เกร็ดสามก๊ก ๒๔ ก.ค.๕๖

กระทู้สนทนา
เกร็ดสามก๊ก

ทายาทมหาอุปราช

“ เล่าเซี่ยงชุน “


ในนิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก ของท่านเจ้าพระยาพระคลัง(หน) นั้น มีตัวเอกอยู่ตลอดทั้งเรื่องนับเป็นร้อย แต่ตัวละครที่มีแซ่เดียวกันเป็นจำนวนมากที่สุด น่าจะเป็นแซ่โจ และบุคคลที่ผู้อ่านจำได้แม่นยำที่สุด เพราะมีชื่ออ่านง่ายจำง่ายก็คือ โจโฉ มหาอุปราชผู้มีชื่อเสียงที่สุด ในจำนวนมหาอุปราชที่มีอยู่ด้วยกันหลายคน จากก๊กทั้งสามนั้น

โจโฉเกิดเมื่อประมาณ พ.ศ.๖๙๗ ที่เมืองตันลิว เป็นบุตรของ โจโก๋ ปู่ชื่อ โจเท้ง โจโฉมีนิสัยค่อนข้างเกเรมาตั้งแต่เด็ก ชอบเข้าป่าล่าสัตว์ ไม่ชอบทำงานทำการ พอใจฟังการร้องรำทำเพลง มีสติปัญญาความคิดอ่านว่องไวรวดเร็ว แต่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกล เมื่อโตเป็นหนุ่มสูงห้าศอก นัยตาเล็ก ไว้หนวดยาว มีบุคลิกที่จะเป็นผู้นำคน เมื่อปลายรัชสมัยพระเจ้าเลนเต้พวกเพื่อนฝูงก็ยกยอปอปั้นว่า แผ่นดินนี้เป็นจลาจลอยู่ หาผู้ใดมีสติปัญญาจะแก้ไขความทุกข์ยากเดือดร้อนเหล่านั้นได้ นอกจากโจโฉเท่านั้นที่พอจะแก้ไขปราบปรามความไม่สงบ ให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขได้ แม้แต่หมอดูก็ยังทำนายว่า เป็นคนมีปัญญามากจะป้องกันแผ่นดินได้อยู่ แต่มิได้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน จะเป็นศัตรูราชสมบัติ ซึ่งโจโฉก็ชอบใจในคำทำนายนั้นเสียด้วย

พออายุได้ยี่สิบปี โจโฉก็เข้าทำราชการ เป็นหัวหน้าทหารกองตระเวนของเมือง ลกเอี๋ยง ซึ่งเป็นเมืองหลวง และทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งเด็ดขาด โดยมิได้เห็นแก่หน้าผู้ใด จนมีคนนับถือยำเกรงมากขึ้น ต่อมาได้ไปปราบโจรโพกผ้าเหลืองที่เมืองเองฉวน จนเรียบร้อยราบคาบจึงมีความชอบ ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็นนายทหารคนสนิทของโฮจิ๋น ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร

เมื่อพระเจ้าเลนเต้สวรรคต หองจูเปียนพระราชบุตรองค์โตขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ก็เกิดเหตุวุ่นวายในพระราชวัง ด้วยมีขันทีสิบคนกุมอำนาจอยู่ โฮจิ๋นซึ่งเป็นพี่ชายของนาง โฮเฮามารดาของหองจูเปียน ได้เป็นมหาอุปราชแต่จัดการให้เกิดความสงบเรียบร้อยไม่ได้ จึงแจ้งให้หัวเมืองยกกองทัพเข้ามาปราบปรามขันทีเหล่านั้น ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่มีผู้ใดเห็นด้วย เพราะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน จึงเป็นโอกาสให้ตั๋งโต๊ะเจ้าเมืองซีหลงเข้ามาเป็นใหญ่ในเมืองหลวง หลังจากที่ โฮจิ๋นได้ถูกขันทีฆ่าตายไปแล้ว

ตั๋งโต๊ะปราบปรามขันทีและจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว ก็ถอดหองจูเปียนออกจากบัลลังก์ ตั้งให้หองจูเหียบน้องชายอายุเก้าขวบ ที่เกิดจากสนมเอกของพระเจ้าเลนเต้ เป็นฮ่องเต้ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ และตนเองก็เป็นมหาอุปราชว่าราชการแทน แล้วก็ถืออำนาจทำการหยาบช้าต่าง ๆ

โจโฉรับอาสาพวกขุนนางที่จงรักภักดี จะไปฆ่าตั๋งโต๊ะแต่ไม่สำเร็จ ต้องหนีเตลิดไปรวบรวมพลอาสาสมัครที่เมืองตันลิว เข้ามารบกับตั๋งโต๊ะแต่ก็ไม่สำเร็จอีก จึงต้องหลบไปตั้งตัวที่เมืองกุนจิ๋วทางภาคตะวันออก ต่อมาตั๋งโต๊ะต้องตายไปด้วยฝีมือของลิโป้ลูกเลี้ยงของตนเอง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีรับสั่ง ให้โจโฉยกกองทัพเข้ามาปราบปราม ลิฉุยกุยกี สองลูกน้องคนสนิทของตั๋งโต๊ะที่ยึดครองเมืองลกเอี๋ยงได้สำเร็จ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงแต่งตั้งให้เป็นมหาอุปราช ว่าราชการทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ เมื่อมีอายุประมาณสามสิบหกปี

โจโฉมีบุตรชายห้าคน คนโตเกิดจากนางเล่าซีชื่อโจงั่ง ได้ติดตามบิดาไปรบที่เมืองอ้วนเสีย แต่โจโฉมัวไปหลงเสน่ห์นางเจ๋าซือ แม่ม่ายผู้ทรงเสน่ห์ จนเสียทีถูกข้าศึกลอบโจมตีแตกพ่ายแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ได้โจงั่งช่วยพาบิดาหนีจนตนเองต้องเสียชีวิต ที่ริมแม่น้ำหยกซุย

อีกสี่คนเกิดจากนางเปียนซี คนแรกชื่อโจผี เมื่อเล็กมักจะร้องไห้ขอตามไปทัพด้วย เมื่อโตขึ้นเป็นคนหนักแน่น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม รอบคอบและลึกซึ้ง เมื่อยังหนุ่มได้ไปรบร่วมกับบิดา ในการปราบปรามอ้วนเสี้ยวที่เมืองเงียบกุ๋นจนได้ชัยชนะ และได้นางเอียนซีแม่ม่ายลูกสะใภ้ของอ้วนเสี้ยวมาเป็นภรรยาคนแรก

คนที่สองชื่อโจเจียง เป็นคนชอบขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ มีกำลังยิ่งกว่าคนทั้งหลาย โจโฉเคยแกล้งว่าความรู้อย่างนี้ มีประโยชน์สำหรับผู้มีกำลังอย่างเดียว ไม่มีเกียรติยศเลื่องลือ เหมือนผู้เรียนรู้หนังสือ โจเจียงก็เถียงว่าการรบนั้นเป็นวิชาของลูกผู้ชาย หากคุมทหารได้ถึงสิบหมื่น ก็จะหาความชอบรักษาแผ่นดิน ได้ดีกว่าผู้ที่รู้หนังสือเสียอีก โจโฉจึงลองใจว่าเมื่อเป็นนายทหารออกสงครามจะทำประการใด โจเจียงก็ว่าตนจะใส่เสื้อเกราะถืออาวุธออกหน้าทหารทั้งปวง ถึงคราว อับจนก็จะยอมตาย ไม่อาลัยแก่ลูกเมีย ทหารผู้ใดมีความชอบในสงครามก็จะปูนบำเหน็จให้ ผู้ใดผิดก็จะประหารชีวิตเสีย โจโฉก็ชอบใจต่อมาจึงใช้ให้ไปปราบขบถที่เมืองไตกุ๋น โจเจียงก็จัดการได้สำเร็จ และกลับมาช่วยโจโฉ คราวที่รบกับเล่าปี่และแตกพ่ายมาจากด่านเองเปงก๋วน ได้ทันท่วงที

คนที่สามชื่อโจสิด เป็นนักกวีชอบเขียนโคลงพรรณาเรื่องราว และคำอวยพรต่างๆ แต่เป็นคนชอบเสพสุรา ความคิดไม่รอบคอบและวาจาไม่น่าเชื่อถือ โจโฉเคยคิดว่าบุตรคนนี้มีสติปัญญาดี แต่ภายหลังได้ทราบว่า มีผู้คอยสั่งสอนให้ทำการต่าง ๆ ไม่ใช่ความคิดของตนเอง

คนที่สี่ชื่อโจหิม เป็นคนเงียบขรึม และมีความโลภ ทั้งที่สติปัญญาไม่ดีแต่ก็ไม่เสียหายประการใด

บุตรคนสุดท้องเป็นหญิง ไม่แจ้งว่าผู้ใดเป็นมารดา ชื่อเดิมว่าอย่างไรก็ไม่ปรากฎ แต่ภายหลังเมื่อโจโฉจับได้ว่านางฮกเฮามเหสีของพระเจ้าเหี้ยนเต้ สมคบกับบิดาคิดร้ายต่อตนเอง จึงจับมาฆ่าเสียหมดทั้งโคตร รวมทั้งบุตรที่เกิดกับฮ่องเต้อีกสองคนด้วย แล้วก็ยกบุตรสาวคนสุดท้องนี้ ให้เป็นมเหสีฮ่องเต้ใช้ชื่อว่านางโจฮองเฮา

โจโฉได้ยกกองทัพไปทำสงครามปราบปราม หัวเมืองที่ไม่ยอมอ่อนน้อมจนเกือบหมด เหลืออยู่แต่ก๊กของเล่าปี่ที่เมืองเสฉวน กับก๊กของซุนกวนที่เมืองกังตั๋งเท่านั้น พออายุประมาณห้าสิบสองปี ก็ได้เลื่อนเป็นวุยก๋ง เทียบเท่าเจ้าต่างกรม พออายุประมาณหกสิบสองปีก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นวุยอ๋อง เทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน

คราวนี้โจโฉชักจะห่วงสังขารของตนเอง จึงตั้งให้โจผีเป็นทายาทตามประเพณี เรียกว่าเจ้าชีจู๊ และอยู่ต่อมาอีกสี่ปีจนอายุได้หกสิบหก ก็ถึงแก่ความตายด้วยโรคปวดศรีษะ เมื่อ พ.ศ. ๗๖๓ ต่อมาอีกพันกว่าปีจึงมีนายแพทย์แผนปัจจุบัน วิเคราะห์ว่าเป็นโรคเนื้องอกในสมอง

โจผีก็ได้ตำแหน่งวุยอ๋องสืบแทนบิดาตามประเพณี ขณะที่กำลังเลี้ยงฉลองตำแหน่งกันอยู่ โจเจียงน้องชายคนรองก็ยกทหารสิบหมื่นมาฟังข่าว แต่เห็นว่าพี่ชายได้เป็นทายาทของบิดาถูกต้องตามธรรมเนียมแล้ว ก็ยอมอ่อนน้อมยกกองทหารที่นำมา ให้เป็นกำลังของพี่ชายต่อไป เมื่อช่วยงานศพโจโฉเรียบร้อยแล้ว โจเจียงก็กลับไปเป็นเจ้าเมืองเอียงเหลงตามเดิม

ส่วนโจสิดกับโจหิมนั้นไม่สนใจ ว่าพี่ชายจะเป็นใหญ่เป็นโตอย่างไร ไม่ยอมมาคำนับอ่อนน้อม โจผีจึงให้นายทหารเอกของบิดา ไปจับเอาตัวมาสอบถาม โจหิมตกใจกลัวอาญาจึงแอบไปผูกคอตายเสียก่อนที่จะถูกจับ แต่โจสิดไม่วิตกหวั่นไหวแต่ประการใด คงเสพสุราอยู่กับลูกน้องคนสนิทสองคน จนกระทั่งเมาหลับนอนกลิ้งอยู่ จึงถูกจับมัดใส่เกวียนเอามาให้โจผีชำระความผิด โจผีก็สั่งประหารลูกน้องทั้งสองเสีย และให้เอาตัวโจสิดไปใส่คุกไว้ก่อน

นางเปียนซีมารดาได้ทราบเรื่อง จึงมาขอร้องโจผีไม่ให้ฆ่าน้อง โจผีก็รับปากกับมารดา แล้วก็นำตัวโจสิดมาไต่สวน โจสิดก็มิได้เกรงกลัวพี่ชาย โจผีจึงให้โจสิดแต่งโคลงมาให้ได้บทหนึ่ง ภายในชั่วระยะเวลาที่ก้าวเดินไปเพียงเจ็ดก้าว โจสิดก็สามารถทำได้และเป็นโคลงที่มีชื่อเสียงมากบทหนึ่ง มีความตามสำนวนของท่านเจ้าพระยาว่า

ถั่วคั่วเอากิ่งถั่วมาเป็นฟืนใส่ไฟ
เมล็ดถั่วในกระทะจะไหม้ก็เพราะกิ่งถั่ว
ต้นรากอันเดียวกันนั่นเอง
เหตุใดจึงเร่งไฟให้หนักนัก

โจผีได้ฟังก็ซาบซึ้งถึงความรักระหว่างพี่น้อง ทั้ง ๆ ที่ในโคลงบทนั้นไม่ได้ออกชื่อพี่น้องคนใดเลย จึงยกโทษให้แต่ก็เนรเทศไปเป็นเจ้าเมืองอันเหียง ซึ่งอยู่ไกลมาก และทั้งโจเจียงกับโจสิด ก็ไม่ได้กลับมาเห็นหน้าพี่ชายอีกเลยตราบจนสิ้นชีวิต

อยู่มาไม่ถึงปี ขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ที่เป็นพวกพ้องของโจโฉ ก็เข้ายึดอำนาจจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ บังคับให้มอบราชสมบัติให้แก่โจผี ฮ่องเต้ไม่มีผู้ที่จงรักภักดีเหลืออยู่เลย จึงต้องจำยอมมอบตราประจำองค์พระมหากษัตริย์ และพระแสงกระบี่อาญาสิทธิ์ ให้โจผีขึ้นครองบัลลังก์เป็นพระเจ้าอวยโซ่ แล้วก็ตั้งให้พระเจ้าเหี้ยนเต้หรือ หองจูเหียบ เป็นซันเอียงก๋ง พาภรรยาคือนางโจเฮาไปอยู่ที่ตำบลซันเอี๋ยง จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

โจผีได้สร้างกุฏิสำหรับฝังศพบิดา ให้มีช่องถึงเจ็ดสิบสองช่อง ตามที่โจโฉได้สั่งไว้ก่อนตาย ด้วยเกรงว่าจะมีผู้ที่เกลียดชัง มาขุดเอากระดูกไปประจานให้เสียชื่อเสียง เมื่อโจผีได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ก็จารึกนามบนที่ฝังศพของบิดาว่า พระเจ้าไทล่อฮูฮ่องเต้

เมื่อเป็นฮ่องเต้โจผีก็ได้นางกุยฮุยเป็นมเหสีรอง นางนั้นมีรูปงามโจผีก็รักมากเป็นพิเศษ กุยเฮงผู้บิดามีความทะเยอทะยาน อยากให้บุตรสาวได้เป็นใหญ่ จึงคบคิดกับขันทีทำอุบายว่านางเอียนซีทำเสน่ห์เล่ห์กล แล้วพาพระเจ้าโจผีไปจับได้ จึงต้องโทษถึงประหารชีวิต แต่นางกุยฮุยไม่มีบุตรก็รักใคร่โจยอยบุตรนางเอียนซี ที่เกิดกับพระเจ้าโจผีเป็นอันมาก

พระเจ้าอวยโซ่ฮ่องเต้ หรือโจผีครองราชสมบัติ ที่แย่งชิงเอามาจากราชวงศ์ฮั่น ตั้งเป็นราชวงศ์วุยอยู่เป็นเวลาเพียงเจ็ดปี ยกทัพไปตีเมืองเสฉวนของพระเจ้าเล่าเสี้ยน ทายาทของพระเจ้าเล่าปี่แห่งจ๊กก๊ก ก็ไม่ชนะ ยกทัพไปตีเมืองกังตั๋งของพระเจ้าซุนกวนแห่งง่อก๊กสองครั้ง ก็พ่ายแพ้ จนถึง พ.ศ.๗๖๙ เดือนแปดก็ประชวรลง หมอหลวงรักษาเท่าใดก็ไม่ทุเลา จึงเรียกขุนนางผู้ใหญ่สามคนเข้ามาเฝ้า แล้วปรารภว่าบัดนี้ตัวเราป่วยหนักเห็นจะไม่รอดแล้ว เราคิดวิตกด้วย โจยอยยังหนุ่มแก่ความนักอยู่ ถ้าเราหาบุญไม่แล้ว ท่านทั้งสามเคยทำราชการกับเราฉันใด จงช่วยเอาใจใส่ราชการบ้านเมือง ทำนุบำรุงบุตรเราเหมือนฉะนั้นเถิด

ขุนนางทั้งสามก็ปลอบว่าจะตั้งใจทำการสนองคุณไปตราบเท่าสิ้นชีวิต พอดีกับมีขุนนางแซ่โจอีกคนหนึ่ง จากภาคตะวันออกเข้ามาเฝ้า พระเจ้าโจผีก็ทรงพระกันแสงตรัสว่า ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ช่วยปราบปรามข้าศึกมาแต่เมืองฮูโต๋ยังไม่ตั้งมั่นได้ จนใหญ่หลวงเป็นสุขขึ้นถึงเพียงนี้ บัดนี้เรายังไม่แก่ชรานัก อายุได้สี่สิบปีพึ่งครองราชสมบัติได้เจ็ดปี โรคภัยก็เบียดเบียนนัก เห็นจะสิ้นอายุเสียมั่นคงแล้ว ท่านอยู่ภายหลังจงช่วยทำนุบำรุงบุตรเราโดยสุจริต ให้เราสิ้นวิตกด้วยเถิด พอขาดคำพระเจ้าโจผีก็สวรรคต

ทายาทของโจโฉ มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็หมดสิ้นเชื้อสายลงเพียงนี้ แต่ราชวงศ์วุยยังสืบทอดต่อไปอีกสี่คน คือโจยอย โจฮอง โจมอ และโจฮวน เป็นเวลาสามสิบเก้าปี จนถึง พ.ศ.๘๐๘ จึงได้ถูกยึดอำนาจ และเปลี่ยนเป็นราชวงศ์จิ้น

แผ่นดินจีนที่ถูกแบ่งแยกออกเป็นสามก๊ก ก็กลับรวมกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวดังเดิมเมื่อ พ.ศ.๘๒๓


##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่