ปัจจุบันคนปั่นจักรยานในเมืองมากขึ้น จึงขอนำบทความเก่า(ดูทันสมัยอยู่)จากเว็บ thaimtb โดยคุณ เสือ Spectrum
มาเผยแพร่ให้นักปั่นโดยเฉพาะมือใหม่ ใช้เป็นแนวทางการใช้จักรยานใน กทม. ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
By : เสือ Spectrum [ 13 ม.ค. 50 - 15:26:04 น. ]
ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบใช้จักรยานในการเดินทางเมื่อไม่ต้องเร่งรีบและไม่มีเวลาเป็นตัวกำหนดในการเดินทาง มีหลายครั้งที่หลีกเลี่ยงและเลือกไม่ได้ที่จะต้องปั่นจักรยานบนถนนใน กทม. ซึ่งมือใหม่หลายท่านมองว่าเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ ท้าความตาย และน่าอันตราย แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้านฉันใด ในวิกฤติก็มีโอกาสสำหรับผู้มองเห็นโอกาสเช่นกัน
การปั่นจักรยานร่วมกับพาหนะอื่นๆ มีความเป็นไปได้และมีความปลอดภัยระดับหนึ่ง หากเราปั่นฯ อย่างมีสติและไม่ประมาท
ผมมานึกว่าในกระดาน ThaiMTB แห่งนี้คงมีหลายท่านที่อยากรู้ว่าเทคนิคการปั่นจักรยานบนถนนใน กทม. นั้นทำกันอย่างไร ขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมเองก็ไม่ใช่ผู้ชำนาญการแต่ก็อยากร่วมแบ่งปันประสพการณ์ที่เรารู้และทราบมาจากประสพการณ์จริง เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ท่านอื่นๆ บ้างเท่านั้นเองครับ
ถนนที่ควรหลีกเลี่ยง
- ถนนสายหลักบางเส้นทางถึงแม้จะเป็นถนนที่กว้างขวางชนิด 4 เลน หรือ 8 เลน แต่ไม่มีไหล่ทางและการจราจรไม่ติดขัด รถยนต์ส่วนใหญ่จะใช้ความเร็วค่อนข้างสูงดังนั้นหากมีพาหนะที่ค่อนข้างช้าอยู่บนเส้นทางจึงเสี่ยงหรือมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ แต่หากถนนเส้นทางนั้นมีฟุตบาทที่กว้างขวางและคนเดินถนนน้อยก็สามารถหลีกเลี่ยงนำจักรยานไปปั่นฯ บนฟุตบาทได้ แม้ว่าจะไปด้วยความเร็วที่ค่อนข้างช้ากว่าการปั่นฯ บนผิวถนนแต่ก็มีความปลอดภัยมากกว่า
การปั่นฯ บนฟุตบาทควรให้เกียรติและให้สิทธิผู้เดินถนนมาก่อนเพื่อความปลอดภัยและเป็นมารยาทที่ดี ไม่ควรใช้กระดิ่งจักรยานอย่างพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น สิ่งที่ควรจะต้องระวังบนผิวฟุตบาทนอกจากผิวทางที่ไม่สม่ำเสมอในบางเส้นทางแล้วก็ควรจะระวังรถจักรยานยนต์ที่มาร่วมใช้เส้นทางด้วยโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่ขับสวนทางมาด้วยความเร็ว
- ถนนซอยที่เป็นเส้นทางลัดของรถยนต์ย่อมมีรถใช้เส้นทางมากกว่าถนนซอยทั่วไปและมักจะเป็นทางแคบดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงในการนำจักรยานเข้าไปปั่นฯ ยกเว้นพิจารณาแล้วว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่ใช่เวลาเร่งด่วนตอนเช้าและเย็นหรือเป็นทางช่วงสั้นที่สามารถปั่นฯ ผ่านไปได้โดยใช้เวลาอยู่บนผิวทางไม่นานนัก
- ช่วงใกล้แยกจุดตัดถนนที่เป็น 3 แยก 4 แยกและมีสัญญาณไฟจราจรแม้ว่าจะดูน่าปลอดภัย แต่มักจะเป็นจุดที่รถยนต์เร่งใช้ความเร็วเมื่อได้สัญญาณไฟเขียว ดังนั้นเมื่อเห็นว่าไม่ปลอดภัยที่จะปั่นฯ อยู่บนผิวถนนร่วมกับรถยนต์ควรหลีกเลี่ยงอันตรายด้วยการขึ้นไปใช้ผิวฟุตบาทในการเดินทางแทนแม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ ก็ตาม ในกรณีที่ผิวฟุตบาทมีลักษณะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการปั่นจักรยานเช่นมีแผงขายสินค้า มีคนเดินถนนมาก เราอาจจะเลือกเข็นจักรยานเป็นระยะทางสั้นๆ บนฟุตบาทแทนการปั่นฯ ได้เช่นกัน
- การข้ามถนนที่กว้างและรถยนต์ใช้ความเร็วสูงอย่างเช่นถนนวิภาวดีรังสิต ถนนรามอินทรา ฯลฯ อาจจะเลือกใช้วิธีข้ามถนนด้วยการนำจักรยานข้ามสะพานลอยคนเดินถนนจะมีความปลอดภัยสูงกว่าการข้ามบนผิวถนนหรือปั่นฯ ตามการจราจรผ่านแยกไฟจราจร/กลับรถในจุดกลับรถของรถยนต์เพราะเราอาจจะถูกรถยนต์เบียด แซง หรือชนหากปั่นฯ ช้าจนค้างอยู่บนผิวจราจรเมื่อกระแสรถยนต์ทิศทางอื่นได้สัญญาณไฟเขียวหรือมีจังหวะแซงจนเราอาจจะเกิดอันตรายได้
- เกาะกลางถนนช่วงจุดกลับรถเป็นอันตรายอย่างยิ่งกับจักรยานเนื่องจากการข้ามถนนในจุดดังกล่าวนอกจากจะต้องใช้ความเร็วที่เหมาะสมแล้ว เรายังต้องใช้ความระมัดระวังรถมากกว่า 2 ทิศทาง (รถยนต์ทิศทางขาขึ้น/รถยนต์ทิศทางขาล่องและรถยนต์ที่ต้องการจะกลับรถทั้ง 2 ทิศทาง) หากจำเป็นต้องใช้จุดกลับรถในการข้ามถนนพยายามอย่าเลือกตำแหน่งที่คาดว่าจะมีรถยนต์มาใช้ผิวทางเช่นหัวเกาะทั้ง 2 จุด บางครั้งการเลือกข้ามตรงจุดกึ่งกลางระหว่างหัวเกาะที่มีพื้นที่กว้างขวางอาจจะปลอดภัยกว่าหรืออีกวิธีหนึ่งที่ดีกว่าก็คือการเข็นรถจักรยานข้ามเกาะกลางทีละครึ่งช่วงถนนเช่นเดียวกับการเดินข้ามถนนแทนที่จะมาข้ามตรงจุดกลับรถ
พักสายตานิด
รูปจาก http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=75555
ถนนที่ปั่นจักรยานได้
- จริงๆ แล้วถนนสายหลักทั่วพื้นที่ กทม. มักเป็นอันตรายสำหรับการปั่นจักรยานเนื่องจากมี รถเมล์/ รถตู้โดยสาร/ รถร่วม ขสมก./ สามล้อเครื่อง/ แท๊กซี่ และมอเตอร์ไซด์ ซึ่งเป็นพาหนะอันตรายสำหรับจักรยาน แต่ถนนสายหลักหลายเส้นทางก็มีการจราจรติดขัดอยู่ตลอดแทบทั้งวัน ซึ่งถนนลักษณะนี้รถยนต์และรถที่มีขนาดใหญ่เกือบทั้งหมดมักเคลื่อนที่ไปได้อย่างช้าๆ จึงไม่ค่อยมีโอกาสที่จะก่อให้เกิดอันตรายกับจักรยานได้มากนักและบริเวณใกล้ฟุตบาทหรือช่องทางด้านซ้ายก็มักมีพื้นที่พอเพียงสำหรับการปั่นจักรยานสำหรับผู้ที่มีประสพการณ์ในการปั่นจักรยานบนถนนมาบ้างแล้ว สิ่งที่ควรระวังก็มีเพียงจักรยานยนต์ที่มักแทรกออกมาในจุดที่ไม่คาดคิดบ้างเล็กน้อย รวมไปถึงจักรยานยนต์ที่ตามหลังมาในเส้นทางที่อาจจะเบียดหรือแซงจนเราเสียหลักได้
- ซอยย่อย ใน กทม. หลายเส้นทางมีลักษณะที่เอื้ออำนวยต่อการปั่นจักรยานเนื่องจากไม่มี รถตู้ รถเมล์ รถร่วม ขสมก. อยู่ในเส้นทาง รถที่ควรจะต้องระวังก็มีเพียงสี่ล้อเล็ก รถแท๊กซี่และมอเตอร์ไซด์เท่านั้นเอง ซอยย่อยบางแห่งถึงจะเป็นซอยย่อยแต่ก็มีผิวทางที่กว้างขวางถึง 4 หรือ 6 ช่องจราจรโดยผิวจราจรด้านในสุดอาจจะเป็นที่จอดรถซึ่งทำให้รถยนต์ที่แล่นบนถนนใช้ความเร็วสูงมากไม่ถนัด แต่ก็ควรจะต้องใช้ความระมัดระวังเมื่อปั่นฯ ผ่านรถแท๊กซี่ที่จอดส่งผู้โดยสารหรือรถยนต์ที่จอดอยู่โดยมีผู้โดยสารอยู่ในตัวรถเนื่องจากประตูรถอาจจะถูกเปิดออกมาขวางหน้าเรากระทันหันจนอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้
- ถนนซอยบางเส้นทางอาจจะเป็นทางตันสำหรับรถยนต์ แต่หากพิจารณาหรือสอบถามเส้นทางจากชาวบ้านในท้องถิ่นอาจจะพบว่ามีทางลัดท้ายซอยสำหรับ คนเดินเท้า จักรยานและจักรยานยนต์ ซึ่งทางลักษณะนี้มักแทบไม่มีรถยนต์เข้ามาใช้เส้นทางจึงมักใช้เป็นเส้นทางจักรยานได้ปลอดภัยกว่าเส้นทางอื่น
- หมู่บ้านขนาดใหญ่หลายแห่งใน กทม. นอกจากถนนเส้นหลักที่มีรถยนต์หนาแน่นแล้วเส้นทางในหมู่บ้านมักมีซอยย่อยที่ขนานไปกับเส้นทางหลักอีกต่างหาก การเลือกปั่นจักรยานในเส้นทางย่อยแทนถนนหลักจะช่วยให้ปั่นจักรยานได้ด้วยความปลอดภัย สะดวก และปลอดจากอันตรายมากกว่าการปั่นฯ บนเส้นทางหลัก
- เส้นทางใน กทม. นั้นก็มีลักษณะเช่นเดียวกับทางหลวงทั่วประเทศไทยที่นอกจากจะมีเส้นทางหลักที่การจราจรหนาแน่นแล้ว ในทิศทางการเดินทางเดียวกันอาจจะมีซอยย่อยที่อาจจะคดเคี้ยวหรืออ้อมเล็กน้อยแต่ก็มุ่งหน้าไปทิศทางเดียวกับเส้นทางหลักซึ่งซอยลักษณะนี้มักมีรถยนต์ใช้เส้นทางน้อยกว่าถนนใหญ่ทำให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้เป็นเส้นทางปั่นจักรยาน
เทคนิคและข้อควรระวังขณะปั่นจักรยานบนผิวถนน
สิ่งที่ควรสังเกตุและใช้ความระมัดระวังขณะปั่นจักรยานก็คือ
1. คนยืนริมถนนที่น่าจะรอข้ามถนน/รอเรียกรถยนต์สาธารณะ เพราะเราอาจจะถูกรถสี่ล้อเล็กและแท๊กซี่ตัดหน้า+เบรคกระทันหัน (เพื่อรับผู้โดยสาร) ในระยะกระชั้นชิด หรือคนข้ามถนนเดินตัดหน้าและขวางทางดังนั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ วิธีที่ปลอดภัยไว้ก่อนก็คือชลอความเร็ว หยุดการปั่นฯ เบรคหรือเตรียมเบรคไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
2. บริเวณใกล้ป้ายรถเมล์แม้จะไม่มีผู้โดยสารยืนรอ แต่ก็มีความเสี่ยงที่รถเมล์จะขับตัดหน้าจักรยานเพื่อจอดส่งผู้โดยสาร
3. รถยนต์ที่จอดอยู่ในช่องทางริมถนนแต่มีผู้ขับขี่อยู่ในที่นั่งคนขับ มักจะมีแนวโน้มที่จะออกรถอย่างทันทีทันใด ในช่วงเวลาใดก็ได้ ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นระหว่างที่ปั่นจักรยานอยู่ด้านข้างรถยนต์พอดีจะค่อนข้างอันตราย ควรใช้ความระมัดระวังและให้สัญญาณระหว่างผ่านผู้ขับขี่เพื่อที่ผู้ขับรถยนต์จะได้สังเกตุและระมัดระวังผู้ปั่นจักรยาน
4. ทางโค้งหลายแห่งใน กทม. ในปัจจุบันมักมีการทาแถบสีนูนเพื่อเตือนรถยนต์ให้ลดความเร็วการปั่นฯ ผ่านไปบนแถบสีเป็นช่วงๆ นอกจากจะกินแรงในการปั่นฯ มากกว่าปรกติแล้วยังทำให้รู้สึกสะเทือนมากกว่าการปั่นฯ บนผิวถนนเรียบๆ หากใช้ความสังเกตุให้ดีแถบสีเหล่านี้มักมีช่องว่างด้านข้างช่องจราจรประมาณ 1 ฟุตทั้ง 2 ด้านซึ่งกว้างพอเพียงที่จะปั่นฯ ผ่านไปได้โดยไม่ต้องพบกับความสะเทือนบนผิวถนน
5. ถนนบางแห่งที่มีรถยนต์จอดอยู่มักมีสุนัขมาหลบแดดนอนใต้ท้องรถ การปั่นฯ ผ่านในระยะใกล้มากอาจจะเป็นการส่งเสียงรบกวนให้สุนัขตื่นขึ้นมาวิ่งไล่กวดได้ ดังนั้นหากพบว่ามีสุนัขนอนอยู่ใต้ท้องรถควรใช้ความระมัดระวังหรือหลีกปั่นฯ ผ่านในระยะห่างพอสมควรและหากเป็นช่องทางแคบควรมองล่วงหน้าไปถึงรถที่จะสวนมาหรือรถด้านหลังในระยะใกล้ด้วย
6. เสียงเครื่องยนต์ในระยะใกล้ทางด้านหลังอาจจะเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ามีรถยนต์กำลังหาที่จอดรถริมถนนบริเวณที่เราปั่นฯ อยู่หรือชลอรถเพื่อเลี้ยว (ตัดหน้า) เข้าซอยข้างหน้า
ระวังหลุมหรือฝาท่อระบายน้ำ ตกกระแทกอาจทำให้ยางแตกหรือเสียหลักล้ม แต่ในรูปถ้าใช้เสือภูเขาล้อโตๆ ปั่นตรงๆทับไปได้เลย
เทคนิคการปั่นฯ ทั่วไป
- ถนนซอยบางแห่งผิวทางขรุขระ ไม่ราบเรียบ เป็นช่วงสั้นๆ เป็นระยะๆ หากผู้ปั่นฯ มีทักษะพอเพียงสามารถเลี่ยงปั่นบนแนวเส้นทางร่องระบายน้ำซึ่งมักจะมีผิวราบเรียบ(เสมอ)และมากกว่าผิวถนนได้
- ลูกระนาดและผิวทางขรุขระช่วงสั้นๆ เป็นจุดที่ควรถนอมกำลังในการปั่นฯ ด้วยการปล่อยให้รถเคลื่อนที่ไปด้วยแรงเฉี่อยของตัวเองมากกว่าการปั่นฯ เนื่องจากผิวทางลักษณะเช่นนี้มักกินกำลังในการปั่นฯ มากกว่าการปั่นฯ บนผิวทางทั่วไป
- สำหรับผู้ที่มีประสพการณ์ในการปั่นฯ รถซาเล้ง/ รถขายสินค้า และรถเมล์ 2 แถวขนาดเล็ก มักจะเป็นรถที่ใช้ความเร็วสม่ำเสมอและแล่นอย่างช้าๆ จนสามารถปั่นฯ ดูดตามรถเพื่อผ่อนแรงและเพิ่มความเร็วในการปั่นฯ ได้ แต่ก็ควรมองเผื่อไปในเส้นทางข้างหน้าว่ามีสิ่งกีดขวางเช่นรถที่จอดกระทันหันหรือผู้โดยสารรออยู่ข้างทางหรือไม่เพื่อที่เราจะได้หยุดตามรถเหล่านั้นได้ทันท่วงที
- ไม่ควรปั่นฯ แซงรถเมล์หรือรถแท๊กซี่ที่จอดรอรับผู้โดยสารหรือส่งผู้โดยสารโดยไม่จำเป็นเพราะเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายเมื่อรถเหล่านั้นเคลื่อนที่ออกจากที่จอดโดยมองไม่เห็นจักรยานที่อยู่ด้านข้าง
- เมื่อมีรถยนต์จอดขวางอยู่ด้านหน้าและปั่นฯ แซงผ่านไปไม่ได้ ควรจอดรอและลดเกียร์เป็นเกียร์ต่ำเพื่อเตรียมตัวออกรถตามรถยนต์คันนั้นออกไป และหากเราใช้ความเร็วที่เหมาะสมเราอาจจะเลือกใช้วิธีผ่อนแรงในการปั่นฯ ด้วยการใช้เทคนิคดูดรถยนต์นั้นไปในระยะทางสั้นๆ ได้อีกต่างหาก
- พื้นที่บางจุดมักมีสุนัขจรจัดนอนขวางเส้นทางการปั่นฯ หลายตัวหรือมากกว่า 10 ตัว การปั่นฯ ผ่านไปบางครั้งอาจจะเกิดอันตรายจากสุนัขตื่นขึ้นมารุมวิ่งไล่กวดทั้งฝูง หากพิจารณาแล้วว่าไม่มีสุนัขตัวใหญ่ที่จะก่อให้เกิดอันตรายได้ การลงจากจักรยานแล้วเข็นรถผ่านไปอย่างช้าๆ อาจจะปลอดภัยมากกว่าหรือหากเผื่อความปลอดภัยอาจจะเก็บกิ่งไม้ข้างทางหรือก้อนหินเอาไว้ในมือเผื่อจะต้องไล่สุนัขด้วยก็ได้ หรือหากไม่แน่ใจก็ควรรอเพื่อนร่วมทางคนอื่นที่เป็นคนเดินถนนหรือคนที่ปั่นฯ จักรยานเช่นเดียวกับเรา เมื่อผ่านมาก็ขออาศัยเป็นเพื่อนร่วมเส้นทางไปเพื่อความอุ่นใจด้วยก็ได้
สุนัขโดยทั่วไปมักหวงเขตที่อยู่ของตัวเองซึ่งมีระยะทางไม่กี่ร้อยเมตรดังนั้นหากเราพ้นระยะนั้นออกมาได้ก็นับว่าปลอดภัยจากการรบกวนของสุนัขแล้วเช่นกัน
เทคนิคการขี่จักรยานใน กทม. เพื่อความปลอดภัย
มาเผยแพร่ให้นักปั่นโดยเฉพาะมือใหม่ ใช้เป็นแนวทางการใช้จักรยานใน กทม. ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
By : เสือ Spectrum [ 13 ม.ค. 50 - 15:26:04 น. ]
ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบใช้จักรยานในการเดินทางเมื่อไม่ต้องเร่งรีบและไม่มีเวลาเป็นตัวกำหนดในการเดินทาง มีหลายครั้งที่หลีกเลี่ยงและเลือกไม่ได้ที่จะต้องปั่นจักรยานบนถนนใน กทม. ซึ่งมือใหม่หลายท่านมองว่าเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ ท้าความตาย และน่าอันตราย แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้านฉันใด ในวิกฤติก็มีโอกาสสำหรับผู้มองเห็นโอกาสเช่นกัน
การปั่นจักรยานร่วมกับพาหนะอื่นๆ มีความเป็นไปได้และมีความปลอดภัยระดับหนึ่ง หากเราปั่นฯ อย่างมีสติและไม่ประมาท
ผมมานึกว่าในกระดาน ThaiMTB แห่งนี้คงมีหลายท่านที่อยากรู้ว่าเทคนิคการปั่นจักรยานบนถนนใน กทม. นั้นทำกันอย่างไร ขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมเองก็ไม่ใช่ผู้ชำนาญการแต่ก็อยากร่วมแบ่งปันประสพการณ์ที่เรารู้และทราบมาจากประสพการณ์จริง เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ท่านอื่นๆ บ้างเท่านั้นเองครับ
ถนนที่ควรหลีกเลี่ยง
- ถนนสายหลักบางเส้นทางถึงแม้จะเป็นถนนที่กว้างขวางชนิด 4 เลน หรือ 8 เลน แต่ไม่มีไหล่ทางและการจราจรไม่ติดขัด รถยนต์ส่วนใหญ่จะใช้ความเร็วค่อนข้างสูงดังนั้นหากมีพาหนะที่ค่อนข้างช้าอยู่บนเส้นทางจึงเสี่ยงหรือมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ แต่หากถนนเส้นทางนั้นมีฟุตบาทที่กว้างขวางและคนเดินถนนน้อยก็สามารถหลีกเลี่ยงนำจักรยานไปปั่นฯ บนฟุตบาทได้ แม้ว่าจะไปด้วยความเร็วที่ค่อนข้างช้ากว่าการปั่นฯ บนผิวถนนแต่ก็มีความปลอดภัยมากกว่า
การปั่นฯ บนฟุตบาทควรให้เกียรติและให้สิทธิผู้เดินถนนมาก่อนเพื่อความปลอดภัยและเป็นมารยาทที่ดี ไม่ควรใช้กระดิ่งจักรยานอย่างพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น สิ่งที่ควรจะต้องระวังบนผิวฟุตบาทนอกจากผิวทางที่ไม่สม่ำเสมอในบางเส้นทางแล้วก็ควรจะระวังรถจักรยานยนต์ที่มาร่วมใช้เส้นทางด้วยโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่ขับสวนทางมาด้วยความเร็ว
- ถนนซอยที่เป็นเส้นทางลัดของรถยนต์ย่อมมีรถใช้เส้นทางมากกว่าถนนซอยทั่วไปและมักจะเป็นทางแคบดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงในการนำจักรยานเข้าไปปั่นฯ ยกเว้นพิจารณาแล้วว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่ใช่เวลาเร่งด่วนตอนเช้าและเย็นหรือเป็นทางช่วงสั้นที่สามารถปั่นฯ ผ่านไปได้โดยใช้เวลาอยู่บนผิวทางไม่นานนัก
- ช่วงใกล้แยกจุดตัดถนนที่เป็น 3 แยก 4 แยกและมีสัญญาณไฟจราจรแม้ว่าจะดูน่าปลอดภัย แต่มักจะเป็นจุดที่รถยนต์เร่งใช้ความเร็วเมื่อได้สัญญาณไฟเขียว ดังนั้นเมื่อเห็นว่าไม่ปลอดภัยที่จะปั่นฯ อยู่บนผิวถนนร่วมกับรถยนต์ควรหลีกเลี่ยงอันตรายด้วยการขึ้นไปใช้ผิวฟุตบาทในการเดินทางแทนแม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ ก็ตาม ในกรณีที่ผิวฟุตบาทมีลักษณะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการปั่นจักรยานเช่นมีแผงขายสินค้า มีคนเดินถนนมาก เราอาจจะเลือกเข็นจักรยานเป็นระยะทางสั้นๆ บนฟุตบาทแทนการปั่นฯ ได้เช่นกัน
- การข้ามถนนที่กว้างและรถยนต์ใช้ความเร็วสูงอย่างเช่นถนนวิภาวดีรังสิต ถนนรามอินทรา ฯลฯ อาจจะเลือกใช้วิธีข้ามถนนด้วยการนำจักรยานข้ามสะพานลอยคนเดินถนนจะมีความปลอดภัยสูงกว่าการข้ามบนผิวถนนหรือปั่นฯ ตามการจราจรผ่านแยกไฟจราจร/กลับรถในจุดกลับรถของรถยนต์เพราะเราอาจจะถูกรถยนต์เบียด แซง หรือชนหากปั่นฯ ช้าจนค้างอยู่บนผิวจราจรเมื่อกระแสรถยนต์ทิศทางอื่นได้สัญญาณไฟเขียวหรือมีจังหวะแซงจนเราอาจจะเกิดอันตรายได้
- เกาะกลางถนนช่วงจุดกลับรถเป็นอันตรายอย่างยิ่งกับจักรยานเนื่องจากการข้ามถนนในจุดดังกล่าวนอกจากจะต้องใช้ความเร็วที่เหมาะสมแล้ว เรายังต้องใช้ความระมัดระวังรถมากกว่า 2 ทิศทาง (รถยนต์ทิศทางขาขึ้น/รถยนต์ทิศทางขาล่องและรถยนต์ที่ต้องการจะกลับรถทั้ง 2 ทิศทาง) หากจำเป็นต้องใช้จุดกลับรถในการข้ามถนนพยายามอย่าเลือกตำแหน่งที่คาดว่าจะมีรถยนต์มาใช้ผิวทางเช่นหัวเกาะทั้ง 2 จุด บางครั้งการเลือกข้ามตรงจุดกึ่งกลางระหว่างหัวเกาะที่มีพื้นที่กว้างขวางอาจจะปลอดภัยกว่าหรืออีกวิธีหนึ่งที่ดีกว่าก็คือการเข็นรถจักรยานข้ามเกาะกลางทีละครึ่งช่วงถนนเช่นเดียวกับการเดินข้ามถนนแทนที่จะมาข้ามตรงจุดกลับรถ
พักสายตานิด
รูปจาก http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=75555
ถนนที่ปั่นจักรยานได้
- จริงๆ แล้วถนนสายหลักทั่วพื้นที่ กทม. มักเป็นอันตรายสำหรับการปั่นจักรยานเนื่องจากมี รถเมล์/ รถตู้โดยสาร/ รถร่วม ขสมก./ สามล้อเครื่อง/ แท๊กซี่ และมอเตอร์ไซด์ ซึ่งเป็นพาหนะอันตรายสำหรับจักรยาน แต่ถนนสายหลักหลายเส้นทางก็มีการจราจรติดขัดอยู่ตลอดแทบทั้งวัน ซึ่งถนนลักษณะนี้รถยนต์และรถที่มีขนาดใหญ่เกือบทั้งหมดมักเคลื่อนที่ไปได้อย่างช้าๆ จึงไม่ค่อยมีโอกาสที่จะก่อให้เกิดอันตรายกับจักรยานได้มากนักและบริเวณใกล้ฟุตบาทหรือช่องทางด้านซ้ายก็มักมีพื้นที่พอเพียงสำหรับการปั่นจักรยานสำหรับผู้ที่มีประสพการณ์ในการปั่นจักรยานบนถนนมาบ้างแล้ว สิ่งที่ควรระวังก็มีเพียงจักรยานยนต์ที่มักแทรกออกมาในจุดที่ไม่คาดคิดบ้างเล็กน้อย รวมไปถึงจักรยานยนต์ที่ตามหลังมาในเส้นทางที่อาจจะเบียดหรือแซงจนเราเสียหลักได้
- ซอยย่อย ใน กทม. หลายเส้นทางมีลักษณะที่เอื้ออำนวยต่อการปั่นจักรยานเนื่องจากไม่มี รถตู้ รถเมล์ รถร่วม ขสมก. อยู่ในเส้นทาง รถที่ควรจะต้องระวังก็มีเพียงสี่ล้อเล็ก รถแท๊กซี่และมอเตอร์ไซด์เท่านั้นเอง ซอยย่อยบางแห่งถึงจะเป็นซอยย่อยแต่ก็มีผิวทางที่กว้างขวางถึง 4 หรือ 6 ช่องจราจรโดยผิวจราจรด้านในสุดอาจจะเป็นที่จอดรถซึ่งทำให้รถยนต์ที่แล่นบนถนนใช้ความเร็วสูงมากไม่ถนัด แต่ก็ควรจะต้องใช้ความระมัดระวังเมื่อปั่นฯ ผ่านรถแท๊กซี่ที่จอดส่งผู้โดยสารหรือรถยนต์ที่จอดอยู่โดยมีผู้โดยสารอยู่ในตัวรถเนื่องจากประตูรถอาจจะถูกเปิดออกมาขวางหน้าเรากระทันหันจนอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้
- ถนนซอยบางเส้นทางอาจจะเป็นทางตันสำหรับรถยนต์ แต่หากพิจารณาหรือสอบถามเส้นทางจากชาวบ้านในท้องถิ่นอาจจะพบว่ามีทางลัดท้ายซอยสำหรับ คนเดินเท้า จักรยานและจักรยานยนต์ ซึ่งทางลักษณะนี้มักแทบไม่มีรถยนต์เข้ามาใช้เส้นทางจึงมักใช้เป็นเส้นทางจักรยานได้ปลอดภัยกว่าเส้นทางอื่น
- หมู่บ้านขนาดใหญ่หลายแห่งใน กทม. นอกจากถนนเส้นหลักที่มีรถยนต์หนาแน่นแล้วเส้นทางในหมู่บ้านมักมีซอยย่อยที่ขนานไปกับเส้นทางหลักอีกต่างหาก การเลือกปั่นจักรยานในเส้นทางย่อยแทนถนนหลักจะช่วยให้ปั่นจักรยานได้ด้วยความปลอดภัย สะดวก และปลอดจากอันตรายมากกว่าการปั่นฯ บนเส้นทางหลัก
- เส้นทางใน กทม. นั้นก็มีลักษณะเช่นเดียวกับทางหลวงทั่วประเทศไทยที่นอกจากจะมีเส้นทางหลักที่การจราจรหนาแน่นแล้ว ในทิศทางการเดินทางเดียวกันอาจจะมีซอยย่อยที่อาจจะคดเคี้ยวหรืออ้อมเล็กน้อยแต่ก็มุ่งหน้าไปทิศทางเดียวกับเส้นทางหลักซึ่งซอยลักษณะนี้มักมีรถยนต์ใช้เส้นทางน้อยกว่าถนนใหญ่ทำให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้เป็นเส้นทางปั่นจักรยาน
เทคนิคและข้อควรระวังขณะปั่นจักรยานบนผิวถนน
สิ่งที่ควรสังเกตุและใช้ความระมัดระวังขณะปั่นจักรยานก็คือ
1. คนยืนริมถนนที่น่าจะรอข้ามถนน/รอเรียกรถยนต์สาธารณะ เพราะเราอาจจะถูกรถสี่ล้อเล็กและแท๊กซี่ตัดหน้า+เบรคกระทันหัน (เพื่อรับผู้โดยสาร) ในระยะกระชั้นชิด หรือคนข้ามถนนเดินตัดหน้าและขวางทางดังนั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ วิธีที่ปลอดภัยไว้ก่อนก็คือชลอความเร็ว หยุดการปั่นฯ เบรคหรือเตรียมเบรคไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
2. บริเวณใกล้ป้ายรถเมล์แม้จะไม่มีผู้โดยสารยืนรอ แต่ก็มีความเสี่ยงที่รถเมล์จะขับตัดหน้าจักรยานเพื่อจอดส่งผู้โดยสาร
3. รถยนต์ที่จอดอยู่ในช่องทางริมถนนแต่มีผู้ขับขี่อยู่ในที่นั่งคนขับ มักจะมีแนวโน้มที่จะออกรถอย่างทันทีทันใด ในช่วงเวลาใดก็ได้ ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นระหว่างที่ปั่นจักรยานอยู่ด้านข้างรถยนต์พอดีจะค่อนข้างอันตราย ควรใช้ความระมัดระวังและให้สัญญาณระหว่างผ่านผู้ขับขี่เพื่อที่ผู้ขับรถยนต์จะได้สังเกตุและระมัดระวังผู้ปั่นจักรยาน
4. ทางโค้งหลายแห่งใน กทม. ในปัจจุบันมักมีการทาแถบสีนูนเพื่อเตือนรถยนต์ให้ลดความเร็วการปั่นฯ ผ่านไปบนแถบสีเป็นช่วงๆ นอกจากจะกินแรงในการปั่นฯ มากกว่าปรกติแล้วยังทำให้รู้สึกสะเทือนมากกว่าการปั่นฯ บนผิวถนนเรียบๆ หากใช้ความสังเกตุให้ดีแถบสีเหล่านี้มักมีช่องว่างด้านข้างช่องจราจรประมาณ 1 ฟุตทั้ง 2 ด้านซึ่งกว้างพอเพียงที่จะปั่นฯ ผ่านไปได้โดยไม่ต้องพบกับความสะเทือนบนผิวถนน
5. ถนนบางแห่งที่มีรถยนต์จอดอยู่มักมีสุนัขมาหลบแดดนอนใต้ท้องรถ การปั่นฯ ผ่านในระยะใกล้มากอาจจะเป็นการส่งเสียงรบกวนให้สุนัขตื่นขึ้นมาวิ่งไล่กวดได้ ดังนั้นหากพบว่ามีสุนัขนอนอยู่ใต้ท้องรถควรใช้ความระมัดระวังหรือหลีกปั่นฯ ผ่านในระยะห่างพอสมควรและหากเป็นช่องทางแคบควรมองล่วงหน้าไปถึงรถที่จะสวนมาหรือรถด้านหลังในระยะใกล้ด้วย
6. เสียงเครื่องยนต์ในระยะใกล้ทางด้านหลังอาจจะเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ามีรถยนต์กำลังหาที่จอดรถริมถนนบริเวณที่เราปั่นฯ อยู่หรือชลอรถเพื่อเลี้ยว (ตัดหน้า) เข้าซอยข้างหน้า
ระวังหลุมหรือฝาท่อระบายน้ำ ตกกระแทกอาจทำให้ยางแตกหรือเสียหลักล้ม แต่ในรูปถ้าใช้เสือภูเขาล้อโตๆ ปั่นตรงๆทับไปได้เลย
เทคนิคการปั่นฯ ทั่วไป
- ถนนซอยบางแห่งผิวทางขรุขระ ไม่ราบเรียบ เป็นช่วงสั้นๆ เป็นระยะๆ หากผู้ปั่นฯ มีทักษะพอเพียงสามารถเลี่ยงปั่นบนแนวเส้นทางร่องระบายน้ำซึ่งมักจะมีผิวราบเรียบ(เสมอ)และมากกว่าผิวถนนได้
- ลูกระนาดและผิวทางขรุขระช่วงสั้นๆ เป็นจุดที่ควรถนอมกำลังในการปั่นฯ ด้วยการปล่อยให้รถเคลื่อนที่ไปด้วยแรงเฉี่อยของตัวเองมากกว่าการปั่นฯ เนื่องจากผิวทางลักษณะเช่นนี้มักกินกำลังในการปั่นฯ มากกว่าการปั่นฯ บนผิวทางทั่วไป
- สำหรับผู้ที่มีประสพการณ์ในการปั่นฯ รถซาเล้ง/ รถขายสินค้า และรถเมล์ 2 แถวขนาดเล็ก มักจะเป็นรถที่ใช้ความเร็วสม่ำเสมอและแล่นอย่างช้าๆ จนสามารถปั่นฯ ดูดตามรถเพื่อผ่อนแรงและเพิ่มความเร็วในการปั่นฯ ได้ แต่ก็ควรมองเผื่อไปในเส้นทางข้างหน้าว่ามีสิ่งกีดขวางเช่นรถที่จอดกระทันหันหรือผู้โดยสารรออยู่ข้างทางหรือไม่เพื่อที่เราจะได้หยุดตามรถเหล่านั้นได้ทันท่วงที
- ไม่ควรปั่นฯ แซงรถเมล์หรือรถแท๊กซี่ที่จอดรอรับผู้โดยสารหรือส่งผู้โดยสารโดยไม่จำเป็นเพราะเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายเมื่อรถเหล่านั้นเคลื่อนที่ออกจากที่จอดโดยมองไม่เห็นจักรยานที่อยู่ด้านข้าง
- เมื่อมีรถยนต์จอดขวางอยู่ด้านหน้าและปั่นฯ แซงผ่านไปไม่ได้ ควรจอดรอและลดเกียร์เป็นเกียร์ต่ำเพื่อเตรียมตัวออกรถตามรถยนต์คันนั้นออกไป และหากเราใช้ความเร็วที่เหมาะสมเราอาจจะเลือกใช้วิธีผ่อนแรงในการปั่นฯ ด้วยการใช้เทคนิคดูดรถยนต์นั้นไปในระยะทางสั้นๆ ได้อีกต่างหาก
- พื้นที่บางจุดมักมีสุนัขจรจัดนอนขวางเส้นทางการปั่นฯ หลายตัวหรือมากกว่า 10 ตัว การปั่นฯ ผ่านไปบางครั้งอาจจะเกิดอันตรายจากสุนัขตื่นขึ้นมารุมวิ่งไล่กวดทั้งฝูง หากพิจารณาแล้วว่าไม่มีสุนัขตัวใหญ่ที่จะก่อให้เกิดอันตรายได้ การลงจากจักรยานแล้วเข็นรถผ่านไปอย่างช้าๆ อาจจะปลอดภัยมากกว่าหรือหากเผื่อความปลอดภัยอาจจะเก็บกิ่งไม้ข้างทางหรือก้อนหินเอาไว้ในมือเผื่อจะต้องไล่สุนัขด้วยก็ได้ หรือหากไม่แน่ใจก็ควรรอเพื่อนร่วมทางคนอื่นที่เป็นคนเดินถนนหรือคนที่ปั่นฯ จักรยานเช่นเดียวกับเรา เมื่อผ่านมาก็ขออาศัยเป็นเพื่อนร่วมเส้นทางไปเพื่อความอุ่นใจด้วยก็ได้
สุนัขโดยทั่วไปมักหวงเขตที่อยู่ของตัวเองซึ่งมีระยะทางไม่กี่ร้อยเมตรดังนั้นหากเราพ้นระยะนั้นออกมาได้ก็นับว่าปลอดภัยจากการรบกวนของสุนัขแล้วเช่นกัน