วันเสาร์ที่ 10-8-13 มีนัดทานข้าวเที่ยงที่โรงแรม The Westin Grande Sukhumvit ปากซอยสุขุมวิท 19
ตามที่ได้ตอบเข้าร่วมในกิจกรรมในเฟซบุ้คของคุณเอก Are Yoi มีคนห้องก้นครัวตอบรับเข้าร่วมสิบกว่าคน
ห้องอาหารที่นัดกันครั้งแรกเดือนนี้
คือห้องอาหารชื่อ Kisso ที่กลับมาเปิดอีกครั้ง
ตั้งอยู่บนชั้นแปดครึ่ง ชั้นเดียวกับห้องจัดเลี้ยง
มื้อเที่ยงห้องอาหารเปิดให้เข้าได้ตั้งแต่เที่ยงถึงบ่ายสามโมง
เนื่องจากมีคนมาร่วมเกือบยี่สิบคน จึงจองเป็นห้องส่วนตัวสองห้อง
คุณเอกเป็นคนที่สะสม voucher ไว้เยอะมาก จนบางครั้งใช้ไม่ทันต้องประกาศแจก
voucher ที่ใช้วันนี้เป็น party voucher ลดค่าอาหาร 50% เมื่อใช้บริการตั้งแต่ 6-12 ท่าน
ไม่ใช่ชุดยูกาตะ แต่เป็นผ้าเช็ดปากของทางห้องอาหาร
ปกติเวลาถ่ายรูปอาหารตามร้าน มักจะไม่ใช้แฟลช เพราะไม่อยากรบกวนลูกค้าอื่น
ยกเว้นการทานอาหารมื้อนั้นมาเป็นกลุ่มใหญ่ มีการนั่งโต๊ะในมุมที่แยกจากส่วนอื่น
ที่แสงแฟลชจะไม่ไปรบกวนการทานอาหารของคนอื่น ปกติแล้วจะเลือกทานอาหารในร้าน
ที่มีแสงสว่างพอสมควรสำหรับการถ่ายภาพอาหาร หรือเลือกนั่งในมุมที่มีแสงสว่างมากที่สุด
หรือเลือกนั่งส่วนที่ติดหน้าต่าง และหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง เพราะการถ่ายภาพอาหารให้สวยนั้น
ควรมีแสงหลักมาจากด้านหลังของจานอาหาร ยิ่งได้แสงเข้ามาทางซ้ายยิ่งดี
เพราะจะทำให้เห็น Texture หรือ รายละเอียดของอาหารชัด มีทั้งความสว่างและเงามืดของอาหาร ภาพจึงไม่ดูแบน
แต่ต้องยอมรับว่าร้านอาหารส่วนใหญ่ตามห้างหรือตามโรงแรม มักจะใช้แสงไฟที่ไม่สว่างมากจนเกินไป
รวมถึงการเลือกใช้หลอดไฟที่มีอุณหภูมิแสงต่ำกว่า 5,500 องศาเคลวิ่น
ซึ่งนอกจากสีของภาพจะออกโทนเหลือง เมื่อใช้สมดุลย์สีขาวแบบอัตโนมัติ
แต่ก็ไม่ชอบปรับสมดุลย์สีขาวให้เข้ากับหลอดไฟ เพราะภาพที่ออกมาไม่ใช้แสงของสภาพแวดล้อมที่แท้จริง
นอกจากนี้ การที่ห้องอาหารนิยมเปิดไฟสลัว ทำให้ต้องดันไอเอสโอสูงจนเกิดนอยส์ในภาพ
วันนี้พกแฟลชหัวค้อน ซ็อฟท์บ็อกซ์ แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีขาวสำหรับเป็นรีเฟล็กซ์ และกรวยบังคับแสงมาเผื่อด้วย
ปรากฏว่าห้องอาหารวันนี้คนน้อยมาก รวมถึงจองเป็นห้องส่วนตัว จึงได้มีโอกาศใช้อุปกรณ์ที่เตรียมมา
แยกแฟลชหัวค้อนจากล้องโดยใช้สายแฟลชเชื่อมกับแป้นเสียบแฟลชของกล้อง
เพราะอุปกรณ์สั่งงานแฟลชไร้สายที่สั่งไว้ยังไม่มา
ไม่ถ่ายด้วยแฟลชในโหมดไร้สาย ซึ่งต้องอาศัยแสงจากแฟลชหัวกล้องเป็นตัวสั่งงาน
เพราะต้องการคอนทราสท์จัด เพื่อให้มีเงามืดมาก ทำให้ภาพดูมีมิติลอยเด่นขึ้นมาจากจานและฉากหลัง
เริ่มด้วยชาเขียวร้อน 60 บาท ที่พนักงานไม่ค่อยขยันมาเติม
สั่งอาหารช้ากว่าเพื่อน
จึงขอเก็บภาพอาหารที่ท่านอื่นสั่งมาก่อน
เริ่มด้วยชุดสลัดเป็ดอบ
และปลาเงินชุบแป้งทอด
ซาชิมิสามอย่าง
มีเนื้อปลาฮามาจิ
โอโทโร่
และอวัยวะสืบพันธุ์ของหอยเม่นตัวผู้
ข้าวหน้าเนื้อ medium rare
สุกนอกแดงใน
เนื้อปลาหิมะย่าง
หนังเกรียมเนื้อใส
ทานพร้อมผักย่าง
ปลาไหลญี่ปุ่นย่างซีอิ๊ว
สลัดไก่กรอบ
เพิ่มแผ่นรีแฟล็กซ์ที่ด้านหน้า เพื่อลดเงาและเพิ่มความสว่างด้านหน้า
ชุดโซบะ
ชุดปลาหางเหลือง
ชุด Jo Sushi Gozen ของตัวเอง 790 บาท
มีจานของดิบหนึ่งจาน
โอโทโร่กับหอยเชลล์
กุ้งหวานดิบ
ส่วนเจ้าปลาเนื้อขาวหนังเรียบไม่รู้ว่าปลาอะไร แต่หนังเหมือนปลาอินทรี
แซลม่อน ปลากะพงแล่บางและอัณฑะหอยเม่น
เนื้อปลาฮามาจิไล่สีสวย
กุ้งเทมปุระ กับลูกกระเจี๊ยบและมันชุบแป้งทอด
สลัดหน้าอกเป็ด
ผักดอง
ซุปมิโซะ
ใส่เส้นโซบะ
ไข่ตุ๋นใส่กุ้ง
ของคนอื่นกันต่อ ข้าวหน้าปลาดิบ
ชุดเนื้อวากิว
ชุดปลาหิมะย่าง
กินกันเต็มที่ไม่มีออมมือออมท้อง
ข้าวสองไข่ของคุณเอกจากอีกห้อง
ถ่ายด้วยแสงธรรมชาติที่เข้ามาริมหน้าต่างเพื่อให้ดูเปรียบเทียบกัน
ถ่ายด้วยแสงธรรมชาติกับเลนส์มาโคร 90 มม.
ยังไม่อิ่มขอข้าวห่อสาหร่ายอีกสักจาน สั่งไส้ปลาไหลไหงมาเป็นปลาดิบสับ 230 บาท
การถ่ายรูปเพื่อการโฆษณาเป็นเรื่องของการจัดฉาก
ร้อยละ 80 ของอาหารที่นำมาถ่ายนั้นต้องโยนทิ้ง เพราะต้องเสริมแต่งให้ออกมาดูน่ากิน
เช่น ต้องทาน้ำมันพืช เพื่อเพิ่มความมันวาวของอาหาร ต้องอาศัยคนช่วยหรือเครื่องมือบางอย่างที่ดัดแปลงเอง
เป็นคนชอบเดินคลองถมและบ้านหม้อ เพื่อหาไอเดียมาดัดแปลงเครื่องมือที่ช่วยในการถ่ายรูป
ซึ่งเป็นที่มาของนิยายมือถือแนวอีโรติกสามตอน อันเป็นที่มาของ"อาสาม" จอมดัดแปลงอาวุธแห่งสำนักบู๊ตึ๊ง
อย่างเช่นโคมไฟหนีบโต๊ะราคา 120 บาท แค่ถอดโคมออก ก็กลายมาเป็นตัวช่วยในการคีบอาหาร
เพื่อให้ข้าวห่อสาหร่ายลอยนิ่งอยู่ให้ถ่ายรูป ซึ่งถ้าอาศัยมือคนจะไม่นิ่งหลุดโฟกัสง่าย
เพิ่มรีเฟล็กซ์ด้านหน้า เพื่อให้เห็นลายของแผ่นสาหร่าย
สวมกรวยบังคับแสงที่แฟลชหัวค้อน เพื่อถ่ายมาโครหลังดำ
หรือขยายปลายกรวย เพื่อให้แสงตกไปด้านหลังเล็กน้อย
ว่าจะสั่งอาหารเพิ่มอีก แต่ปิดรับสั่งอาหารตั้งแต่สองโมงสิบห้า
มื้อนี้ ++ พันสี่เล็กน้อย ลด 50% เหลือเจ็ดร้อยกว่าบาท
ถ้าไม่ติดธุระอะไรและร่างกายอำนวย คงตามไป Sunday Brunch ลด 50% อีกสองโรงแรม
[CR] Kisso @ The Westin Grande Sukhumvit by laser
ตามที่ได้ตอบเข้าร่วมในกิจกรรมในเฟซบุ้คของคุณเอก Are Yoi มีคนห้องก้นครัวตอบรับเข้าร่วมสิบกว่าคน
ห้องอาหารที่นัดกันครั้งแรกเดือนนี้
คือห้องอาหารชื่อ Kisso ที่กลับมาเปิดอีกครั้ง
ตั้งอยู่บนชั้นแปดครึ่ง ชั้นเดียวกับห้องจัดเลี้ยง
มื้อเที่ยงห้องอาหารเปิดให้เข้าได้ตั้งแต่เที่ยงถึงบ่ายสามโมง
เนื่องจากมีคนมาร่วมเกือบยี่สิบคน จึงจองเป็นห้องส่วนตัวสองห้อง
คุณเอกเป็นคนที่สะสม voucher ไว้เยอะมาก จนบางครั้งใช้ไม่ทันต้องประกาศแจก
voucher ที่ใช้วันนี้เป็น party voucher ลดค่าอาหาร 50% เมื่อใช้บริการตั้งแต่ 6-12 ท่าน
ไม่ใช่ชุดยูกาตะ แต่เป็นผ้าเช็ดปากของทางห้องอาหาร
ปกติเวลาถ่ายรูปอาหารตามร้าน มักจะไม่ใช้แฟลช เพราะไม่อยากรบกวนลูกค้าอื่น
ยกเว้นการทานอาหารมื้อนั้นมาเป็นกลุ่มใหญ่ มีการนั่งโต๊ะในมุมที่แยกจากส่วนอื่น
ที่แสงแฟลชจะไม่ไปรบกวนการทานอาหารของคนอื่น ปกติแล้วจะเลือกทานอาหารในร้าน
ที่มีแสงสว่างพอสมควรสำหรับการถ่ายภาพอาหาร หรือเลือกนั่งในมุมที่มีแสงสว่างมากที่สุด
หรือเลือกนั่งส่วนที่ติดหน้าต่าง และหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง เพราะการถ่ายภาพอาหารให้สวยนั้น
ควรมีแสงหลักมาจากด้านหลังของจานอาหาร ยิ่งได้แสงเข้ามาทางซ้ายยิ่งดี
เพราะจะทำให้เห็น Texture หรือ รายละเอียดของอาหารชัด มีทั้งความสว่างและเงามืดของอาหาร ภาพจึงไม่ดูแบน
แต่ต้องยอมรับว่าร้านอาหารส่วนใหญ่ตามห้างหรือตามโรงแรม มักจะใช้แสงไฟที่ไม่สว่างมากจนเกินไป
รวมถึงการเลือกใช้หลอดไฟที่มีอุณหภูมิแสงต่ำกว่า 5,500 องศาเคลวิ่น
ซึ่งนอกจากสีของภาพจะออกโทนเหลือง เมื่อใช้สมดุลย์สีขาวแบบอัตโนมัติ
แต่ก็ไม่ชอบปรับสมดุลย์สีขาวให้เข้ากับหลอดไฟ เพราะภาพที่ออกมาไม่ใช้แสงของสภาพแวดล้อมที่แท้จริง
นอกจากนี้ การที่ห้องอาหารนิยมเปิดไฟสลัว ทำให้ต้องดันไอเอสโอสูงจนเกิดนอยส์ในภาพ
วันนี้พกแฟลชหัวค้อน ซ็อฟท์บ็อกซ์ แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีขาวสำหรับเป็นรีเฟล็กซ์ และกรวยบังคับแสงมาเผื่อด้วย
ปรากฏว่าห้องอาหารวันนี้คนน้อยมาก รวมถึงจองเป็นห้องส่วนตัว จึงได้มีโอกาศใช้อุปกรณ์ที่เตรียมมา
แยกแฟลชหัวค้อนจากล้องโดยใช้สายแฟลชเชื่อมกับแป้นเสียบแฟลชของกล้อง
เพราะอุปกรณ์สั่งงานแฟลชไร้สายที่สั่งไว้ยังไม่มา
ไม่ถ่ายด้วยแฟลชในโหมดไร้สาย ซึ่งต้องอาศัยแสงจากแฟลชหัวกล้องเป็นตัวสั่งงาน
เพราะต้องการคอนทราสท์จัด เพื่อให้มีเงามืดมาก ทำให้ภาพดูมีมิติลอยเด่นขึ้นมาจากจานและฉากหลัง
เริ่มด้วยชาเขียวร้อน 60 บาท ที่พนักงานไม่ค่อยขยันมาเติม
สั่งอาหารช้ากว่าเพื่อน
จึงขอเก็บภาพอาหารที่ท่านอื่นสั่งมาก่อน
เริ่มด้วยชุดสลัดเป็ดอบ
และปลาเงินชุบแป้งทอด
ซาชิมิสามอย่าง
มีเนื้อปลาฮามาจิ
โอโทโร่
และอวัยวะสืบพันธุ์ของหอยเม่นตัวผู้
ข้าวหน้าเนื้อ medium rare
สุกนอกแดงใน
เนื้อปลาหิมะย่าง
หนังเกรียมเนื้อใส
ทานพร้อมผักย่าง
ปลาไหลญี่ปุ่นย่างซีอิ๊ว
สลัดไก่กรอบ
เพิ่มแผ่นรีแฟล็กซ์ที่ด้านหน้า เพื่อลดเงาและเพิ่มความสว่างด้านหน้า
ชุดโซบะ
ชุดปลาหางเหลือง
ชุด Jo Sushi Gozen ของตัวเอง 790 บาท
มีจานของดิบหนึ่งจาน
โอโทโร่กับหอยเชลล์
กุ้งหวานดิบ
ส่วนเจ้าปลาเนื้อขาวหนังเรียบไม่รู้ว่าปลาอะไร แต่หนังเหมือนปลาอินทรี
แซลม่อน ปลากะพงแล่บางและอัณฑะหอยเม่น
เนื้อปลาฮามาจิไล่สีสวย
กุ้งเทมปุระ กับลูกกระเจี๊ยบและมันชุบแป้งทอด
สลัดหน้าอกเป็ด
ผักดอง
ซุปมิโซะ
ใส่เส้นโซบะ
ไข่ตุ๋นใส่กุ้ง
ของคนอื่นกันต่อ ข้าวหน้าปลาดิบ
ชุดเนื้อวากิว
ชุดปลาหิมะย่าง
กินกันเต็มที่ไม่มีออมมือออมท้อง
ข้าวสองไข่ของคุณเอกจากอีกห้อง
ถ่ายด้วยแสงธรรมชาติที่เข้ามาริมหน้าต่างเพื่อให้ดูเปรียบเทียบกัน
ถ่ายด้วยแสงธรรมชาติกับเลนส์มาโคร 90 มม.
ยังไม่อิ่มขอข้าวห่อสาหร่ายอีกสักจาน สั่งไส้ปลาไหลไหงมาเป็นปลาดิบสับ 230 บาท
การถ่ายรูปเพื่อการโฆษณาเป็นเรื่องของการจัดฉาก
ร้อยละ 80 ของอาหารที่นำมาถ่ายนั้นต้องโยนทิ้ง เพราะต้องเสริมแต่งให้ออกมาดูน่ากิน
เช่น ต้องทาน้ำมันพืช เพื่อเพิ่มความมันวาวของอาหาร ต้องอาศัยคนช่วยหรือเครื่องมือบางอย่างที่ดัดแปลงเอง
เป็นคนชอบเดินคลองถมและบ้านหม้อ เพื่อหาไอเดียมาดัดแปลงเครื่องมือที่ช่วยในการถ่ายรูป
ซึ่งเป็นที่มาของนิยายมือถือแนวอีโรติกสามตอน อันเป็นที่มาของ"อาสาม" จอมดัดแปลงอาวุธแห่งสำนักบู๊ตึ๊ง
อย่างเช่นโคมไฟหนีบโต๊ะราคา 120 บาท แค่ถอดโคมออก ก็กลายมาเป็นตัวช่วยในการคีบอาหาร
เพื่อให้ข้าวห่อสาหร่ายลอยนิ่งอยู่ให้ถ่ายรูป ซึ่งถ้าอาศัยมือคนจะไม่นิ่งหลุดโฟกัสง่าย
เพิ่มรีเฟล็กซ์ด้านหน้า เพื่อให้เห็นลายของแผ่นสาหร่าย
สวมกรวยบังคับแสงที่แฟลชหัวค้อน เพื่อถ่ายมาโครหลังดำ
หรือขยายปลายกรวย เพื่อให้แสงตกไปด้านหลังเล็กน้อย
ว่าจะสั่งอาหารเพิ่มอีก แต่ปิดรับสั่งอาหารตั้งแต่สองโมงสิบห้า
มื้อนี้ ++ พันสี่เล็กน้อย ลด 50% เหลือเจ็ดร้อยกว่าบาท
ถ้าไม่ติดธุระอะไรและร่างกายอำนวย คงตามไป Sunday Brunch ลด 50% อีกสองโรงแรม