อาทิตย์นี้ กองขายไป 2.7 พันล้าน
ป๊อบขายไป 1.1 พันล้าน
เม่าซื้ออยู่คนเดียว 8.2 พันล้าน
ต่างชาติขาย 4.2 พันล้าน (ที่ซื้อรวม 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ขายหมดในอาทิตย์นี้)
ข้อสังเกตุ ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐ อายุ 10 ปี เป็นตัวกำหนดตลาดรึเปล่า
เพราะ 10 อาทิตย์จาก 11 อาทิตย์หลังสุด
ถ้าตราสารหนี้ขึ้น ค่าเงินบาทจะอ่อนค่า และตลาดหุ้นไทยจะติดลบ
แต่ถ้าตราสารหนี้ลง ค่าเงินบาทจะแข็งค่า และตลาดหุ้นไทยจะบวก
สรุป
1.เรื่องเฟด ผมยังคิดเหมือนเดิมว่า ลุงเบน จะลด qe ก่อนลงจากตำแหน่ง ไม่ปลายปีนี้ ก็ต้นปีหน้า
2.เมกาเศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่งสลับกับเอเชียที่ชะลอตัว fund flow จะไหลไปทางเมกา
(เมื่อครั้งก่อนผมเลยคิดว่า เราน่าจะแบ่งพอร์ตไปลงหุ้นเมกา
สักเล็กน้อย ควรเลือกกองทุนที่มีการประกันค่าเงิน)
3.set ไทย ถ้า fund flow ไม่เข้า ก็ไม่น่าจะขึ้นไปได้มากนัก เพราะเรามีทริกเกอร์ ข้อดีคือเวลาลง ทริกเกอร์ก็จะเข้าไปรับ
ขณะเดียวกันข้อเสียคือ เวลาขึ้น ทริกเกอร์ก็จะขายออกมา แบบอาทิตย์ที่ผ่านมา คือจะประคอง set ไม่ให้ขึ้น หรือลงมาก
(แต่ถ้าดิ่งลงขาเดียว ทริกเกอร์ก็รับไม่ไหวนะ)
4.สำหรับคนที่ติดดอย ถ้าวิธี
"ช่วยตัวประกันบนดอย 1600" ทำได้ลำบาก ผมเสนอว่าให้ลองใช้แบบนี้ครับ
ตอนนี้เอา 1400 เป็นเส้นกลาง ถ้าอยู่เหนือ ขึ้นไปทยอยขายออกมาสักทีละ 10% ถ้าขึ้นไปอีกก็ทยอยออกมาอีก 10%
ถึงจะทำให้เราขายหมู แต่ก็ไม่ได้เสียหายมากนัก เพราะถ้ามันวกกลับมาลง คราวนี้เราจะไม่เหลือหมูให้ขาย จะเหลือแต่เขียงอย่างเดียว
พอตลาดลงต่ำกว่า 1400 เราก็ทยอยซื้อเข้าไปทีละ 10% วิธีนี้จะทำให้ดอยเราต่ำลงครับ และถ้าเราซื้อแล้วมันไปผิดทาง
ก็จะไม่ทำให้เราเสียหายมากนัก
5.ส่วนคนที่จะลงทุนแบบ dca ผมแนะนำวิธี va ให้พิจารณาครับ (แต่ va เป็นวิธีที่คำนวณยุ่งยากสักหน่อย) ผมเสนอวิธีนี้คิดว่า ง่ายดี
5.1 สมมุติว่าเราลงทุนทุกเดือน ในวันที่ 30 เดือนละ 1 หมื่น เดือนแรก nav 10 บาท เท่ากับเราได้หน่วย 1000 หน่วย มูลค่าเงิน 10000 บาท
กรณีที่ 1
5.2 เดือนที่สองในวันที่ 29 nav ลดลงเหลือ 9 บาท (เท่ากับพอร์ตเรามีมูลค่า 9 บาท x 1000 หน่วย = 9000 บาท) ให้เราซื้อ 11000 บาท
เท่ากับ มูลค่าพอร์ตเราคือ 20000 บาท ได้หน่วย 1222 หน่วย/เดือนนี้+1000 หน่วย/เดือนก่อน = 2222 หน่วย
(ในกรณีที่วันเราซื้อหุ้นขึ้นหรือลงสักเล็กน้อย ก็ทำให้คลาดเคลื่อนไปบ้าง)
กรณีที่ 2
5.2 เดือนที่สองในวันที่ 29 nav เพิ่มขึ้น เป็น 12 บาท (เท่ากับมูลค่าเงินในพอร์ตของเราคือ 12x1000=12000 บาท) วันที่ 30 ให้เราซื้อ 8 พันบาท
เราจะได้หน่วย 667 หน่วย/เดือนนี้ + 1000 หน่วย/เดือนก่อน =1667 หน่วย
ข้อดีของวิธีนี้คือ
เวลาตลาดขึ้นสูง เราจะถ่วงน้ำหนักลงทุนน้อยลง
(ซึ่งถ้าเราทำไปได้สักระยะ เวลาตลาดขึ้น ระบบ จะให้เราจะขายหน่วยออกมาบ้างเป็นการล็อคกำไร)
เวลาตลาดลง เราจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้มากขึ้น
และเราไม่ต้องเดาตลาด เพราะระบบจะถ่วงน้ำหนักให้เราเอง
ผมสงสัย เลยมีคำถามถ้าเพื่อนๆ คนไหนทราบช่วยตอบด้วยครับ เรื่อง ltf
เราซื้อแล้วไม่สามารถขายได้ เพราะมันจะขายยอดแรกออกมาก่อน แล้วถ้าเรา
ซื้อปีละ กองทุน จะได้ไหมครับ เช่น ปีที่ 1 ซื้อกองทุน a ปีที่ 2 ซื้อกองทุน b ปีที่ 3 ซื้อกองทุน c
สมมุติว่าปีที่ 3 ซื้อแล้ว หุ้นมันตก เช่นปีนี้ เราสามารถขายของกองทุน c ได้ไหมครับ
(เพราะคนละกองทุนกัน ไม่น่าจะไปเอายอดปีที่ 1 และ 2 จากกองทุน a b มาขาย)
อันนี้ความเข้าใจของผมนะ ใครทราบช่วยตอบด้วย
[กระทู้มุงกองทุน] วันหยุด เสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2556
อาทิตย์นี้ กองขายไป 2.7 พันล้าน
ป๊อบขายไป 1.1 พันล้าน
เม่าซื้ออยู่คนเดียว 8.2 พันล้าน
ต่างชาติขาย 4.2 พันล้าน (ที่ซื้อรวม 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ขายหมดในอาทิตย์นี้)
ข้อสังเกตุ ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐ อายุ 10 ปี เป็นตัวกำหนดตลาดรึเปล่า
เพราะ 10 อาทิตย์จาก 11 อาทิตย์หลังสุด
ถ้าตราสารหนี้ขึ้น ค่าเงินบาทจะอ่อนค่า และตลาดหุ้นไทยจะติดลบ
แต่ถ้าตราสารหนี้ลง ค่าเงินบาทจะแข็งค่า และตลาดหุ้นไทยจะบวก
สรุป
1.เรื่องเฟด ผมยังคิดเหมือนเดิมว่า ลุงเบน จะลด qe ก่อนลงจากตำแหน่ง ไม่ปลายปีนี้ ก็ต้นปีหน้า
2.เมกาเศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่งสลับกับเอเชียที่ชะลอตัว fund flow จะไหลไปทางเมกา
(เมื่อครั้งก่อนผมเลยคิดว่า เราน่าจะแบ่งพอร์ตไปลงหุ้นเมกา สักเล็กน้อย ควรเลือกกองทุนที่มีการประกันค่าเงิน)
3.set ไทย ถ้า fund flow ไม่เข้า ก็ไม่น่าจะขึ้นไปได้มากนัก เพราะเรามีทริกเกอร์ ข้อดีคือเวลาลง ทริกเกอร์ก็จะเข้าไปรับ
ขณะเดียวกันข้อเสียคือ เวลาขึ้น ทริกเกอร์ก็จะขายออกมา แบบอาทิตย์ที่ผ่านมา คือจะประคอง set ไม่ให้ขึ้น หรือลงมาก
(แต่ถ้าดิ่งลงขาเดียว ทริกเกอร์ก็รับไม่ไหวนะ)
4.สำหรับคนที่ติดดอย ถ้าวิธี "ช่วยตัวประกันบนดอย 1600" ทำได้ลำบาก ผมเสนอว่าให้ลองใช้แบบนี้ครับ
ตอนนี้เอา 1400 เป็นเส้นกลาง ถ้าอยู่เหนือ ขึ้นไปทยอยขายออกมาสักทีละ 10% ถ้าขึ้นไปอีกก็ทยอยออกมาอีก 10%
ถึงจะทำให้เราขายหมู แต่ก็ไม่ได้เสียหายมากนัก เพราะถ้ามันวกกลับมาลง คราวนี้เราจะไม่เหลือหมูให้ขาย จะเหลือแต่เขียงอย่างเดียว
พอตลาดลงต่ำกว่า 1400 เราก็ทยอยซื้อเข้าไปทีละ 10% วิธีนี้จะทำให้ดอยเราต่ำลงครับ และถ้าเราซื้อแล้วมันไปผิดทาง
ก็จะไม่ทำให้เราเสียหายมากนัก
5.ส่วนคนที่จะลงทุนแบบ dca ผมแนะนำวิธี va ให้พิจารณาครับ (แต่ va เป็นวิธีที่คำนวณยุ่งยากสักหน่อย) ผมเสนอวิธีนี้คิดว่า ง่ายดี
5.1 สมมุติว่าเราลงทุนทุกเดือน ในวันที่ 30 เดือนละ 1 หมื่น เดือนแรก nav 10 บาท เท่ากับเราได้หน่วย 1000 หน่วย มูลค่าเงิน 10000 บาท
กรณีที่ 1
5.2 เดือนที่สองในวันที่ 29 nav ลดลงเหลือ 9 บาท (เท่ากับพอร์ตเรามีมูลค่า 9 บาท x 1000 หน่วย = 9000 บาท) ให้เราซื้อ 11000 บาท
เท่ากับ มูลค่าพอร์ตเราคือ 20000 บาท ได้หน่วย 1222 หน่วย/เดือนนี้+1000 หน่วย/เดือนก่อน = 2222 หน่วย
(ในกรณีที่วันเราซื้อหุ้นขึ้นหรือลงสักเล็กน้อย ก็ทำให้คลาดเคลื่อนไปบ้าง)
กรณีที่ 2
5.2 เดือนที่สองในวันที่ 29 nav เพิ่มขึ้น เป็น 12 บาท (เท่ากับมูลค่าเงินในพอร์ตของเราคือ 12x1000=12000 บาท) วันที่ 30 ให้เราซื้อ 8 พันบาท
เราจะได้หน่วย 667 หน่วย/เดือนนี้ + 1000 หน่วย/เดือนก่อน =1667 หน่วย
ข้อดีของวิธีนี้คือ
เวลาตลาดขึ้นสูง เราจะถ่วงน้ำหนักลงทุนน้อยลง
(ซึ่งถ้าเราทำไปได้สักระยะ เวลาตลาดขึ้น ระบบ จะให้เราจะขายหน่วยออกมาบ้างเป็นการล็อคกำไร)
เวลาตลาดลง เราจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้มากขึ้น
และเราไม่ต้องเดาตลาด เพราะระบบจะถ่วงน้ำหนักให้เราเอง
ผมสงสัย เลยมีคำถามถ้าเพื่อนๆ คนไหนทราบช่วยตอบด้วยครับ เรื่อง ltf
เราซื้อแล้วไม่สามารถขายได้ เพราะมันจะขายยอดแรกออกมาก่อน แล้วถ้าเรา
ซื้อปีละ กองทุน จะได้ไหมครับ เช่น ปีที่ 1 ซื้อกองทุน a ปีที่ 2 ซื้อกองทุน b ปีที่ 3 ซื้อกองทุน c
สมมุติว่าปีที่ 3 ซื้อแล้ว หุ้นมันตก เช่นปีนี้ เราสามารถขายของกองทุน c ได้ไหมครับ
(เพราะคนละกองทุนกัน ไม่น่าจะไปเอายอดปีที่ 1 และ 2 จากกองทุน a b มาขาย)
อันนี้ความเข้าใจของผมนะ ใครทราบช่วยตอบด้วย