เห็นหลายคนพูดถึงเรื่องหุ้น pace เลยอย่างจะแสดงความคิดเห็นบ้างครับ อย่างที่ทุกท่านทราบไปแล้ว หุ้นราคาปิดตอนนี้ (8 สิงหา) ปิดต่ำกว่าราคา IPO อยุ่ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ ทำให้มีนักลงทุนจำนวนมากขาดทุนจากการนำหุ้นตัวนี้เข้าตลาด สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปครับแต่จากกรณีอยากให้ทุกท่านทุกฝ่ายกลับมามองว่าเราจะเรียนรู้อะไรได้บ้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ นลท ต้องเสี่ยงกับเหตุการณ์แบบนี้อีก
อย่างแรกคือตลาดหลักทรัพย์ ผมเห็นด้วยกับหลาย ๆ ท่านว่าไม่น่าเอาเกณฑ์ market cap มาใช้ในการนำหุ้นเข้ามาในตลาด ผมไม่เห็นเหตุผลอื่นเลยที่ตลาดฯ ยอมให้หุ้นเข้าด้วยเกณฑ์นี้นอกจากอยากให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยใหญ่ขึ้น ซึ่งไม่คำนึงเลยว่าบริษัทมีผลประกอบการอย่างไร อย่างนี้ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัท ผมก็สามารถเข้ามากอบโกยให้ตัวเองรวยขึ้นได้โดยไม่ต้องสนใจว่าบริษัทหรือรายย่อยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร สิ่งที่ถูกคืออย่างน้อยควรจะมีกำไรต่อเนื่องและมีเป้าหมายการทำธุรกิจชัดเจนครับ
อย่างที่สองคือบริษัทหลักทรัพย์และที่ปรึกษาการเงิน อันนี้ผมว่าอาจจะกลืนไม่เค้าคายไม่ออกสักเล็กน้อยเพราะตลาดยอมให้เข้าตลาดมาแล้ว อย่างน้อยก็ต้องมีสัก บล ที่ต้องเอาหุ้นเข้าตลาดให้ได้ แต่สิ่งที่จะช่วยได้คือ valuation ของราคา ipo ครับ ซึ่งก็ไม่ควรจะ premium มาจนเกินไป ประเภทมองล่วงหน้าไปสองสามปีนี่อย่าเลยครับ ขายฝันกันมากกว่า อนาคตจะเป็นแบบที่ฝันหรือไม่ก็ไม่มีใครทราบได้ สงสารนักลงทุนรายย่อยดีกว่าครับ ราคาน่าจะมองล่วงหน้าสักปีนึงก็น่าจะเพียงพอแล้ว
อย่างที่สามคือตัวบริษัทที่จะเข้าตลาดฯ เอง บริษัทอย่างน้อยก็ควรจะมีวิจารณญาณหรือธรรมาภิบาลว่าในเวลานั้นควรจะนำหุ้นเข้าตลาดหรือไม่ ชื่อบริษัทมหาชนก็บอกอยู่แล้วครับว่า เป็นบริษัทของทุกคนที่ถือหุ้น บริษัทเมื่อเลือกที่จะเป็นมหาชนแล้วก็ควรจะคำนึงถึงผู้ถือหุ้นเป็นหลัก การที่หุ้นยังขาดทุนอยู่จะมีแนวโน้มว่าจะยังเป็นอย่างงั้นไปอีกหลายไตรมาสแล้วยังจะเอาเข้าตลาดให้ นลท แบบรับภาระขาดทุนไปด้วยเนี่ย สำหรับผมถือว่าบริษัทขาดธรรมาภิบาลนะครับ
สุดท้ายและ
ผมคิดว่าสำคัญที่สุดคือตัวนักลงทุนเองครับ สามข้อที่กล่าวมาข้างบนควรจะทำอย่างยิ่ง แต่ด้วยตลาดเมืองไทยมันไม่ค่อยมีกฎระเบียบปกป้อง นลท อย่างนี้ สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเลยคือ
เราต้องป้องกันตัวเองและมีภูมิคุ้มกันเพียงพอครับ ผมคิดว่าการซื้อลงทุนซื้อหุ้นเป็นอะไรที่แฟร์มากเพราะไม่มีใครมาบังคับให้คุณเคาะซื้อขายได้ ตัวคุณเป็นคนตัดสินใจเองทั้งนั้น หลาย ๆ คนซึ่งคิดว่าอาจจะ 80-90 เปอร์เซ็นต์ที่ซื้อคงคิดว่าอยากรวยเร็วโดยตั้งขายที่ ato เลย ผมว่าควรคิดใหม่ได้แล้วครับ มันไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้น สำหรับตัวผมเองผมคิดว่าถ้าคุณตัดสินใจซื้อแล้ว แปลว่าคุณควรต้องหาข้อมูลและคิดมาอย่างรอบคอบแล้วว่ามันสมควรซื้อ พูดอีกอย่างคือต่อให้ตลาด โบรก หรือบริษัท จะพูดอย่างไร แต่ถ้าคุณมีวิจารณญาณพอ คุณก็สามารถเลี่ยงเหตุการณ์ขาดทุนหุ้น ipo แบบนี้ได้ เพราะงั้นบางทีการขาดทุนแล้วออกมาโวยวายโทษคนอื่นนั้น ผมว่าอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องนัก สิ่งที่สำคัญกว่าคือคุณต้องเรียนรู้และอยู่กับมันให้ได้ถ้าคุณจะยังลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อไปมากกว่าครับ อย่างกรณีนี้ชัดเจนว่าบริษัทยังขาดทุนอยู่ คุณก็ไม่ควรจะเอาเงินตัวเองเข้าไปเสี่ยง หรือถ้าราคา IPO มันคิดที่ PE สูงเวอร์คุณก็ไม่ควรจะเอาตัวไปเสี่ยงเช่นกัน คิดง่ายๆ ครับว่าขนาดคุณจะซื้อของราคาหมื่นถึงแสน คุณก็ต้องคิดอย่างละเอียดใช่มั้ยครับว่ามันเหมาะสมหรือแพงไปมั้ย ราคาหุ้นที่ซื้อก็ควรเป็นแบบเดียวกันครับ
จบละครับ เขียนมาอย่างยืดยาว อันนี้เป็นมุมมองผมเองนะครับจากการอยู่ในตลาดมานานพอสมควร หากท่านไม่ถูกใจในสิ่งที่ผมเขียนก็ขออภัยมาที่นี้ด้วยครับ
กรณีศึกษาและบทเรียนหุ้น pace
อย่างแรกคือตลาดหลักทรัพย์ ผมเห็นด้วยกับหลาย ๆ ท่านว่าไม่น่าเอาเกณฑ์ market cap มาใช้ในการนำหุ้นเข้ามาในตลาด ผมไม่เห็นเหตุผลอื่นเลยที่ตลาดฯ ยอมให้หุ้นเข้าด้วยเกณฑ์นี้นอกจากอยากให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยใหญ่ขึ้น ซึ่งไม่คำนึงเลยว่าบริษัทมีผลประกอบการอย่างไร อย่างนี้ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัท ผมก็สามารถเข้ามากอบโกยให้ตัวเองรวยขึ้นได้โดยไม่ต้องสนใจว่าบริษัทหรือรายย่อยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร สิ่งที่ถูกคืออย่างน้อยควรจะมีกำไรต่อเนื่องและมีเป้าหมายการทำธุรกิจชัดเจนครับ
อย่างที่สองคือบริษัทหลักทรัพย์และที่ปรึกษาการเงิน อันนี้ผมว่าอาจจะกลืนไม่เค้าคายไม่ออกสักเล็กน้อยเพราะตลาดยอมให้เข้าตลาดมาแล้ว อย่างน้อยก็ต้องมีสัก บล ที่ต้องเอาหุ้นเข้าตลาดให้ได้ แต่สิ่งที่จะช่วยได้คือ valuation ของราคา ipo ครับ ซึ่งก็ไม่ควรจะ premium มาจนเกินไป ประเภทมองล่วงหน้าไปสองสามปีนี่อย่าเลยครับ ขายฝันกันมากกว่า อนาคตจะเป็นแบบที่ฝันหรือไม่ก็ไม่มีใครทราบได้ สงสารนักลงทุนรายย่อยดีกว่าครับ ราคาน่าจะมองล่วงหน้าสักปีนึงก็น่าจะเพียงพอแล้ว
อย่างที่สามคือตัวบริษัทที่จะเข้าตลาดฯ เอง บริษัทอย่างน้อยก็ควรจะมีวิจารณญาณหรือธรรมาภิบาลว่าในเวลานั้นควรจะนำหุ้นเข้าตลาดหรือไม่ ชื่อบริษัทมหาชนก็บอกอยู่แล้วครับว่า เป็นบริษัทของทุกคนที่ถือหุ้น บริษัทเมื่อเลือกที่จะเป็นมหาชนแล้วก็ควรจะคำนึงถึงผู้ถือหุ้นเป็นหลัก การที่หุ้นยังขาดทุนอยู่จะมีแนวโน้มว่าจะยังเป็นอย่างงั้นไปอีกหลายไตรมาสแล้วยังจะเอาเข้าตลาดให้ นลท แบบรับภาระขาดทุนไปด้วยเนี่ย สำหรับผมถือว่าบริษัทขาดธรรมาภิบาลนะครับ
สุดท้ายและผมคิดว่าสำคัญที่สุดคือตัวนักลงทุนเองครับ สามข้อที่กล่าวมาข้างบนควรจะทำอย่างยิ่ง แต่ด้วยตลาดเมืองไทยมันไม่ค่อยมีกฎระเบียบปกป้อง นลท อย่างนี้ สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเลยคือเราต้องป้องกันตัวเองและมีภูมิคุ้มกันเพียงพอครับ ผมคิดว่าการซื้อลงทุนซื้อหุ้นเป็นอะไรที่แฟร์มากเพราะไม่มีใครมาบังคับให้คุณเคาะซื้อขายได้ ตัวคุณเป็นคนตัดสินใจเองทั้งนั้น หลาย ๆ คนซึ่งคิดว่าอาจจะ 80-90 เปอร์เซ็นต์ที่ซื้อคงคิดว่าอยากรวยเร็วโดยตั้งขายที่ ato เลย ผมว่าควรคิดใหม่ได้แล้วครับ มันไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้น สำหรับตัวผมเองผมคิดว่าถ้าคุณตัดสินใจซื้อแล้ว แปลว่าคุณควรต้องหาข้อมูลและคิดมาอย่างรอบคอบแล้วว่ามันสมควรซื้อ พูดอีกอย่างคือต่อให้ตลาด โบรก หรือบริษัท จะพูดอย่างไร แต่ถ้าคุณมีวิจารณญาณพอ คุณก็สามารถเลี่ยงเหตุการณ์ขาดทุนหุ้น ipo แบบนี้ได้ เพราะงั้นบางทีการขาดทุนแล้วออกมาโวยวายโทษคนอื่นนั้น ผมว่าอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องนัก สิ่งที่สำคัญกว่าคือคุณต้องเรียนรู้และอยู่กับมันให้ได้ถ้าคุณจะยังลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อไปมากกว่าครับ อย่างกรณีนี้ชัดเจนว่าบริษัทยังขาดทุนอยู่ คุณก็ไม่ควรจะเอาเงินตัวเองเข้าไปเสี่ยง หรือถ้าราคา IPO มันคิดที่ PE สูงเวอร์คุณก็ไม่ควรจะเอาตัวไปเสี่ยงเช่นกัน คิดง่ายๆ ครับว่าขนาดคุณจะซื้อของราคาหมื่นถึงแสน คุณก็ต้องคิดอย่างละเอียดใช่มั้ยครับว่ามันเหมาะสมหรือแพงไปมั้ย ราคาหุ้นที่ซื้อก็ควรเป็นแบบเดียวกันครับ
จบละครับ เขียนมาอย่างยืดยาว อันนี้เป็นมุมมองผมเองนะครับจากการอยู่ในตลาดมานานพอสมควร หากท่านไม่ถูกใจในสิ่งที่ผมเขียนก็ขออภัยมาที่นี้ด้วยครับ