เราเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ พ่อทิ้งแม่ไปมีเมียน้อยตั้งแต่เด็ก เหตุผลคือแม่ขี้บ่น (มาก) พ่อทนไม่ไหว ยายแท้ ๆ เลี้ยงเรามา แต่เงินที่ส่งเสียเป็นเงินพ่อเกือบทั้งหมด แม่บ้าง ยายบ้าง แล้วแต่ช่วงนั้นใครเหลือ ตอนเด็กไม่ได้เรียกร้องงอแงเรื่องพ่อเลย เพราะรับรู้พอที่จะเข้าใจได้ และอยู่กับยายมีความสุขดี เพราะช่วงแรก ๆ แม่ไม่อยู่ด้วย จะไปทำงานที่อื่น พร้อมกับไปตามพ่อกลับบ้านแต่ไม่สำเร็จ พอเข้ามัธยม แม่เบื่อที่ตามพ่อเลยกับมาอยู่บ้านพร้อมเอาเราไปเลี้ยงดู (ก็เข้าใจว่าเลี้ยงดู) ยายจัดการเรื่องบ้านให้อยู่เป็นสัดส่วน จะว่าแม่ดูแลเราหรือไม่ ก็ดูแลในส่วนนึงของผู้ใหญ่ ซึ่งตอนเราอยู่กับยายเราดูและตัวเองอยู่แล้วเพราะยายจะไม่เซ้าซี้มาก เพราะโตแล้ว คิดเองได้ก็คิด ทำไม่ได้ค่อยถาม ซึ่งเรามีชีวิตที่เรียบง่ายแบบเด็ก ๆ ไปวัน ๆ พอแม่มาอยู่ด้วยแม่ก็ไม่ได้จัดการชีวิตเรามาก แต่แม่กรอกความเกลียดชังพ่อใส่หัวเราทุกวัน (เราไม่ได้ใส่ใจ แต่ลำราญหู) ตั้งแต่แม่เข้าดูแลเรา เราก็เหมือนมีภาระ(อันหนักหน่วง) คือ ตื่นแต่เช้าทำกับข้าว ทำงานบ้านก่อนไป รร เรียนเสร็จกลับทำกับข้าว สักชุดนร ทำงานบ้าน ทำการบ้าน แล้วนอน เป็นกิจวัตร ซึ่งกว่าจะได้นอน ประมาณห้าทุ่มของทุกวัน (แม่เราไม่แตะงานบ้านเลยเจ้าค่ะ) ทำแต่งานที่ได้ตังค์ แต่เงินที่เลี้ยงดูและกินทุกวันยังเป็นของพ่ออยู่นะทั้งหมดเลย ค่าเรียน ค่าเทอม ค่าขนม ค่ากินของแม่กับเรา เงินที่แม่ทำงานได้แม่เก็บหมดเลย (อันนี้ไม่ว่ากัน) ตอนไปรับส่งที่รร แน่นอนว่ามีแม่เพื่อน ๆ มารับต้องคุยกันบ้างไรบ้าง แต่แม่เราพูดตรงข้ามความเป็นจริงหมดเลย แม่บอกว่าเราถูกเลี้ยงอย่างคุณหนูเพราะเราเป็นลูกรักของยายไม่ใช่ลูกเขา (ฮ่ะ แล้วแม่มาขอยายไปเลี้ยงไมอ่ะ) แต่ก็ได้แต่สงสัย เวลาเพื่อนไปทัศนศึกษากัน ต้องมีใบยินยอมจากผู้ปกครอง เราให้ยายเซ็นตลอด อิอิอิ ยายก็จะถามนิด ๆ หน่อย ๆ ไปกับใคร ไปกี่คน กลับวันไหน ไปไกลแค่ไหน ครูไปด้วยป่าว แต่ถ้าแม่เรานะ ไปทำไม ไร้สาระ ทัศนศึกษาบ้าบออะไรไปตอนกลางคืน (ก็มันเช้าที่นู้นไงแม่) ไม่อ่ะ ไม่ต้องไปอย่บ้านนี้แหละ (หนูอยากไปดูบ้านเมืองเขานี่แม่) แม่อารมณ์ขึ้น ตกลงจะไปจริง ๆ ใช่ไหม ไม่หวงกูเลยใช่ไหม เป็นไรขึ้นมากูอยู่ไงคิดถึงแต่ตัวเอง (ฮ่ะ แม่หนูไปทัศนศึกษา ไปได้ไปรบ ไม่ตายหลอก !!!!) แม่ก็จะเงียบไปร้องไห้ (กูผิดใช่ไหมเนี้ย??) แล้วยายก็จะมาเคลียร์ บลา บลา ๆ ๆ ๆ แล้วทุกครั้งก็จะได้ยินว่าแม่พูดว่า " ไม่เคยมีใครเข้าใจกูเลย กูผิดทุกอย่าง " (ไม่รู้ยายเคลียร์ยังไง) สรุปก็ได้ไปทัศนศึกษาสมใจ แต่ก็รู้สึกไม่สบายที่ แม่ต้องดร่าม่าขั้นนั้นด้วย เก็บความสงสัยนั้นไว้ และมันเหมือนเทปเล่นซ้ำ ๆ ๆ ๆ จบเข้าเรียน ปวส. ที่อยู่ต่างอำเภอ เราอยู่หอได้ แต่ขอเทียวกลับก่อน เพราะคิดถึงบ้าน ถ้าไม่ไหวจะอยู่หอ แต่แม่ไม่ยอมจะไปอยู่ด้วยโดยหาบ้านเช่าให้เรียบร้อย (ไม่ได้คิดเองเลยตู) เงินใครนั้นไม่ต้องสนใจ เงินพ่อหนูสิค่ะ หมดเกือบ 20,000 บาท พ่อลากเลือดเลย เวลา 2 ปีที่เรียนต่างอำเภอเรารู้สึกอึดอัด แต่ทนได้ เพราะมีเพื่อนมาเรียนด้วย อยู่ไปประมาณ 2 เดือน เพิ่งทราบข่าวว่ามีอาจารย์หนุ่มหล่อข้างบ้านเป็นเจ้าของบ้านที่เราเช่าอยู่ อ๊าก!!!! หล่อลากไส้ แต่เด๋วก่อนนั้นเป็นแค่แว็บแรกที่เห็น แต่หลังจากนั้น ไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อ แต่อาจารย์เป็นใจดีมาก แต่อยู่ด้วยทำไมไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่เลย ไม่มีสักกะติ๊ดนุง รู้สึกเหมือนอยู่กับคุณน้า คุณอา คุณลุง 5555+ แต่แม่จะมีความรู้สึกมาก เพราะแม่เป็นแม่หม้ายเนอะ ธรรมดา แม่จะชอบอาจารย์คนนี้มาก เราอึดอัดที่แม่แสดงออกบ้างครั้งไม่เป็นผู้ใหญ่ ไม่เป็นตัวของตัวเอง และไม่น่าเคารพในบ้างที เช่น เวลามีกิจกรรม ที่เราต้องทำเป็นกลุ่มร่วมกับอาจารย์ ตกเย็นมา แม่จะทำตาเขียวใส่
แม่ : ไปทำสงตีนอะไรกับเขามา (?????? อะไรหรือ)
เรา : ทำกิจกรรม บลา ๆ ๆ ๆ ไงแม่ ต้องทำร่วมกันแม่
แม่ : แม่ทำไมไม่ชวนกูไปด้วย
เรา : แม่เป็นนักศึกษาป่าวหล่ะ
แม่ : ไม่เกี่ยว ที่กูไม่เห็นชวนกูทำกิจกรรม กิจกรรมไรกับนักศึกษา
เพื่อน ๆ : แม่เป็นไรเนี้ย!!!!
เรา : กูก็ไม่เข้าใจว่ะ อธิบายไม่ได้
แล้วก็เป็นอย่างนี้ตลอด สองปีที่เรียน จนเราไม่ค่อยได้พูดกันมาก เพราะพูดไปก็ไม่เข้าใจกัน จนวันที่เราจะต้องกลับบ้านเพราะเรียบจบแล้ว เราอยากกลับบ้านไปหายาย คิดถึงความเงียบสงบของบ้าน แต่!!!!!! แม่ไม่ยอมกลับบ้าน!!!!! ทำไงหล่ะทีนี้ เดือดร้อนคุณยายสิค่ะ โทรมาด้วยความกระวนกระวาย จะพาหลานกูกลับได้ยังอี...... หลานกูไม่เรียบจบไม่ต้องหางานทำไง พอวันรุ่งขึ้นก็มากับน้า มารับเรา เราเก็บของเรียบร้อยขึ้นรถในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แม่ไม่ยอมกลับ
เรา : แม่อยู่ที่นี้ก็ได้นะ แต่หนูขอกลับไปทำงานแถวบ้าน
แม่ : หางานแถวนี้ให้กูก่อนสิแล้วค่อยกลับ
เรา : หนูไม่ใช่คนแถวนี้นะแม่ แล้วมันก็ไกลบ้าน ถ้าแม่อยู่ที่นี้ แล้วแม่ไม่มีงานจะอยู่ได้ไง หมดดโคต้าขอตังค์พอแล้วนะ หนูเรียนจบแล้วอ่ะ
ถ้าหนูทำงาน แม่ไม่อยู่ใครจะดูแลยาย
แม่ : รถด่วนขบวนสุดท้ายกูอยู่ที่นี้
เรา : รถด่วนอะไร รถเมย์ รถตู้ก็มี (แกล้งอำไป) เราก็เลยแกล้งพูดไปว่า ถามเขาหรือยังว่าเขาคิดยังไง รักชอบกันไม่เคยว่าแต่คิดเองเออเองอยู่คนเดียว ก็กลับบ้านเถอะ คนดีดีมีอีกมากมาย
แม่ก็ยอมกลับบ้าน
กลับมาหางานทำที่บ้านได้บริษัท ฯ เอกชนที่ให้เงินค่อนข้างดี และใกล้บ้านด้วย และมันก็ดีมากตรงที่เราเจอคนร่วมทางชีวิตที่เหลืออยู่ พอไปเจอแม่
เรา : พี่นี่แม่ นี่ยาย นี่ตา
แม่เราเฉย ๆ ยายมองเล่ง ๆ ตาก็มองงั้น ๆ สรุปโอเค ไม่มีใครค้านสักคน คบกันไปสักพัก เราเริ่มทำงานหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว คือแม่กลับบ้านมาแม่ไม่แตะงานบ้านเหมือนเดิม และไม่ยอมทำงานที่ได้ตังค์ด้วย เช้าเราต้อง ทำกลับข้าว ไปทำงาน กลับมาทำงานบ้าน ทุกอย่าง บางครั้งเราทำงานจนดึก แต่แม่ไมยอมหาข้าวกิน เราก็ต้องรีบกลับไปหุงข้าวให้ หากับข้าวให้ เราก็ถามบอกว่า กับข้าวก็มีไม่ทำล่ะแม่ ทนหิวทำไม อะไรที่ทำได้ก็ทำ ๆ ไปก่อนเถอะ จะกอดคอกันตายหรอ แม่ก็พูดมาคำเดียวว่า เป็นหน้าที่ อย่าเอาเปรียบกูให้มาก (เราทำไรผิดว่ะ) ทำงานก็ได้เงินเพิ่มขึ้นตามลำดับ แม่ก็จะคอยถามทุกเดือนว่า
แม่ : เงินเดือนออกยัง
เรา : ออกแล้ว
แม่ : กูครึ่งนึง
เรา : หา!!! ทำไรเยอะแยะแม่
แม่ : กูมีเรื่องต้องใช้
เรา : แล้วหนูอ่ะ ค่าน้ำ ค่าไฟ ผ่อนมอไซค์ ค่ากับข้าว ค่าขนม ค่าน้ำมัน ไม่ใช่ภาระเหรอ!!!
แม่ : จะเอาเปรียบกูมากไปแล้วนะ กูเลี้ยงมาก็ดีแค่ไหนแล้ว
เรา : ไม่ได้ขอให้เลี้ยงนี้ (คิดในใจ T^T)
แต่เราก็ให้นะ แต่ให้เท่าที่ให้ได้เราไม่เดือดร้อนเค้าจะด่าๆๆๆๆๆๆๆๆว่าได้น้อยแต่ต้องยอมโดนด่า เพราะเราขอใครไม่ได้นี่นา เราเคยฝากเงิยไปกับแม่เพราะเห็นคนอื่นเขาทำ พอแม่ไม่ใช้เงินหนูฟุ่มเฟื่อยหลอกเก็บเงินไว้กับพ่อกับแม่ได้ แต่เดี๋ยวก่อนกับแม่ฉันมันไม่ใช่ ฉันจดทุกครั้งที่ฉันจะเงินฝากไว้กับแม่ มีครั้งนึงที่ฉันไปดาวน์รถ ฉันจำได้มีเงินเก็บกับแม่ เกือบหมื่น เลยขอถอน โดนด่าเลยค่ะ คิดว่ากูจะมีให้หรอ ที่กินที่ใชอยู่ทุกวันนี้เงินใคร (อั๊ยย๊ะ เงินหนูไงแม่) หรอ คิดว่าเงินหรอ เงินที่ให้กูเก็บคือเงินที่กูควรจะได้จากนะ (อะไรนะ แล้วที่ให้อยู่ทุกเดือนอ่ะ) คิดว่าพอใช้ไง (แม่ใช่อะไร) กูมีเรื่องต้องใช้แล้วกัน (อั๊ยย่า!!!! เซง ๆ ) สุดท้ายไปขอตังค์พ่อ ขอตังค์ดาวน์หน่อย เด๋วผ่อนเอง พ่อก็ใจดีให้ เพราะได้ค่างวดก่อสร้างพอดี หลังจากวันนั้นเราไม่ฝากเงินกับแม่ แต่เราเอาเงินไปซ่อนเก็บไว้ จนวันนึงเรามีเรื่องต้องใช้ ไปเปิดดูเงินหาย เลยถามแม่ว่า แม่เอาเงินหนูไปหรอ แม่ตอบง่าย ๆ ว่าใช่ เพราะกูจะอดตายอยู่แล้ว กูควรจะใช้ตังค์ส่วนนี้ (ขอดีดีก็ได้นี่แม่) แม่เงียบแล้วไปนั่งร้องไห้ จนยายเดินมาถาม ยายก็ว่าแม่ บลา ๆ ๆๆ ๆๆ ๆ จนได้ยินคำพูด เดิม ๆ เราก็ไม่เคยซ่อนตังค์อีก แล้วเอาไปฝากธนาคาร จนมาปัจจุบันที่ร้านขาดคนงาน เราจนคิดว่าแม่อยู่ว่าง เอามาช่วยงานตรงนี้คงจะดี ได้เงินจะได้ไม่ฟุ่งซ่านมาก แม่ทำงานสตาร์ท หกพัน แพงว่าเรา สองเท่าตอนทำงานใหม่ ๆ แต่ก็ดีว่าไม่มีตังค์ หมดปัญหาไป 1 เรื่องขอเงินไม่ขอแล้ว แต่ภาระทุกอย่างให้บ้านแม่ก็ไม่เคยช่วยสักบาท แถมด่าเราอีกว่า ที่เคยให้ก็ไม่ให้ อกตัญญู (เครียดหนักกว่าเดิม) ก็มีรายได้แล้วอ่ะ จะเอาไรอีก หนูขอตั้งต้นชีวิตสักทีเถอะ ด้วยความที่เราเป็นเลขา ผจก แม่เรายิ่งว่างอำนาจในบริษัทฯ ใหญ่เลย เครื่องคอมที่เราเคยทำงานแม่ยึด บอกว่า เครื่องของกูควรได้ใช้ ไปขอเจ้านายใหม่สิ (จะบร้าหรอ ใครจะให้) เราต้องมาใช้โน๊ตบุคทำงาน เจ้านายมาเห็นก็พูดอะไรไม่ได้มาก แต่จะออกคำสั่งเองว่า คุณอยู่ที่นี้ ลูกคุณมีตำแหน่งใหญ่กว่าคุณ คุณต้องเชื่อฟังลูกคุณ กลับบ้านคุณยังเป็นแม่ลูกกันเหมือนเดิมจริงไม่ครับ (เรา : มันก็จริง แต่มันจะไม่จบ) แม่ยิ่งอารมณ์เสีย ทำงานให้มัน มันเห็นหัวกูไหม กูเป็นแม่นะ (แต่เขาให้เงินเดือนหนูนะ หนูต้องเชื่อเขาดิ) ทุกวันนี้ยังเป็นอยู่ ภาระยังคงอยู่ เลี่ยงได้ แต่หนีไปไม่ได้เพราะห่วงยายมาก ท่านแก่แล้ว อยากให้เราอยู่ด้วย อยากให้เรารีบแต่งงาน แล้วมีหลาน อยากบอกยายว่า หนูก็อยากมี แต่ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้หนูก็เหมือนย่ำอยู่กับที่ ทางออกตอนนี้คือ ลาออกจากงาน ให้แม่ทำในสิ่งที่แม่อยากทำและอยากเป็น แล้วเราหางานที่เรารักทำ ถ้าพี่เขาอยู่กับเราด้วยสู้ได้เสมอ เราไม่เคยอยากทิ้งใคร แต่ขอแบ่งส่วนออกมาอยู่แยกต่างหาก เพื่อลดความขัดแย้งลง มันรู้สึกบาปนะ แต่ไม่อยากบาปไปมากกว่านี้ที่กลัวจะพูดหรือทำอะไรลงไปมากกว่านี้ค่ะ
เรื่องเล่า เมื่อเราอยู่กับแม่ แบบนี้
แม่ : ไปทำสงตีนอะไรกับเขามา (?????? อะไรหรือ)
เรา : ทำกิจกรรม บลา ๆ ๆ ๆ ไงแม่ ต้องทำร่วมกันแม่
แม่ : แม่ทำไมไม่ชวนกูไปด้วย
เรา : แม่เป็นนักศึกษาป่าวหล่ะ
แม่ : ไม่เกี่ยว ที่กูไม่เห็นชวนกูทำกิจกรรม กิจกรรมไรกับนักศึกษา
เพื่อน ๆ : แม่เป็นไรเนี้ย!!!!
เรา : กูก็ไม่เข้าใจว่ะ อธิบายไม่ได้
แล้วก็เป็นอย่างนี้ตลอด สองปีที่เรียน จนเราไม่ค่อยได้พูดกันมาก เพราะพูดไปก็ไม่เข้าใจกัน จนวันที่เราจะต้องกลับบ้านเพราะเรียบจบแล้ว เราอยากกลับบ้านไปหายาย คิดถึงความเงียบสงบของบ้าน แต่!!!!!! แม่ไม่ยอมกลับบ้าน!!!!! ทำไงหล่ะทีนี้ เดือดร้อนคุณยายสิค่ะ โทรมาด้วยความกระวนกระวาย จะพาหลานกูกลับได้ยังอี...... หลานกูไม่เรียบจบไม่ต้องหางานทำไง พอวันรุ่งขึ้นก็มากับน้า มารับเรา เราเก็บของเรียบร้อยขึ้นรถในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แม่ไม่ยอมกลับ
เรา : แม่อยู่ที่นี้ก็ได้นะ แต่หนูขอกลับไปทำงานแถวบ้าน
แม่ : หางานแถวนี้ให้กูก่อนสิแล้วค่อยกลับ
เรา : หนูไม่ใช่คนแถวนี้นะแม่ แล้วมันก็ไกลบ้าน ถ้าแม่อยู่ที่นี้ แล้วแม่ไม่มีงานจะอยู่ได้ไง หมดดโคต้าขอตังค์พอแล้วนะ หนูเรียนจบแล้วอ่ะ
ถ้าหนูทำงาน แม่ไม่อยู่ใครจะดูแลยาย
แม่ : รถด่วนขบวนสุดท้ายกูอยู่ที่นี้
เรา : รถด่วนอะไร รถเมย์ รถตู้ก็มี (แกล้งอำไป) เราก็เลยแกล้งพูดไปว่า ถามเขาหรือยังว่าเขาคิดยังไง รักชอบกันไม่เคยว่าแต่คิดเองเออเองอยู่คนเดียว ก็กลับบ้านเถอะ คนดีดีมีอีกมากมาย
แม่ก็ยอมกลับบ้าน
กลับมาหางานทำที่บ้านได้บริษัท ฯ เอกชนที่ให้เงินค่อนข้างดี และใกล้บ้านด้วย และมันก็ดีมากตรงที่เราเจอคนร่วมทางชีวิตที่เหลืออยู่ พอไปเจอแม่
เรา : พี่นี่แม่ นี่ยาย นี่ตา
แม่เราเฉย ๆ ยายมองเล่ง ๆ ตาก็มองงั้น ๆ สรุปโอเค ไม่มีใครค้านสักคน คบกันไปสักพัก เราเริ่มทำงานหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว คือแม่กลับบ้านมาแม่ไม่แตะงานบ้านเหมือนเดิม และไม่ยอมทำงานที่ได้ตังค์ด้วย เช้าเราต้อง ทำกลับข้าว ไปทำงาน กลับมาทำงานบ้าน ทุกอย่าง บางครั้งเราทำงานจนดึก แต่แม่ไมยอมหาข้าวกิน เราก็ต้องรีบกลับไปหุงข้าวให้ หากับข้าวให้ เราก็ถามบอกว่า กับข้าวก็มีไม่ทำล่ะแม่ ทนหิวทำไม อะไรที่ทำได้ก็ทำ ๆ ไปก่อนเถอะ จะกอดคอกันตายหรอ แม่ก็พูดมาคำเดียวว่า เป็นหน้าที่ อย่าเอาเปรียบกูให้มาก (เราทำไรผิดว่ะ) ทำงานก็ได้เงินเพิ่มขึ้นตามลำดับ แม่ก็จะคอยถามทุกเดือนว่า
แม่ : เงินเดือนออกยัง
เรา : ออกแล้ว
แม่ : กูครึ่งนึง
เรา : หา!!! ทำไรเยอะแยะแม่
แม่ : กูมีเรื่องต้องใช้
เรา : แล้วหนูอ่ะ ค่าน้ำ ค่าไฟ ผ่อนมอไซค์ ค่ากับข้าว ค่าขนม ค่าน้ำมัน ไม่ใช่ภาระเหรอ!!!
แม่ : จะเอาเปรียบกูมากไปแล้วนะ กูเลี้ยงมาก็ดีแค่ไหนแล้ว
เรา : ไม่ได้ขอให้เลี้ยงนี้ (คิดในใจ T^T)
แต่เราก็ให้นะ แต่ให้เท่าที่ให้ได้เราไม่เดือดร้อนเค้าจะด่าๆๆๆๆๆๆๆๆว่าได้น้อยแต่ต้องยอมโดนด่า เพราะเราขอใครไม่ได้นี่นา เราเคยฝากเงิยไปกับแม่เพราะเห็นคนอื่นเขาทำ พอแม่ไม่ใช้เงินหนูฟุ่มเฟื่อยหลอกเก็บเงินไว้กับพ่อกับแม่ได้ แต่เดี๋ยวก่อนกับแม่ฉันมันไม่ใช่ ฉันจดทุกครั้งที่ฉันจะเงินฝากไว้กับแม่ มีครั้งนึงที่ฉันไปดาวน์รถ ฉันจำได้มีเงินเก็บกับแม่ เกือบหมื่น เลยขอถอน โดนด่าเลยค่ะ คิดว่ากูจะมีให้หรอ ที่กินที่ใชอยู่ทุกวันนี้เงินใคร (อั๊ยย๊ะ เงินหนูไงแม่) หรอ คิดว่าเงินหรอ เงินที่ให้กูเก็บคือเงินที่กูควรจะได้จากนะ (อะไรนะ แล้วที่ให้อยู่ทุกเดือนอ่ะ) คิดว่าพอใช้ไง (แม่ใช่อะไร) กูมีเรื่องต้องใช้แล้วกัน (อั๊ยย่า!!!! เซง ๆ ) สุดท้ายไปขอตังค์พ่อ ขอตังค์ดาวน์หน่อย เด๋วผ่อนเอง พ่อก็ใจดีให้ เพราะได้ค่างวดก่อสร้างพอดี หลังจากวันนั้นเราไม่ฝากเงินกับแม่ แต่เราเอาเงินไปซ่อนเก็บไว้ จนวันนึงเรามีเรื่องต้องใช้ ไปเปิดดูเงินหาย เลยถามแม่ว่า แม่เอาเงินหนูไปหรอ แม่ตอบง่าย ๆ ว่าใช่ เพราะกูจะอดตายอยู่แล้ว กูควรจะใช้ตังค์ส่วนนี้ (ขอดีดีก็ได้นี่แม่) แม่เงียบแล้วไปนั่งร้องไห้ จนยายเดินมาถาม ยายก็ว่าแม่ บลา ๆ ๆๆ ๆๆ ๆ จนได้ยินคำพูด เดิม ๆ เราก็ไม่เคยซ่อนตังค์อีก แล้วเอาไปฝากธนาคาร จนมาปัจจุบันที่ร้านขาดคนงาน เราจนคิดว่าแม่อยู่ว่าง เอามาช่วยงานตรงนี้คงจะดี ได้เงินจะได้ไม่ฟุ่งซ่านมาก แม่ทำงานสตาร์ท หกพัน แพงว่าเรา สองเท่าตอนทำงานใหม่ ๆ แต่ก็ดีว่าไม่มีตังค์ หมดปัญหาไป 1 เรื่องขอเงินไม่ขอแล้ว แต่ภาระทุกอย่างให้บ้านแม่ก็ไม่เคยช่วยสักบาท แถมด่าเราอีกว่า ที่เคยให้ก็ไม่ให้ อกตัญญู (เครียดหนักกว่าเดิม) ก็มีรายได้แล้วอ่ะ จะเอาไรอีก หนูขอตั้งต้นชีวิตสักทีเถอะ ด้วยความที่เราเป็นเลขา ผจก แม่เรายิ่งว่างอำนาจในบริษัทฯ ใหญ่เลย เครื่องคอมที่เราเคยทำงานแม่ยึด บอกว่า เครื่องของกูควรได้ใช้ ไปขอเจ้านายใหม่สิ (จะบร้าหรอ ใครจะให้) เราต้องมาใช้โน๊ตบุคทำงาน เจ้านายมาเห็นก็พูดอะไรไม่ได้มาก แต่จะออกคำสั่งเองว่า คุณอยู่ที่นี้ ลูกคุณมีตำแหน่งใหญ่กว่าคุณ คุณต้องเชื่อฟังลูกคุณ กลับบ้านคุณยังเป็นแม่ลูกกันเหมือนเดิมจริงไม่ครับ (เรา : มันก็จริง แต่มันจะไม่จบ) แม่ยิ่งอารมณ์เสีย ทำงานให้มัน มันเห็นหัวกูไหม กูเป็นแม่นะ (แต่เขาให้เงินเดือนหนูนะ หนูต้องเชื่อเขาดิ) ทุกวันนี้ยังเป็นอยู่ ภาระยังคงอยู่ เลี่ยงได้ แต่หนีไปไม่ได้เพราะห่วงยายมาก ท่านแก่แล้ว อยากให้เราอยู่ด้วย อยากให้เรารีบแต่งงาน แล้วมีหลาน อยากบอกยายว่า หนูก็อยากมี แต่ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้หนูก็เหมือนย่ำอยู่กับที่ ทางออกตอนนี้คือ ลาออกจากงาน ให้แม่ทำในสิ่งที่แม่อยากทำและอยากเป็น แล้วเราหางานที่เรารักทำ ถ้าพี่เขาอยู่กับเราด้วยสู้ได้เสมอ เราไม่เคยอยากทิ้งใคร แต่ขอแบ่งส่วนออกมาอยู่แยกต่างหาก เพื่อลดความขัดแย้งลง มันรู้สึกบาปนะ แต่ไม่อยากบาปไปมากกว่านี้ที่กลัวจะพูดหรือทำอะไรลงไปมากกว่านี้ค่ะ