รัฐฟ้องแน่ "ปตท." น้ำมันรั่วอ่าวไทยทำสิ่งแวดล้อมพัง

กระทู้สนทนา
http://www.dailynews.co.th/politics/222497
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม 2556 เวลา 15:37 น.



รัฐจ่อฟ้องปตท.น้ำมันรั่วลงอ่าวไทย ทำสิ่งแวดล้อมเสียหาย คาดใช้เวลา 2-3 วันกำจัดคราบน้ำมันเกาะเสม็ด รมว.ทส.ระบุ ปตท.ต้องชดใช้ค่าเสียหาย แต่วันนี้ขอให้ช่วยกันฟื้นฟูพื้นที่ก่อน



เมื่อวันที่ 29 ก.ค. นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีท่อรับน้ำมันดิบกลางทะเลของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เกิดรั่วไหลน้ำมันดิบไหลลงทะเลจำนวน 50,000 ลิตร เมื่อเช้าวันที่ 27 ก.ค. และกระแสคลื่นลมทะเลได้พัดคราบน้ำมันเข้ามายังบริเวณอุทยานเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จ.ระยอง เมื่อคืนวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา ว่า  ขณะนี้ได้ร่วมลงพื้นที่อุทยานฯ เสม็ด พร้อมกับนายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งการที่คราบน้ำมันลอยมาขึ้นฝั่งที่เกาะเสม็ดก็ตรงตามที่ทางกรมควบคุมมลพิษ ได้ทำแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เอาไว้ และเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการหากทางพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอความร่วมมือมาแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้อนุมัติให้ใช้สารเคมีในการกำจัดคราบน้ำมันไปแล้ว  อย่างไรก็ตามขณะนี้คราบน้ำมันขึ้นฝั่งเพียงจุดเดียวคือที่อ่าวพร้าวเกาะเสม็ด ซึ่งต้องเร่งกำจัดคราบน้ำมันบนชายหาดเกาะเสม็ดให้เร็วที่สุด  โดยคาดว่าจะใช้เวลา 2-3 วัน  และยังต้องเฝ้าจับตาบางส่วนที่ยังลอยอยู่ในทะเลอย่างใกล้ชิด


เมื่อถามว่าจะมีการฟ้องร้องบริษัทเอกชนที่ทำให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ นายวิเชียร กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช  กรมควบคุมมลพิษ  กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม  และหน่วยงานในจังหวัด กำลังเร่งดำเนินการแก้ปัญหา สำรวจและรวบรวมความเสียหายที่เกิดขึ้น ว่าเกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเรื่องใดบ้าง


“ เรื่องการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมนั้น  ไม่ต้องเป็นห่วง ทาง ปตท. ต้องรับไปเต็มที่อยู่แล้ว อย่างไรกรณีที่เกิดขึ้นมีหลายหน่วยงานและกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งจากนี้แต่ละหน่วยงานก็คงได้มีการพูดคุยกันหลังจากรวบรวมความเสียหายที่เกิดขึ้นครบถ้วนแล้วว่าใครจะเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งเบื้องต้นอาจจะเป็นกรมเจ้าท่า”  นายวิเชียร กล่าว


ด้านนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า ได้ให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เสม็ด ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่อุทยานฯ เท่าที่ดูก็เสียหายมากมีคราบน้ำมันสีดำเต็มชายหาด  ซึ่งต้องเร่งเก็บคราบน้ำมันออกไปให้เร็วที่สุด โดยขณะนี้ทางจังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  และทหารกำลังร่วมกันดำเนินการอยู่  สิ่งที่ต้องดำเนินการขณะนี้คือพื้นที่ที่เสียหายแล้ว และเฝ้าระวังคราบน้ำมันที่จะลอยไปยังจุดอื่น

ขณะที่นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)  กล่าวว่า จ.ระยองได้ประกาศให้พื้นที่อ่าวพร้าว หมู่ 4 ต.เพ อ.เมือง เป็นพื้นที่ภัยพิบัติทางทะเล เนื่องจากคราบน้ำมันได้ไหลเข้าไปในชายฝั่ง ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่าน ซึ่งพบว่ากลุ่มคราบน้ำมันได้ทะลักเข้าชายหาดบริเวณอ่าวพร้าว ทั้งนี้นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผวจ.ระยอง นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ และปภ.จังหวัดได้ตั้งศูนย์อำนวยการร่วมกับทหารเรือ  กรมเจ้าท่า เพื่อนำกำลังพล อาทิ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน(อปพร.) อาสาสมัครทหารประมาณ 500 คนเข้าไปเร่งกำจัดคราบน้ำมัน เพื่อปิดล้อมไม่ให้กระจายลุกลามออกไปกระทบนักท่องเที่ยว ซึ่งดำเนินกำจัดคราบน้ำมันไปแล้วประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ โดยการฉีดพ่นสารเคมีสลายคราบน้ำมัน อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้เร่งกำจัดคราบน้ำมันทั้งวันทั้งคืน ทำให้เหลือคราบน้ำมันไม่มากที่ยังหลงเหลืออยู่ เพราะคลื่นลมแรงทำให้คราบน้ำมันกระจายตัว ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลหลายหน่วยงานร่วมมือกันดำเนินการแก้ไขอย่างเต็มที่

ต่อมาในช่วงเย็นนายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ เปิดเผยหลังเดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบเหตุท่อน้ำมันดิบของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) รั่วไหลลงในทะเล จ.ระยอง ว่า ปริมาณน้ำมันที่ไหลลงสู่ทะเลมีปริมาณ จำนวน 5 - 7 หมื่นลิตร ขณะนี้ใช้สารเคมีกำจัดจนไม่น่าเป็นห่วงมากนัก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือคราบน้ำมันที่ชัดเข้าฝั่งบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด กินพื้นที่ยาว 400 - 500 ร้อยเมตร กว้าง 30 - 40 เมตร โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการกำจัดคราบน้ำทัน ประมาณ 15 วัน จึงจะคืนสู่สภาพ โดยได้สั่งปิดอ่าวพร้าวแล้วเพื่อไม่ให้กระทบกับนักท่องเที่ยว

เมื่อถามถึงการฟ้องร้องกับบริษัท ปตท.จำกัด รมว.ทรัพยากรฯ กล่าวว่า ยังไม่อยากให้พูดถึงการฟ้องร้อง ให้ช่วยกันฟื้นฟูทะเลและอ่าวพร้าวให้กลับคืนสู่สภาพปกติดีกว่า ทั้งนี้ ได้คุยกับผู้บริหาร ปตท.แล้ว ให้ถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนและจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ถ้าเกิดขึ้นอีกจะต้องมีการบริหารจัดการที่ดีกว่านี้ เพราะกระทบกับระบบเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อม แต่อย่างไรก็ตาม ปตท.ก็ต้องชดใช้ความเสียหายอยู่แล้วตามหลักการที่ว่าผู้ก่อมลพิษก็จะต้องชดใช้ความเสียหาย.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่