าถามว่า พระพุทธเจ้า ผู้ทรงอุบัติขึ้นในเผ่าศากยะนั้นทรงเป็นเชื้อชาติอะไร ถ้ามิใช่อารยัน นักปราชญ์หลายท่าน เช่น วี.เอ.สมิธ บอกว่าน่าจะเป็นชาวมองโกเลีย สมิธกล่าวว่าพระคัมภีร์ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระฉวีวรรณสีเหลือง (สุวัณณวัณโณ) และว่าพวกกษัตริย์ลิจฉวี พวกมัลละ ก็มีผิวเหลืองเหมือนกัน
เออ แล้วเผ่ามองโกล ไปยังไง มายังไง จึงมาเกี่ยวข้องกับเนปาลประเทศมาตุภูมิของพระพุทธเจ้า ก่อนอื่นควรทราบว่า เนปาลเมืองมาตุภูมิของพระพุทธเจ้า ถึงจะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็มีประวัติความเป็นมาไม่แพ้ชาติโบราณอื่นๆ ก่อนสมัยพุทธกาลขึ้นไปยาวนานไกลประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า มีพวกมองโกลอพยพเข้ามาทางทิศเหนือเข้ามาเป็นใหญ่ในเนปาลแถบภูมิภาคภูเขาและหุบเขา ต่อมามีพวกอารยันเข้ามาสมทบ พวกมองโกลนี้ต่อมากลายเป็นชนเผ่าเนวาร์พระพุทธเจ้าจึงน่าจะสืบเชื้อสายมาจากเผ่ามองโกลก็ได้
ก็ว่ากันไป เพียงเพราะมีผิวเหลือง มิใช่ผิวขาวเหมือนอารยัน และประเพณีนิยมบางอย่างไม่เหมือนชาวอารยัน จะตัดสินว่าพวกศากยะเป็นเผ่ามองโกลเลยก็ไม่ควรด่วนเชื่อ นักปราชญ์อย่าง เสถียร โพธินันทะ ยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่า ไม่เชื่อเด็ดขาด ท่านว่าท่านเชื่อตามพระคัมภีร์ที่ว่า พระพุทธเจ้าประสูติจากตระกูลศากยะแท้ๆ เพียวๆ เป็นสายเลือดอารยัน
มีข้อน่าคิดอยู่นิดหนึ่ง เผ่าศากยะของพระพุทธเจ้า มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม (ปกครองผ่านรัฐสภา) เช่นเดียวกับเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีแห่งเมืองไพศาลี และพวกมัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราและปาวา เพราะเหตุนี้เอง พระองค์จึงทรงคุ้นเคยเป็นพิเศษกับเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี และมัลลกษัตริย์ ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระญาติกับกษัตริย์เหล่านั้นด้วย
เฉพาะเมืองไพศาลี แคว้นวัชชีนั้น พระพุทธองค์ชอบมาประทับพักผ่อนอยู่เป็นครั้งคราว ทรงมีความคุ้นเคยเป็นพิเศษ ถ้าเรียกด้วยภาษาสามัญว่า "ทรงชอบ" เมืองนี้เป็นพิเศษ เมื่อครั้งจะเสด็จไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองแล้วขณะเสด็จออกนอกเมือง ก็ทรงวพระศอไปทอดพระเนตรเป็นการ "อำลา" ครั้งสุดท้าย พระบาลีเรียกพระอิริยาบถนี้ว่า "นาคาวโลก" (มองดูดุจช้างเหลียวหลัง) ตรัสกับพระอานนท์ว่า การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
ยิ่งเมืองกุสินาราของชาวมัลลกษัตริย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถ้าพระองค์ไม่มีความผูกพันมาก พระองค์คงไม่ตั้งพระทัยจะไปปรินิพพานที่เมืองนี้แน่นอน ทั้งๆ ที่เป็นเมืองเล็ก พระอานนท์ทูลอาราธนาให้ไปปรินิพพานที่เมืองใหญ่ๆ แห่งอื่น เช่น สาวัตถี ราชคฤห์ พระองค์ก็ทรงยืนยันว่า เมืองกุสินารานี้แหละเหมาะที่จะปรินิพพาน ถ้าจะเอาความเล็กความใหญ่มาตัดสิน เมืองกุสินารานี้ปัจจุบันอาจเล็ก แต่ในอดีตกาลอันยาวนานโพ้น เป็นเมืองใหญ่ชื่อ กุสาวดี เป็นที่ประทับของพระมหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
เรียกว่า เมืองไม่ใหญ่ในปัจจุบัน ในอดีตก็ใหญ่ ว่าอย่างนั้นเถิด
เหตุผลเบื้องหลังความตั้งพระทัยจะไปปรินิพพานที่เมืองกุสินาราให้ได้นั้น ผมเคยสันนิษฐาน (เดาไว้แล้ว) ใน "บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์" ที่พิมพ์เผยแพร่แล้ว หนึ่งในหลายสาเหตุก็คือ พระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธประสงค์จะทรงบำเพ็ญ "ญาตัตถจริยา" (การสงเคราะห์ญาติ) ให้สมบูรณ์ พระญาติเมืองอื่นทรงสงเคราะห์มาหมดแล้วยังเหลือแต่พระญาติเมืองกุสินาราและปาวานี้แล ที่ยังไม่ได้สงเคราะห์เพราะถ้าญาตัตถจริยายังไม่สมบูรณ์ พระพุทธองค์ก็คงยังไม่ปรินิพพาน
ขอทิ้งประเด็นว่าศากยะเป็นอารยันหรือมองโกลไว้เท่านี้ ให้ท่านผู้อ่านถกเถียงกันเอง
อ้างอิงกระทู้นี้
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4574
คงพอเห็นเค้าโครงให้เชื่อได้บ้าง แต่จริงหรือไม่ ผมไม่ขอตอบและถกเถียงด้วยนะครับ
เอาเป็นว่า หลักธรรมของท่าน แก้ปัญหาชีวิตจากทุกข์ให้เป็นสุขได้จริงในชีวิตของผมครับ