เรียนคุณ วูดไซด์,ดร.เพียงดิน และ คุณชูพงศ์

คุณFaiyen Man  โต้คนดังไว้ใน Facbook น่าสนใจดี ยกมาให้ศึกษากันคะ
เพิ่งจะได้ถกกับ เพื่อนคนหนึ่งอยู่กว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ เป็นเครื่องจำเป็น
ประโยคนี้ใครเจ้าของไม่ทราบ...ว่าไว้
"ศึกษาอดีต  เพื่อเข้าใจปัจจุบัน  เพื่อมุ่งมั่นไปสู่อนาคต"  

เพระดิฉัน ไม่ชอบมากเวลาใครยกเรื่องประวัติศาสตร์ มาบรรยายเรื่องการเดิมทางของประชาธิปไตย
ดิฉันต้องการทราบว่า จะเดินไปให้ถึงความเป็นประชาธิปไตย ต้องไปทางไหน อย่างไร
จากประโยคข้างต้น ทำให้เข้าใจว่า บ่อยครั้งเรื่องในอดีต มักจะบอกเหตุผล ผลลัพท์ที่เกิดในปัจจุบัน
ยาวไปถึงอนาคต ถ้าเราศึกษาเข้าใจ จะช่วยให้เราตัดสินใจ มีเหตุผลประกอบในการกระทำใด ๆ ก็ตาม
อย่างมีสติ  รอบคอบขึ้น
เพื่อนเขามาต่อให้ประโยคทอง ให้อีกประโยค ว่า

" คนที่เข้าใจประวัติศาสตร์ เป็นอย่างดี แต่นำประวัติศาสตร์มาบิดเบือนให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง
และพวกพ้อง  อันตรายและชั่วชาติยิ่ง "  
สองประโยคทองนี้ จะเข้ากับเรื่องนี้หรือไม่อย่างไร  ลองพิจารณากันค่ะ

https://www.facebook.com/marx.perfect/posts/301675143312250

โดย : Faiyen Man

เรียนคุณ วูดไซด์,ดร.เพียงดิน และ คุณชูพงศ์

จากการออกอากาศวันที่ 23 ที่ผ่านมา มีความคลาดเคลื่อนในหลากหลายประเด็น จึงอยากแลกเปลี่ยนดังนี้

1. คุณชูพงศ์ เรียกสังคมไทยว่า"สังคมศักดินาเหนือรัฐ"แล้วกล่าวโยงถึง"พรรคคอมมิวนิสท์"ว่า"จะเรียกว่าเป็นอะไรก็ช่างเถอะ"...

ผมมีความเห็นว่า

..การวิเคราะห์ลักษณะสังคม ไม่ใช่แค่การมาตั้งชื่อเด็กแรกเกิด อยากจะให้ชื่ออะไร ก็นึกชื่อที่ชอบแล้วตั้งเอาตามใจผู้ตั้ง หากแต่ว่าเกิดมาจากนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศ ที่มีความประสงค์จะเปิดเผยความขัดแย้งทางโครงสร้างในสังคมไทยทั้งที่เป็นด้านหลักและด้านรอง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขต่อไป

..การวิเคราะห์นี้ มิได้จัดทำโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแต่อย่างใด เนื่องจาก พคท.หมดสภาพการนำไปแล้ว และได้เข้าไปเป็นพวก รอ.เรียบร้อยแล้วซึ่งไปทั้งองค์กรและตัวบุคคล (ในซีกหนึ่งที่ยอมสวามิภักดิ์แล้ว) อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ได้มีการวิจารณ์ตนเอง,วิจารณ์การนำในอดีต พร้อมทั้งสรุปบทเรียนการทำงานในอดีต และข้อผิดพลาดที่ผ่านมาแล้ว หลังการประกาศสลายการนำในสายการจัดตั้งเดิมเมื่อหลายปีมาแล้ว โดยอ้างอิงได้จาก”ถ้อยแถลง ลุงธง แจ่มศรี” จึงอยากให้คุณ ชูพงศ์รับรู้และสำเหนียกไว้ เพื่อจะรายงานต่อ USA ได้ถูกต้อง

..หากชูพงศ์จะทำการวิจารณ์โต้ตอบการวิเคราะห์สังคมไทย "ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ที่มีอิทธิพลอเมริกาครอบงำ" ก็ขอให้ทำการศึกษาก่อน เพราะแม้แต่ชื่่อก็เรียกผิดๆถูกๆ…..หลักคิด , ชุดความคิด ก็ไม่วิจารณ์ จึงผิดพลาดในการตอบโต้ว่า เป็นการ “นำเสนอการปฏิวัติสังคมนิยม” ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วได้เสนออย่างชัดเจนในเอกสารการวิเคราะห์ฯนี้ว่า “เป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นทุน”


นี่สะท้อนให้เห็นการหยิบแต่เพียง “ประโยค หรือ วลี” ปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นทุนมาพูด โดยไม่เข้าใจถึง “ลักษณะและขั้นตอนของการปฏิวัตินี้” ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องผ่านการวิเคราะห์สังคมก่อน กล่าวอย่างเป็นรูปธรรมง่ายๆเพื่อให้ประชาชนผู้ติดตามได้เข้าใจ กล่าวคือ…..ไม่กำหนดขั้นตอนการรักษาโรคก่อน ( ซึ่งในที่นี้คือการกำหนดขั้นตอนการปฏิวัติว่าเป็น การปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นทุน ) แต่จำเป็นต้องทำการวิเคราะห์หาสาเหตุของอาการป่วยก่อนว่าเป็นโรคอะไร? อาการร้ายแรงอยู่ในขั้นไหน? และ จะใช้วิธีใดในการรักษา? กล่าวคือ .....

1. ป่วยเป็นโรคอะไร ?..
..ในขั้นตอนนี้ต้องใช้ทั้งวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์สังคม ในการค้นหาการดำรงอยู่ของความขัดแย้งในสังคม เช่น
เป็นโรคเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ หรือ
ในทางการเมือง
เป็นโรค โรคทุนเก่า ทุนใหม่ , โรคราชาธิปไตย , โรคสมบูรณาญาสิทธิราชใหม่ , โรคอำมาตยาธิปไตย , หรือ
โรค “ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ที่มีอิทธิพลอเมริกาครอบงำ”

2. อาการป่วยร้ายแรงอยู่ในขั้นไหน ? เช่น
หลอดเลือดตีบ 3 เส้นๆละ 80% หรือ
เป็นความขัดแย้งที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้ระหว่าง ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐฯ กับ ประชาชน เป็นความขัดแย้งด้านหลัก
และมีความขัดแย้งด้านรอง คือ ความขัดแย้งภายในชั้นชนของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐฯ กับ ทุนผูกขาดสวามิภักดิ์รายใหม่ ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่ประนอมยอมกันได้ ที่เรียกว่า “ปรองดอง” กันได้นั่นเอง

3. จะใช้วิธีใดในการรักษา ?
1. แนวทางอนุรักษ์นิยม เช่น รดน้ำมนต์,แก้กรรม,สะเดาะเคราะห์ หรือ
ในทางการเมือง อวยต่อไป,ให้คนดีปกครอง,กราบสวามิภักด์
2. แนวทางปฏิรูป เช่น แจกยาหม้อ,ทำกายภาพบำบัด,กำหนดอาหาร หรือ
ในทางการเมือง ด่าลอยๆ , โม่หินในการสร้างขบวน , เลื่อยน้ำแข็งแบบลัทธิฉวยโอกาส , รอองค์กร ทรู (กระทิงแดงแปรรูป) มานำ
3.แนวทางปฏิวัติ เช่น ผ่าตัดทำ Balloon , By-Pass หรือ
ในทางการเมือง นำการปฏิวัติด้วยทฤษฎีการต่อสู้ทางชนชั้นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งระบบ

นี่เป็นกระบวนการวิเคราะห์ที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบ เนื่องจากเป็นการ “ชิงบ้านชิงเมือง” ที่ใหญ่โต จึงไม่สามารถทำแบบตัดตอนเอาเพียงบางเรื่องมาพูดกันเรื่อยไป โดยยกเพียงปรากฏการณ์หรือข่าว เอากระพี้หรือเปลือกที่เป็นข่าวรายวันมาอธิบายว่า สาเหตุมาจาก “ราชาธิปไตย” จึงต้องเปลี่ยนระบอบ เมื่อเปลี่ยนระบอบแล้ว จะทำให้ตัวบุคคลเดิมที่อยู่ในระบอบทั้งหมดกลายเป็นคนดีหมด


ตรรกะ “ ทำลายระบอบโดยละเลยผู้รักษาระบบ” และไม่จัดการกับผู้รักษาระบอบในระดับต่างๆ กันอย่างไร ? ทั้งระดับ ตัวบุคคล และ ระดับชนชั้น ? .....ในกรณีนี้ จึงชี้ได้ว่า การอธิบาย “เปลี่ยนระบอบ” นี้ คือ การเปลี่ยนแปลงประเพณีการปกครอง ไม่ได้เปลี่ยนแปลง “ความสัมพันธ์ทางชนชั้น” แต่อย่างใด ? ดังนั้น “การเปลี่ยนระบอบ” นี้ จึงไม่มีความประสงค์จะเข้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาใจกลางของสังคมไทย และ ปลายทางประชาชนไม่สามารถฝากความหวังไว้ได้ อีกทั้ง ไม่กล่าวถึง ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจดังที่ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐฯได้บรรยายไว้

2. ที่กล่าวถึง 3 อำนาจที่จะทำการเปลี่ยนแปลง แล้วโยงถึง พรรคการเมือง ว่า “เคยฝากความหวังไว้กับพรรคเพื่อไทย จะให้เป็นพรรคปฏิวัติ....แต่กลายเป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติ เพราะว่า ไปรักษาระบอบ ..พากันไปกราบ” ขอยกมาแบบย่อๆ และผมมีความเห็นดังนี้

....การยก 3 อำนาจ ที่จะเป็นผู้สามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้นั้น เป็นการยกมาโดย ขาดการพิจารณาเรื่อง “ลักษณะทางชนชั้นในสังคมไทย” ทั้ง สถาบันกษัตริย์ ทหาร และ ประชาชนนั้น เปรียบเสมือน สิงโต หมาป่า และลูกแกะ แล้วฝันเอาว่าจะเปลี่ยนให้ สิงโตและหมาป่า เปลี่ยนมากินมังสวิรัต เพื่อสามารถอยู่ร่วมกับลูกแกะได้...แล้วจึงยกต่อไปถึง...การตั้งความหวังไว้กับ กลุ่มทุนผูกขาดสวามิภักดิ์รายใหม่ ซึ่งก็คือ กลุ่มแนวทางปฏิรูป ท่านทักษิณ และ พรรคเพื่อไทย จะสามารถนำการปฏิวัตินี้ได้ มี 2-3 ประเด็น ที่อยากจะชี้้

1. ทุนผูกขาดสวามิภักดิ์รายใหม่ ท่านทักษิณ หรือ พรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนของกลุ่มทุน จึงมีลักษณะทางธรรมชาติที่ยึดถือผลประโยชน์ของชนชั้นตนเป็นหลัก และ ย่อมโลเลต่อการปฏิวัติประชาธิปไตย และ ได้แสดงตนโลเลอย่างต่อเนื่องด้วยตัวของเขาเอง ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ซึ่งนี่ไม่ใช่เพียงข้อคิดเห็นของผมเองโดยปราศจากข้อเท็จจริงรองรับ ดังนั้น การรับว่าเคยฝากความหวังนี้ไว้กับ... จึงชี้ให้เห็นว่าชูพงศ์มามีความเข้าใจ “ธรรมชาติของชนชั้นทุนผิด และดูเหมือนยืนอยู่ข้างชนชั้นทุนผูกขาดสวามิภักดิ์ตลอดเวลา” จึงพยายามเสนอให้เป็น “ผู้นำการปฏิวัติ” โดยไม่เข้าใจว่า ท่านทักษิณ และ พรรคเพื่อไทยกำลังแสดงบทบาทนำใน “แนวทางปฏิรูป”และทำได้ดีเพียงเท่านี้ ดังนั้นชูพงศ์จึงมองไม่เห็น การเป็น “แนวร่วม” ซึ่งอยู่คนละสถานะกัน
2. ที่ผมกล่าวว่า”เป็นการปฏิวัติจากชนชั้นสูง” นั้น คุณก็ยอมอธิบายมาเองแล้ว ว่ามีที่มาจาก 3-4 แหล่ง จึงไม่ขอตอกย้ำ

3. และด้วยรากฐานทางความคิด “เสรีนิยม” ของชูพงศ์ จึงทำให้มองกลับไปอีกขั้วหนึ่งว่า ท่านทักษิณ , พรรคเพื่อไทย จะเป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติ โดยขาดการใช้วิจารณญาณ เพราะ ในสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ใช่สถานการปฏิวัติ ยังคงเป็นสถานการณ์ปฏิรูปอยู่ ท่านทักษิณจึงยังคงสามารถแสดงบทบาทหลักในการนำมวลชน และยังคงเป็น “แนวร่วม” กันได้ในระดับหนึ่ง จนกว่าจะเข้าสู่สถานการณ์ปฏิวัติซึ่งยังไม่สามารถกำหนดลงได้ว่าเมื่อไร ? เพียงแต่ได้อธิบายไว้ให้เป็นข้อสังเกตในบทที่ว่าด้วย “สถานการปฏิวัติ” แล้ว

3. ในหัวข้อ “การสร้างงานมวลชนพื้นฐาน และ มวลชนก้าวหน้า” มีเกณท์อะไรมาบอก ? หรือใช้ความรู้สึกมาอธิบาย ? แยกแยะกันย่างไร ? ภารกิจหน้าที่ควรเป็นอย่างไร ?

เมื่อปฏิวัติเสร็จแล้วมวลชนเดินหน้าต่อ...ในสังคมที่มีความสัมพันธ์กันแบบใด ? ผ่านเครื่องมืออะไร ?ตระเตรียมไว้อย่างไร ?
ในบทวิเคราะห์“ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ที่มีอิทธิพลอเมริกาครอบงำ” ไม่มีตรงไหนเลยที่เสนอ “การปฏิวัติสังคมนิยม” ชูพงศ์ไปอ่านเจอตรงไหน ?

3. ที่ว่า”จัดตั้งทางความคิด”นั้น ใช้ชุดความคิดใดเป็นเข็มทิศชี้นำ ? ใช้ความคิดการต่อสู้ทางชนชั้นไหม ? หรือ ให้คิดแค่ “รักความเป็นธรรม เพื่อประชาธิปไตย” ก็พอแล้ว ? หรือแค่ “เลื่อยน้ำแข็ง” ไปเรื่อยๆ ? เพราะจากชุดความคิดชี้นำเหล่านี้ จะนำไปสู่การกำหนด จัดวาง การทำการต่อสู้ต่อไป ขึ้นอยู่กับ จะใช้ “ชุดความคิด” ใดชี้นำ

4. ที่ว่า”การนำสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างสันติ”.....ในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนทั้งโลกมีที่ไหนบ้าง ? อาจจะยกเว้นไทยที่ต้องการเสนอ “รัฐบาลแห่งชาติ” ?????

5. ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีกว่าของประชาชนทั้งโลก ( ซึ่งหมายรวมถึง ทั้งการต่อสู้กับธรรมชาติ และ การต่อสู้ด้านความสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์ด้วยกันเอง ) ล้วนสืบทอดต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนาน ผ่านยุคสมัยต่างๆมาแล้วทั้งสิ้น ประสบการณ์ ความจัดเจน ต่างๆ ล้วนต้องผ่านการสรุปบทเรียน แล้วถ่ายทอดต่อจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งต่อไปอย่างต่อเนื่อง โลกและสังคมมนุษย์จึงล้วนพัฒนามาจาก องค์ความรู้ , ทฤษฎี เดิม พร้อมกับการต่อเติม นวัตกรรมใหม่ที่เป็นไปตามวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่.......

ผมจึงเห็นว่า ผม…. “ไม่ได้อธิบายทฤษฎีแบบจำขี้ปากเขามา” ส่วนชูพงศ์ไปจำขี้ปากใครมา เพราะภาษาเป็นของ กอรมน. และ พวกกระทิงแดงในยุคถูกล้างสมองจากศักดินา ซึ่ง สะท้อนถึงความอ่อนด้อยทางสติปัญญา ขาดการอ่านหนังสือ สนทนากับผู้มีความรู้หรือขาดการติดตามข่าวสาร , การสรุปบทเรียนของขบวนการสังคมนิยม รวมถึงองค์ความรู้ การบริหารจัดการ และการปกครองโดยชนชั้นกรรมาชีพ ที่มีความสามารถปกครองชนชั้นนายทุนและสามารถบริหารจัดการให้ประเทศประสพความสำเร็จเหนือก่วาประเทศทุนนิยมทั้งหลายที่เห็นแก่ตัว จนไม่สามารถจัดการระบบกรรมสิทธิ์ระหว่าง เอกชนและของสังคมได้ ซึ่งประเทศสังคมนิยมสามารถวางรากฐานการพัฒนาที่จะเข้าสู่สังคมนิยมในอนาคตได้อย่างมั่นคง ขอคุณชูพงศ์อย่าได้หลงงมงายว่า นักลัทธิ Marx โง่เขลา ซึ่งการกล่าวหาว่า ระบอบประชาธิปไตยเสรีของชนชั้นนายทุน จะ เหนือกว่าระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบของประชาชนในยุคสังคมนิยม

6. การจับคู่ความขัดแย้งพื้นฐานของการปฏิวัติ คือ ประชาธิปไตย ขัดแย้งกับ สังคม นิยม จึงเป็นความเข้าใจผิดทางวิชาการด้านรัฐศาสตร์อย่างโง่เขลายิ่ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่