เคยไหม ที่ตกหลุมรักใครสักคนเพียงแค่ครึ่งค่อนวัน .. และดูเหมือนจะอกหักในวันต่อมา ..

ผม เป็นคนที่ไม่สนใจ และไม่เคยคิดเลยว่าการเอาเรื่องส่วนตัวมาระบายในพันทิพแล้วมันจะได้อะไร
ผม เป็นคนที่เชื่อมั่นว่า ต่อให้สังคมออนไลน์ตอบสนองกับความคิดเรามากสักเพียงไหน เราก็ยังเชื่อในสิ่งที่เราเชื่อเสมอ
ผม ไม่เคยเปลี่ยนการกระทำของตัวเอง เพียงเพราะบอร์ดใดบอร์ดหนึ่งบอกว่าผมกำลังทำผิด และควรทำเช่นไร
ผม ตั้งใจว่าจะตั้งสถานะวันตั้งแต่วันแรกที่ Hurt คือวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ผม ตัดสินใจไม่ตั้งมัน เพราะอะไรคงอธิบายไม่ได้ มันดูเหมือนเรื่องส่วนตัว ? กลัวไม่มีใครรับฟัง ?
และมันก็ไม่ได้ตื้นเต้นหรือหวือหวาเหมือนกระทู้ยอดนิยม
....
...
..
.
แม้ กระทั่งตอนนี้ ผมยังไม่แน่ใจตัวเองเลยว่า อยู่ดี ๆ ผมมาโพสกระทู้นี้เพื่ออะไร



Episode 1 : ดูเหมือนจะเริ่มรัก      

      เรื่องของเรื่องก็คือ ผมชื่อนัทครับ และผมเป็นผู้ชายธรรมดา ๆ พึ่งเรียนจบหมาด ๆ โสดมาได้สักปี กับอีกสองเดือนนิด ๆ
ผมเรียน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และตลอดชีวิตมหาลัย ผมมีแฟนแค่คนเดียว และรักเค้ามาก ๆ แค่คนเดียว
ถึงแม้จะใช้เวลาจีบ 2 ปี และคบกันได้แค่ปีเดียวก็ตามเหอะ ...
     
      หลังจากเลิกกับเธอ ผมก็เละ ทำอะไรไม่ค่อยถูก เสียความมั่นใจ มีความผิดหวัง รู้สึกว่าเรายังไม่พร้อมกับความรัก
หรือใครสักคน หรือใครก็ตามที่ทำให้เรามีความสุข ผมแอบชอบรุ่นน้องบ้าง รุ่นเดียวกันบ้าง รุ่นป้าบ้าง มีการจีบนิดนึง  
หยอดเป็นบางที แต่ก็ไม่มีใคร ที่ทำให้หัวใจของผมรู้สึกว่ามันเต้น และกระแทกอกจนเจ้าของอวัยวะถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว
     
      ผมก็ใช้ชีวิตแบบโสด ๆ เหงา ๆ แต่ก็ต้องทนเพราะเรายังไม่พร้อมจะมีใคร เธอทิ้งผมไปเมื่อผมแรกเริ่มเข้าปี 4
และผมต้องใช้เวลาทั้งปีเพื่อที่จะลืมเธอ ... และหัวปั่นกับโปรเจคจบ
     ครับ .. เวลานี้ ผมพึ่งจบปี 4 มาหมาด ๆ ยังไม่หางานทำเป็นหลักแหล่ง เพราะขอพักผ่อน และค้นหาตัวเองอีกเป็นพักใหญ่


      แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่า "หญิง" นามเกือบสมมุติ
เธอไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพที่มีชื่อเรื่องคณะแพทย์ และ เธอก็ได้รู้จักกับผู้หญิงอีกคน
เธอชื่อ "จีจี้" นามเกือบสมมุติเช่นกัน
    
    เรื่องราวแรกเริ่มมันก็ไม่มีอะไรมาก ผมใช้เวลาในช่วงว่างงานกับการอ่านหนังสือนิยาย
หนังสือเรียนเพื่อเตรียมสอบภาษา หางานคั่นเวลาทำบ้าง เล่นเกมส์ ฟังเพลง ดูหนังตามภาษาเด็กอาร์ตบ้าง ( ที่จริงแค่ว่างจัด )
และแน่นอนผมก็เล่นเฟสบุ๊กไปด้วย  ครับ ... เจ้าเฟสนี้แหละ ทำให้ผมเห็นความเคลื่อนไหวของเพื่อน ๆ
คนรู้จักทั้งห่างทั้งไกล บางคนก้าวหน้า บางคนพุ่งสูง จนเราก็หันกลับมาดูตัวเองอยู่เป็นพัก ๆ ว่า  "เมิงทำอะไรอยู่วะ"

   แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะผมพยายามปรับปรุงตัวเอง ให้เป็นผู้ชายที่ดี เก่ง และมีหน้าที่การงาน
ที่พร้อมจะพยุงครอบครัวและคนที่เรารักในอนาคตได้ และนั้นก็ไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญอยู่ดี สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ  
การเล่นเฟสทำให้ผมรู้จัก "จีจี้" เพื่อนของ "หญิง" ที่เรียนปริญญาโทด้วยกัน

...
..
.

   สองคนนี้ถ่ายรูปด้วยกันบ่อยครั้ง จนผมเกิดอาการหน้าม่อเล็ก ๆ ที่เป็นนิสัยส่วนตัวในสมัยที่ยังเจ้าชู้  
ผมไปเม้นแซวอยู่เนืองๆ ว่า "เพื่อนหญิงน่ารักดีนะ"  ก็มันจริงนั้นแหละ ไม่ใช่แค่แซว เพื่อนหญิงคนนี้น่ารักจริง ๆ
แค่หน้าตาและโปรไฟล์ที่ดูน่ารัก เรียบร้อยนิด ๆ และเรียนเก่ง
ดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ ... มันเป็นสเปคในฝันของผมชัด ๆ
  
    แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร เราอยู่เชียงใหม่ และฝันว่าจะอยู่เชียงใหม่ ส่วนเธอนั้นเรียนอยู่กรุงเทพ รวมถึงมีภูมิลำเนาอยู่ที่โคราช
และการคบกันหรือจีบกันทางไกล ผมคิดเสมอว่า มันคงไปกันไม่รอด ** ที่จริงมันมีปม เพราะแฟนเก่าเลิกกับผม
ระหว่างที่ไปทำงานที่ภูเก็ต

   และแล้วการที่หญิงโพสรูปของเพื่อนบ่อย ๆ มีการเขียนสถานะถึงเธอบ้าง ทำให้ผมรู้สึกสกิดใจเล็ก ๆ และเรื่อย ๆ ว่า ..
เห่ยยย จีจี้มันใช่อะ น่ารักอะ ( อะไรวะ แค่สถานะเฟสก็เป็นเอามาก สงสัยเหงาจัด )
เราก็พยายามห้ามใจ ไม่คิดอะไร จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งก็ตัดสินใจแอดเธอไป ( นี้ขนาดไม่คิดนะ )
และพิมพ์แบบยียวนกวนใจตามภาษาเราว่า "ขอแอดมาเป็นแฟนคลับนะครับ เธอน่ารักมาาาาาาาากเลย"
และเราก็เริ่มคุยกันในเฟสแบบประปรายตั้งแต่วันหนึ่ง .. จนกระทั่งวันถัดมา
( ไม่คุยกันนานเป็นปีหรอก อย่าได้หวังนะครับ ท่านผู้อ่าน )
เธอบอกว่าเธอจะมาเที่ยวเชียงใหม่ มากับหญิงอาทิตย์หน้านะ .. อะไรทำนองนั้น

   ผมก็เริ่มตั้งคำถามกับหัวใจตัวเองว่า เราควรจะไปต่อ ไปเที่ยว เป็นเจ้าบ้านที่ดีให้กับเธอไหม ??  
ผมแทบจะไม่คิดเลย เพราะลึก ๆ แล้วในหัวใจผมรีบตอบ "ตกลง" โดยทันที
ถึงแม้ว่าสภาพการเงินในเดือนนี้จะเละเทะไปกับ Steam summer sale และ Com mart ที่เพิ่งจัดไปเมื่อต้นเดือน ..
  
   ผมเริ่มคุยกับจี้บ้างเป็นบางจังหวะ คุยเหมือนเพื่อนที่หวังดี ( แต่เค้าคงรู้แหละว่าจีบ )
ผมไม่คิดจะใช้มุกหรือทักษะในการว่าคำเสี่ยวกับเธอแม้แต่น้อย เพราะแอบหวังในใจว่า
ถ้าเราพูดแบบจริงใจ ไม่เน้นฮาปนเสี่ยว เขาก็จะจริงใจกับเราตอบเช่นกัน

  เมื่อเธอออกเดินทาง ผมคุยกับเธออยู่บ่อยครั้ง กลัวว่าเธอจะเหงา หรือติดแหงกกับการนั่งรถทัวร์เป็นเวลานาน
ผมนอนแทบไม่หลับเลยคืนนั้น เพราะหวังว่าเราจะเป็นตัวสำรองในกรณีที่หญิงตื่นไม่ทัน
และเราจะต้องไปรับเธอ .. ( ก็มีคุย ๆ กันบ้างนะ ว่าไปรับได้ ถ้าหญิงไม่ไหว )

  จนกระทั่งเธอมาถึงเชียงใหม่ ไปพักที่บ้านหญิง และตะลอนเที่ยวกับครอบครัวของหญิง ผมก็คุยไลน์บ้าง
เฟสบ้าง แสดงความเป็นห่วงแลใส่ใจว่าเธอเป็นอย่างไร สบายดีไหม ( และมีเราอยู่ตรงนี้ห่าง ๆ นะ )
เธอก็ชวนเราไปเที่ยวเหมือนกัน และสุดท้ายเราก็ได้ไปจริง ๆ ซึ่งก็คือช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 21


  จีจี้ชวนเราไปถนนคนเดิน และเราก็ตอบตกลงแบบไม่ลังเล และเราก็ใช้เวลาในการครุ่นคิดว่าจะทำตัวอย่างไรให้ดูดี
ดูแมน ดูมีเสน่ห์หรือน่าเดินข้าง ๆ ด้วย เพราะว่าไปแล้วเราเป็นคนผอม ท่าทางเหมือนผู้หญิง
และดูไม่ค่อยแมนเท่าไหร่ เพราะหุ่นแห้ง ๆ ด้วยแหละมั้ง
ครับ ผมก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ และทำการอาบน้ำแต่งตัว ใส่เสื้อลายขวางขาวเทาที่ดูตัดกับสีผิวคล้ำ ๆ
ของผมได้ดี ผมเสริมความมั่นใจด้วยการเซ็ทผมแบบมือสมัครเล่นเล็ก ๆ น้อย ฉีดน้ำหอม และ
ออกไปรอล่วงหน้าตั้งแต่ หกโมงนิด ๆ ถึงแม้เธอจะนัดผมไว้ตอนหกโมงกว่า ๆ ก็ตาม
( ก็แหม่ ... กว่าคนเรา มันไม่เท่ากันนี้เนาะ )

   ผมไปถึงถนนคนเดิน แล้วเลือกที่จะเก็บแรงขาไว้และไปนั่งพักในวันพระสิงห์
แน่นอนครับว่าญาติโยมในวัดเยอะเหลือเกิน เพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันอาสาฬหบูชา
ผมก็ไปนั่งในศาลา ใช้เวลาจิ้มมือถือและท่องเฟสไปเกือบชั่วโมง จนกว่าจี้จะโทรมา
** กว่าจริง ๆ ด้วยครับ เล่นโทรมาซะหนึ่งทุ่มสิบห้า **

  เราก็นัดเจอกันและผมก็รีบรุดเดินฟ่าฝูงชนเพื่อให้ถึงที่นัดหมายก่อนที่เธอจะไหวตัวทัน
กะจะเข้าไปจ๋ะเอ๋สักหน่อย แต่เธอกลับเป็นฝ่ายที่เห็นผมก่อน และวินาทีแรกที่เธอมองมา
ที่เราได้สบตา ผมก็ทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่เก้อ ๆ เขิน ๆ และแสร้งทำเป็นตกใจเล็กน้อย
ก่อนจะตะโกนไปว่า
" อ้าว สวัสดี จี้ " .. พรึ้บ คนที่ยืนมุงซื้อน้ำอยู่หันกันแทบจะพร้อมเพรียง
จี้ หญิง มากับหนุ่มเกาหลี ( คล้าย ๆ ) สัญชาติอเมริกัน ที่เรียนคณะเดียวกัน
และพวกเขาก็ดูสนิทกันอยู่ก่อนแล้ว เราก็เลยไม่รู้จะเปิดประเด็นคุยอะไร หรือพาสองสาวไปเที่ยวไหนดี
เพราะทั้งคู่ต่างก็พยายามหาเรื่องคุย และ take care หนุ่มหลีคนนั้นอย่างไม่ขาดสาย
แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ มีเปิดประเด็นสนทนา และคุยกับจี้บ้างอยู่บ่อยครั้ง ( แต่คุยกับหญิงมากกว่าเพราะรู้จักกันมาก่อน )
บางทีก็ชวนกี้พูดภาษาอังกฤษ เพราะกี้เคยบอกว่า จะหัดพูดกับเรา
แต่มันก็ดูงี่เง่าพิลึก เพราะเธอมากับชาวต่างชาติ ( ไอ่ห่านเอ้ยย ) สุดท้ายโหมตภาษาหลัก ๆ ก็กลายเป็นภาษาไทย
และเราก็แสดงความเป็นตัวเรา ขี้เล่น ขี้แซว และแอบเป็นสุภาพบุรุษอย่างเต็มที่ ถือของ ช่วยนำ ช่วยหลีกทางให้จี้เดิน

   มันช่างเป็นการเดินถนนคนเดินที่สนุกมาก เพราะทุก ๆ อย่างก้าวที่เป็นไปด้วยผู้คนที่เดินสวนมาและสวนไป
ผมรู้จักจี้มากขึ้น และยิ่งสังเกตได้ลึกขึ้น ว่าเธอเป็นคนน่ารักมากเพียงไหน ถึงแม้เธอจะอวบนิด ๆ แต่ผมก็ว่าคนตัวเล็กอย่างเธอ
หุ่นแบบนี้ น่ากอดที่สุดแล้ว  วิธีการพูดการจา ความรู้สึกที่เธอส่งมา ไม่ว่าจะรับรู้โดยโสตประสาทขุมไหน ๆ มันก็รู้สึกว่า "โดน"
ไปหมด ให้ตายเหอะ เธอไม่ได้สวย หรือดูดีปานนางฟ้า แต่เธอทำให้ผมรู้สึกว่าเธอ "ใช่" โดยไม่ต้องทำอะไรมาก

   เราแวะไปกินป่ามไข่ ที่เติมแต่งไปด้วยหน้าไข่มดแดง หรือตัวอ่อนผึ้ง มันเป็นอาหารพื้นเมืองที่อร่อย และผมก็ดันไม่เคยกิน
ก็ความจริงแล้วเรามักจะแหยง ๆ กับอาหารพื้นเมืองบางประเภทที่มันดูไม่น่ากินเอาเสียเลย
แต่แล้วผมก็ใจกล้าวันนั้นแหละ ถ้านั่งเอ๋อดูเขากินมันก็เสียฟอร์มหมดอะสิ ผมชิมได้กินได้ และมันก็อร่อยเสียด้วย โฮ่วว
พึ่งเคยกินไข่มดแดงแบบจริงจัง ๆ ก็วันนี้แหละ !!
  
  ใช่แล้วครับ ช่วงเวลาค่ำ ๆ ของวันนั้น จนกระทั่งสี่ทุ่มกว่า ๆ ผมมีความสุขมาก ทั้ง ๆ ที่ต้องเดินเกือบทั่วถนนคนเดิน
และไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากอยู่ข้าง ๆ จี้ และเฝ้ามองความน่ารักของเธอ .. สองสาวไม่มีของติดไม้ติดมือสักเท่าไหร่
และเรื่องราวก็ดำเนินต่อไปเมื่อ จี้ และ หญิง .. ออกปากชวนผมไปเที่ยว วอร์ม

  ตอนแรกผมตอบแบบลังเล เพราะไม่ได้เป็นคนที่เที่ยวเก่ง ตั้งแต่เรียนปีหนึ่งมา เฉลี่ยแล้วเที่ยวกลางคืน ปีละสามครั้ง !
แต่ผมก็ดื่มเป็น พอเต้นเป็นแบบมั่ว ๆ บ้าง ไม่ได้ไปยืนหัวโด่อยู่ในผับละกัน แต่ก็อย่างว่า ที่ลังเลก็คือเราไม่เคยไปเที่ยวกลางคืน
กับผู้หญิง ปกติแล้วไปกับเพื่อนชาย เพื่อนสนิท อะไรงี้ มันก็เลยขาดความมั่นใจ แต่ก็เอาวะ
เอาไงเอากัน  ผมรีบกลับมาอาบน้ำ รับประทานอาหารไม่ให้ท้องว่าง เพราะถ้าดื่มเยอะแล้วเมาก่อนคงทุเรศสิ้นดี
( อีกอย่าง จี้ดูเหมือนจะเที่ยวบ่อยเสียด้วย )

   และเมื่อถึงเวลานัด ผมโทรหาเธอก็ไม่ติด เลยใช้เวลาเดินรอบฟอลร์โซนชั้นในประมาณ 3 รอบ
ใจแอบแป้วนึกว่าจะไม่เจอซะแล้ว และก็เหมือนกับครั้งแรกที่เจอกัน เธอเห็นผมก่อน และทำเอาใจผมสั่นพลางทำตัวไม่ถูกอีกที
เธอแต่งตัวได้น่ารักแบบสุด ๆ มีความเซ็กซี่นิด ๆ ซึ่งผมไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะเป็นผู้ชายไม่สันสั่นเรื่องเครื่องกาย
แต่ภาพที่เห็นคือเธอใส่ชุดเดรสแข็ง กระโปรงบานหน่อย ๆ และมีปกไหล่สีดำคลุมความร้อนเร่าของเดรสสีแดง
ถึงแม้ผมจะไม่ชอบลุกผู้หญิงเซ็กซี่เสียเท่าไหร่ แต่จี้แต่งตัว แต่งหน้าได้น่ารัก และเหมือนเดิม ..
"มันดูลงตัวไปหมดทุกอย่างงงงงงงง " หญิงเองถึงแม้จะดูสวยและเซ็กซี่กว่าเพราะเป็นเดรสเกาะอก แต่ความน่ารักของกี้มันชนะ
ขาดแบบไม่จำเป็นต้องมานั่งให้คะแนนเลย
  
  ผมลงมือมิกซ์และดื่ม ซึ่งเครื่องดื่มก็ไม่ได้หวือหวามาก มีแสงโสม โซดา และโค้ก สูตรสำเร็จยามค่ำคืนราคาประหยัด
เมื่อแอลกอฮอล์เริ่มเข้าที เพลงและจังหวะก็เริ่มกระแทกกกหู ผมออกตัวเต้น และพยายามบ่อยครั้งที่จะชวนจี้คุย หรือชวนจี้เต้นไปด้วย
แต่ให้ตายเหอะ .. นายฝรั่งหน้าเกาหลีที่กล่าวไว้ตอนต้น ดูเหมือนจะชิงความได้เปรียบเพราะรู้จักก่อน ( และหล่อกว่าเรา )
เขาเต้นกับจี้บ่อยซะจนบางทีเราต้อง "เห้อ" ในใจและแอบคิดเล็ก ๆ ว่าอิจฉา
  
   จนกระทั่งผมมีโอกาส โอกาสที่นายเกาหลีไม่อยู่ ผมขอจี้เต้น เธอก็ตกลงนะ แล้วสเต็ปมือ เอว ขา ของเราก็เริ่มทำงาน
ผมจำไม่ได้หรอก ว่าเพลงที่เต้นคือเพลงอะไร สิ่งที่ผมจดจออยู่มีเพียงสิ่งเดียว คือใบหน้าของเธอ ... และที่มีสเหน่ห์ยิ่งกว่า
นั้นคือดวงตาและรอยยิ้มของเธอ ... ผมรู้ตัวเข้าแล้วสิ เธอมีสิ่งที่ผมชอบ สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของผู้หญิงในฝัน
รอยยิ้มอันแสนหวาน และดวงตาพราวเสน่ห์ ผมถึงกับเผลอหลุดบากและเก๊กเสียงหล่อว่า
" ขอเต้นแบบสบตากันได้ปะ" และเธอก็ดูเหมื่อนจะเขินในทันที เธอกำมือเป็นวง ๆ แล้วทำท่าดั่งในคลิปกิโมจิ
ม้วนมือไปมารวม ๆ ดวงตา เป็นเกราะกำบังไม่ให้ผมหลงเสน่ห์กับม่านตาเธอ ...

   มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แม้จะไม่ยาวมากนั้น และวอร์มก็ใกล้ถึงเวลาดับเครื่องแล้ว
แต่ฉับพลัน เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพื่อนของเธอมาแทรกกลางและบอกว่า

...
..
.

"อย่ามายุ่งกับเพื่อนเรา "

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่