ธรรมกาย เหมือนหญ้าคาในนาข้าว

กระทู้สนทนา
เห็นข่าวกรณีที่ สพฐ บังคับให้ครูนักเรียนทั่วประเทศเข้าอบรมที่ธรรมกาย แล้วก็นึกห่วง
บางคนแย้งว่า ธรรมกายเสียหายตรงไหน สอนให้คนเป็นคนดี มีศีล ๕
ยิ่งบรรยกาศภายในแล้ว น่ารื่นรมย์ ด้วยสถานที่สะอาดสะอ้าน สะดวกสบาย
การจัดต่างๆ เน้นภาพลักษณ์ที่สวยงาม อลังการ เป็นที่น่าดู ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเปลือกนอก

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องไม่ลืมว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนาพุทธคือ นิพพาน
ในเมื่อธรรมกายบิดเบือนหลักการสำคัญคือ นิพพาน ไปเสียแล้ว
ย่อมไม่สมควรที่จะกล่าวอ้างแค่เปลือกนอกเหล่านั้นมาปิดบังหลักการสำคัญของพุทธศาสนา

อย่างที่เคยรับรู้กันมาว่าธรรมกาย บิดเบือนคำสอน เรื่องนิพพานว่าเป็นอัตตา
นิพพานเป็นสถานที่เมื่อละขันธ์จากโลกนี้แล้ว กายละเอียดหรือธรรมกายจะถูกดูดไปรวมกับพระพุทธเจ้า พระสาวกต่างๆ รวมอยู่ที่นั่น
การขึ้นไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าบนอายตนะนิพพานจริงๆ (โดยเฉพาะต้องทำด้วยเจ้าสำนักนี้เท่านั้น)
ซึ่งแตกต่างจากสำนวน การถวายข้าวพระพุทธ ที่ ดร คนหนึ่งอ้างทางช่องสปริงนิวส์ว่าเป็นสิ่งที่ชาวบ้านทั่วไปทำเป็นประเพณีอยู่แล้ว
หรือเรื่องที่ทั่วไปอาจจะไม่ได้ยินกันมากนัก เช่น พระพุทธเจ้าภาคองค์ขาว องค์ดำ เรื่องที่เจ้าสำนักจะเป็นคนสุดท้ายที่จะรื้อสังสารวัฏ ฯลฯ

แม้เรื่องพื้นฐานอย่างการทำบุญ ก็โดนบิดเบือน โดยสอนให้ทุ่มสุดตัว จนหลายคนหมดเนื้อประดาตัว
ทำบุญเพื่อจองที่อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต ทำบุญด้วยเงินน้อยๆ เป็นได้แค่เทวดาชั้นต่ำ ต้องทุ่มเยอะๆ
สิ่งเหล่านี้แตกต่างจากคำสอนของเถรวาท และย่อมไม่สามารถขนหมู่สัตว์ถึงนิพพานได้

ธรรมกายจึงเปรียบได้แค่ หญ้าคา ที่ดูคล้ายต้นข้าวในแปลงนา ผู้ที่ไม่ศึกษาย่อมดูไม่ออกว่า นี่ข้าว นี่หญ้าคา
ดูผ่านๆ วัชพืชคล้ายข้าวชนิดนี้ขยายพันธุ์ไว เป็นดงผืนใหญ่ พริ้วไสวยามต้้องลม ดูงดงาม
แม้หญ้าคาก็มีประโยชน์อยู่บ้างในการมุงหลังคา กันแดดกันฝน แต่ย่อมไม่สามารถออกรวงเป็นเมล็ดข้าวที่จะนำมากินให้อิ่มได้
การอ้างประโยชน์เล็กน้อยเหล่านี้ย่อมทำให้หญ้าคาเติบโต จนวันหนึ่งก็จะเบียดต้นข้าวจนเต็มทั่วแปลงนา
ถึงวันนั้นเราก็จะไม่มีข้าวกิน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก แต่จะมีแค่หลังคามุงแฝกหญ้าคาที่พอกันแดดฝนได้บ้างซึ่งเป็นประโยชน์อย่างน้อย

จิตที่เข้าถึงนิพานย่อมอิ่ม เต็มโลกธาตุ เต็มบริบูรณ์ ต่อหน้าต่อตา หาได้มีการมา การไป ดังปฐมนิพพานสูตรที่๑ ที่ว่า

                           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    อายตนะนั้นมีอยู่   ดิน

                น้ำ  ไฟ  ลม   อากาสานัญจายตนะ    วิญญาณัญจาย-

                ตนะ  อากิญจัญญายตนะ  โลกนี้  โลกหน้า  พระจันทร์

                และพระอาทิตย์ทั้งสอง         ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

                ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้น

                ว่า   เป็นการมา   เป็นการไป  เป็นการตั้งอยู่   เป็นการ

               จุติ     เป็นการอุปบัติ     อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้

                มิได้เป็นไป  หาอารมณ์มิได้  นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.

แม้ครูบาอาจารย์ชั้นหลังๆ ก็เดินตามรายพระบาทนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่