ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต by ดร.นิเวศน์

กระทู้สนทนา
ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต
มีนาคม 3, 2013 Filed under บทความ Posted by ดร.นิเวศน์             

ในช่วงประมาณปี 2539 ถึงปี 2540 ซึ่งเป็นปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในประเทศไทยนั้น  ผมเองเป็นหนึ่งในผู้บริหารสถาบันการเงินที่ตกอยู่ในท่ามกลาง “มรสุม”  ที่พัดกระหน่ำสถาบันการเงินและกิจการธุรกิจเกือบจะทุกแห่งของประเทศไม่เว้นแม้แต่บริษัทที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุด  แต่ละวันเราต้องหาทาง  “เอาตัวรอด”  นั่นก็คือ  หาเงินจากทุกแหล่งที่ทำได้เพื่อนำมาคืนผู้ฝากเงินที่กำลังขาดความมั่นใจและทยอยถอนเงินออกเมื่อตั๋วเงินครบกำหนดอายุการฝาก  ทุกวันพนักงานที่ดูแลการฝากเงินจะรายงานว่าวันนั้นมีคนมาถอนออก “สุทธิ” เป็นจำนวนเท่าไร  ตัวเลขสามสี่ร้อยล้านบาทดูเหมือนจะเป็นตัวเลขที่ “ปกติ”  เราเรียกมันว่า Bleeding  หรือเลือดไหลไม่หยุดและในไม่ช้าเราอาจจะต้อง  “ตาย”  เราพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะหยุดมัน  วิธีหนึ่งก็คือ  การรวมกิจการสถาบันการเงินหลาย ๆ  แห่งแล้วก็อาจจะหาทุนมาเพิ่ม  แต่ในยามนั้นไม่มีใครต้องการถือหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงิน  ดูเหมือนว่าธุรกิจกำลังล้มละลายทั้งประเทศ  และแล้วเมื่อมีการประกาศลอยค่าเงินบาทในกลางปี 2540 บริษัทจำนวนมาก  และเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินเกือบทั้งหมดก็ “ล้ม” กันจริง ๆ

            ผมต้องถูกให้ออกจากงาน  ด้วยวัย 44 ปี และวุฒิการศึกษาปริญญาเอกทางด้านการเงิน  โอกาสที่จะหางานใหม่ในธุรกิจการเงินไม่มีเพราะสถาบันต่าง ๆ ถูกปิดหรือลดขนาดลง  มีลูกเล็กที่ยังเรียนอยู่ในโรงเรียนอินเตอร์ที่มีค่าเล่าเรียนแพงลิ่วปีละหลายแสนบาท  และภรรยาทำงานพาร์ทไทม์ในฐานะครูเปียโนผมย่อมต้องกังวลว่าจะ  “ทำอย่างไรกับชีวิต”  หรือถ้าจะพูดกันให้ตรงที่สุดก็คือ  จะจัดการเรื่องการเงินอย่างไรจึงจะสามารถอยู่รอดได้ในภาวะที่ธุรกิจต่างๆ กำลัง “ล่มสลาย” โชคยังดีที่ผมพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง  ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาทบวกลบ  เงินจำนวนนี้ผมคิดดูแล้วไม่เพียงพอที่จะส่งลูกเรียนตลอดจนจบปริญญาตรีในสายที่เป็นการเรียนอินเตอร์ได้ถ้าผมไม่ทำอะไรซักอย่างนอกจากการฝากเงินกินดอกเบี้ย

            การบริหารการเงินส่วนบุคคล  “มาตรฐาน”  ที่บอกว่า   ถ้าอายุมากและโอกาสทำงานหาเงินในอนาคตมีน้อยเราก็ไม่ควรลงทุนในอะไรที่  “เสี่ยง”  เช่น หุ้น  เพราะถ้าเรา “พลาด”  เราจะไม่สามารถหาเงินมาใช้จ่ายได้อีก   แต่ถ้าไม่ลงทุนในหุ้นเพราะ “เสี่ยงเกินไป”  และการฝากเงินก็ไม่ใช่ทางออก   การ  “ทำธุรกิจ” เองก็ยิ่งเสี่ยง  โดยเฉพาะในยามที่ความต้องการของประชาชนลดลงมากมาย  แล้วผมจะต้องทำอย่างไรที่จะสามารถรักษามาตรฐานการดำรงชีวิตแบบเดิมได้?

            ทางออกที่ผมค้นพบก็คือ  Value Investment!  ลงทุนในหุ้นเหมือนกับการทำธุรกิจ   ว่าที่จริงจุดเริ่มต้นจริง ๆ  ควรจะเป็นว่าผม “ทำธุรกิจ”  โดยการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์!  ด้วยเงิน 10 ล้านบาท  ผมสามารถเริ่มทำธุรกิจได้  ไม่ใช่ธุรกิจเดียว  แต่หลาย ๆ  ธุรกิจ    ธุรกิจที่ผมเลือกนั้นจะต้อง “ปลอดภัย”  ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรง  เช่น  อาหารราคาถูก  หรือกิจการส่งออกที่ประเทศไทยกำลังได้เปรียบในเรื่องของค่าเงินบาทที่ลดลงมาก   ผมวิเคราะห์แล้วพบว่ามีบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีผลประกอบการที่ดี  มีฐานะการเงินยอดเยี่ยมแทบจะ  “ปลอดหนี้”  และบริษัทนั้นปลอดภัยดีทีเดียวในแง่ของการดำเนินการ   ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้น  “ถูกเหลือเชื่อ”  ค่า PE มักไม่เกิน 10 เท่า  หลายบริษัทเพียง 6-7 เท่า  เฉพาะปันผลที่ผมจะได้เมื่อเทียบกับราคาหุ้นก็ประมาณปีละ 10%  ซึ่งแปลว่า  ด้วยเงิน 10 ล้านบาท  ผมจะได้รับปันผลถึงปีละ 1 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่ผมจะใช้จ่ายได้โดยไม่กินเงินต้นเลย   อาจจะมีประเด็นว่า  หุ้นเหล่านั้นแทบไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขาย  คือซื้อได้  แต่อย่าหวังที่จะขายได้ราคา  ถ้าจะว่าไป  ตลาดหุ้นโดยรวมก็มีการซื้อขายน้อยมาก  วันละประมาณ 2-3 พันล้านบาทเท่านั้น  แต่ผมก็ไม่แคร์เลย  เพราะผมลงทุนโดยมีสมมุติฐานว่าผม  “ทำธุรกิจ”  ผมพร้อมที่จะถือมันไปตลอดชีวิต

            แน่นอน  ผมไม่ได้เพิ่งเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงปี 2540 หลังวิกฤติเศรษฐกิจ  ผม “เล่นหุ้น”  มานานก่อนหน้านั้นเป็นสิบปี  การเล่นหุ้นของผมนั้นเป็นเรื่องของการ “เสี่ยงโชค”  โดยอาศัยฝีมือในการวิเคราะห์ผลประกอบการระยะสั้น ๆ  ของกิจการประกอบกับภาวะตลาดหุ้น  ผมเล่นหุ้นเพราะต้องการได้กำไรเร็ว ๆ  เงินที่ได้กำไรนั้นผมก็จะเก็บเข้ามาในบัญชีเงินฝากรวมเข้ากับเงินเดือนและรายได้อื่น ๆ  ที่ผมได้รับ  สำหรับผม  มันคล้าย ๆ  กับเงินโบนัสที่จะทำให้ผมมีเงินเก็บเพิ่มเร็วขึ้นและมากขึ้น  แต่มันไม่เคยเป็น  “ชีวิต”  ของผม  ผมไม่ต้องการ  “เสี่ยง”  เงินจำนวนมากในตลาดหุ้น  ผมไม่เคยคิดที่จะ  “รวย” จากหุ้นหรือตลาดหุ้น  ผมคิดว่าถ้าจะรวยก็ต้องมาจากการทำงาน  ว่าที่จริงผมไม่เคยคิดที่จะรวยอย่างจริง ๆ  จัง ๆ ด้วยซ้ำเพราะผมรู้สึกว่าเวลาของการที่จะร่ำรวยของผมมันผ่านไปแล้วหลังจากที่ผมไปเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา  การจบปริญญาเอกนั้นผมคิดว่ามันเป็นปัจจัยที่ลดโอกาสของการที่จะเป็นคนรวยไปมากเนื่องจากข้อแรก  มันเสียเวลากับการเรียนมาก  และข้อสอง  มันทำให้เราไม่กล้าเสี่ยง

            ผมเป็น  Value Investor โดยความจำเป็น   การเปลี่ยนแปลงจากคนเล่นหุ้นเป็น VI ในช่วงปี 2539-40 นั้นเพื่อความอยู่รอด  ไม่ได้หวังรวยเร็วและก็ไม่คิดว่าจะรวย  แม้ว่าต่อมาเมื่อเริ่มเห็นผลว่าสามารถทำผลตอบแทนได้ดีโดยมีความเสี่ยงต่ำผมจะเริ่มตั้ง  “ความฝัน” ว่าจะรวย  แต่ทั้งหมดนั้นก็อิงอยู่กับผลตอบแทนประมาณ 10%  ต่อปีเท่านั้น  ความรวยที่ผมหวังนั้น  มาจากระยะเวลาของการลงทุนที่ยาวมาก  คือผมคิดที่จะลงทุนไปจนตายที่ประมาณ 80 ปี  ซึ่งโดยวิธีแบบนี้  ทุกคนสามารถรวยได้ถ้ามีความตั้งใจพอและรักษาหลักการลงทุนแบบปลอดภัยสไตล์ VI อย่างมั่นคง  

            “ก้าวเล็ก ๆ”  ที่ผมเริ่มเดินเข้าไปในตลาดหุ้นโดยเปลี่ยนวิธีการลงทุนเป็นแบบ VI ในปี 2540 นั้น  ได้ส่งผลที่ยิ่งใหญ่กับชีวิตของผม  ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนนั้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ  ผมคิดว่าโชคคงมีส่วนอยู่ไม่น้อย  ผมบรรลุเป้าหมายความมั่งคั่งในชีวิตที่เคยตั้งไว้ก่อนเวลา 20 ปี   ที่จริงมากกว่าที่ตั้งไว้หลายเท่า  นอกจากเงินแล้ว  แนวความคิดเรื่อง Value Investment ที่ผมเผยแพร่มาตลอดกว่า 15 ปีได้กลายเป็นแนวความคิดหลักอย่างหนึ่งในตลาดหุ้นไทย  คนที่ใช้แนวทางนี้ในการลงทุนต่างก็ทำกำไรได้มากมาย  หลาย ๆ  คนนั้นรวยเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุไม่ถึง 40 ปีจากการลงทุนแบบ VI และนั่นทำให้คนจำนวนมากต่างก็มุ่งหน้าสู่ตลาดหุ้น

            ประเด็นก็คือ  คนที่เพิ่งเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงนี้ต่างก็มักจะก้าวเข้ามาด้วย  “ก้าวที่ยิ่งใหญ่”  เพียงไม่กี่เดือนหรืออาจจะเพียงปีหรือสองปีเขาก็คิดไปถึงวันที่ตนเองจะรวยเป็นเศรษฐีที่คนทำงานหรือผู้ประกอบการอาจจะต้องใช้เวลาเป็นหลายสิบปี  พวกเขาคงคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ  นี้และผลตอบแทนที่เขาทำได้ในช่วงสั้น ๆ  ที่ผ่านมาจะดำเนินต่อไปอีกนานเท่านานซึ่งทำให้เขารวยได้แม้ว่าจะเริ่มด้วยเงินลงทุนที่ไม่มาก  แต่นี่จะเป็นจริงหรือ?  ส่วนตัวผมเองคิดว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา  อาจจะซักประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลา “พิเศษ”  สำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ไทยที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่นักลงทุนทั้งโลก  “อิจฉา”  แต่สิ่งนี้คงไม่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ  และต่อเนื่องยาวนาน  ผมเชื่อว่าช่วงเวลาพิเศษนี้น่าจะใกล้จบลงและตลาดหุ้นไทยและ VI จะกลับมาสู่ภาวะปกติ  ดังนั้น  ผมคิดว่าคนที่กำลังเข้ามาในตลาดหุ้นควรที่จะรักษา  “ก้าว”  ที่จะเข้ามาในตลาดให้เป็น “ก้าวเล็ก ๆ”  คืออย่าหวังผลเลิศเกินไป  และถ้าทำได้แบบนี้  มันก็จะกลายเป็น “ก้าวที่ยิ่งใหญ่” ในชีวิตในอนาคต

https://www.facebook.com/?sk=welcome#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่