สวัสดีค่ะ มีเรื่องของตัวเองมาแชร์ให้ฟัง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว
ยาวหน่อยนะคะ ถ้าใครไม่อยากท้าวความข้ามไปอ่านย่อหน้าที่มี *** ไว้หน้าข้อความก็ได้ ขออนุญาติเล่าเลยนะคะ
เราเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของพ่อกับแม่ เราไม่มีพี่น้องเลย อาศัยอยู่ด้วยกัน 3 คน พ่อกับแม่เราแต่ก่อนมีปัญหากัน พ่อเป็นคนกินเหล้าเก่งติดเพื่อน เขาเคยกู้เงินมาเป็นหมื่นๆเพื่อมากินเหล้ากับเพื่อน เงินหมื่นในสมัยก่อนจำนวนไม่น้อยเลย ส่วนแม่พอหลังแต่งงานก็มารู้ว่าพ่อเราเหมือนคนละคน สมัยก่อนจีบกันจะเขียนจดหมายหากันไม่ค่อยได้มีเวลาไปด้วยกันเพราะพ่อติดทหารแต่แม่เราอยู่ที่ต่างจังหวัด พ่อมีความฝันว่าอยากได้ลูกชาย แต่แม่เราคลอดออกมาแล้วเป็นเราเป็นผู้หญิง ในสมัยนั้นพ่อไม่เคยดูแลแม่เลยแม่เราเพิ่งมาจากต่างจังหวัดเขาเล่าให้ฟังว่าต้องเรียนรู้ที่จะข้ามถนนเองเพื่อนไปหาหมอ ...
เรื่องก็ผ่านมาจนเราเริ่มเติบโตขึ้น พ่อไม่เคยคุยกับเราหรือให้ความอบอุ่นกับเราได้ดีมากนักในวัยเด็ก ส่วนแม่เรากลายเป็นคนคุยไม่เก่ง ครอบครัวเราต่างฝ่ายต่างมีปัญหา เก็บความลับต่อกันไม่เคยพูดหรือปรึกษากันเลย เราโตขึ้นมาแบบเด็กไม่ค่อยเต็ม ไปที่ไหนก็จะมีแต่คนพูดตามหลังเราตลอดว่า เด็กคนนี้มันไม่เต็มๆๆแม้กระทั่งป้าที่เราชอบไปช่วยงานเขาตลอด เรากลายเป็นเด็กไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น พูดไม่เก่ง กล้าๆกลัวๆๆ โดนพ่อตีตลอด ใช้รีโมทโทรทัศน์ตีที่หัวจนรีโมทแตก ใช้สายไฟฟาดที่ขา ทำโทษเราตีจนไม้หัก เราโดนมาตั้งแต่ ป.1 จนเป็นเรื่องปกติ เพียงเราตอบคำถามไม่ได้หรือบวกเลขคณิตผิด พูดไม่เข้าหู
เหล่านี้เป็นพื้นฐานในวัยเด็กที่เราต้องเจอ เรานอนคุยกับเงาตัวเองทุกวัน ชอบเล่นคนเดียว พูดคนเดียวเราไม่มีเพื่อนเลย เราชอบขอโทษเงาตัวเองอยู่บ่อยๆ และการที่เราโดนดุบ่อยๆทำให้เรายอมเป็นคนยอมรับผิดในทุกๆเรื่องๆเพื่อความสบายใจ ตอนเด็กเราไม่เคยเถียงพ่อกับแม่เลย
*** จนพอโตขึ้นเราก้าวเข้าสู่วัยสาวยังจำได้ดีเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นในช่วงนี้ติดต่อไปอีก 5 ปีตอนนั้นอายุ 15 เรียนอยู่ชั้นม.4 เราเข้าเรียนไวไปหนึ่งปีนะคะ เราเริ่มรู้จักเพื่อนผู้ชายในแถบบ้านเดียวกัน เค้าโตกว่าเรา 3 ปีนะคะ ด้วยความที่เรารู้จักกันแบบพี่น้องมาก่อนคุยกันได้ทุกเรื่องในเรื่องที่พ่อกับแม่ไม่สามารถคุยได้ (เราจะโดนแม่โกรธโดยการไม่พูดด้วย ไม่ใส่ใจเหมือนเราเป็นอากาศ เราจะโดนพ่อดุหรือตีถ้าคิดแตกต่าง)
พี่คนนี้เข้ามาทำให้รู้สึกว่าเขาดีกับเรามากๆ ด้วยความที่ยังเด็กเพราะพัฒนาการของเราก็ไม่ได้ไปไวอะไรเป็นทุนเดิม
ความรักของหนุ่มสาวที่ไวไฟเกินไปมันอันตรายจริงๆ เพียงในไม่ถึง 3 เดือนเราก็มีอะไรกับพี่เค้า มีอะไรกันทั้งๆที่เราก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไรและต้องรักษาความเป็นผู้หญิงนี้ไว้ เราไม่รู้เลยเราตกเป็นของเขาได้ง่ายแล้วก็รักแต่เขาคนเดียวเท่านั้น รักแรง หึงแรง คบกันอยู่อย่างนี้ประมาณ 5 ปี (ต่างคนต่างทะเลาะ ทำร้ายกันทุกวัน แต่ฝ่ายผู้ชายจะไม่ค่อยทำร้ายเรามากนะคะ) จนเป็นขี้ปากให้ชาวในหมู่ที่พักทหารลือกันไปทั่ว พ่อกับแม่เราอับอายมาก มาบอกให้เราเลิกกับพี่เขาเราก็ไม่ยอมเลิก เราหนีออกจากบ้าน หนีไปอยู่กับเพื่อนและพี่เขาก็มารับไปอยู่ด้วย
เราไปกินนอนอยู่บ้านเขาที่ห่างจากบ้านเราไปไม่ถึง 1 ช่วงแฟลตที่พักแต่เราโกหกพ่อกับแม่ว่าเราไปอยู่หอเพื่อน (ในช่วงนั้นเรียนมหาลัยแล้วนะคะ)มันเลยยิ่งทำให้เราเชื่อว่านี่แหละคนรักของเรา ทะเลาะกันบ้างเรื่องธรรมดา เราใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆเพราะกลัวเพื่อนพ่อกับคนที่รู้จักพ่อกับแม่เห็น เราไปกินนอนอยู่บ้านเขาไม่เคยได้ออกไปไหนเลย ไม่ได้เจอเพื่อนหรือเจอสังคมใหม่ๆ ใครเอาเราไปพูดนินทาเราก็ไปตามชี้หน้าด่า พูดเหน็บเขาบ้างหัวงอกหัวดำ เราคลุกอยู่แต่กับเขาตลอดมีบ้างที่กลับมาที่บ้านแต่ไม่บ่อย ถ้าพ่อกับแม่ไปต่างจังหวัดไปหาย่า ยาย เราก็จะไม่ไปอาศัยช่วงเวลานี้ไปอยู่บ้านเขา ช่วงนั้นเราเหมือนเด็กสก๊อยไปเลยซ้อนมอเซอร์ไซค์ผู้ชายทุกวัน ใส่เสื้อรัดรูป สายเดี่ยว กางเกงขาสั้น อาไรที่ขัดใจพ่อกับแม่เราทำหมด เพราะเราคิดว่าเค้าไม่เคยรักเราเลย ถ้าหน้าตาเราไม่มีเค้าโครงเหมือนเค้าเราก็คิดว่าเราเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยง
เราทะเลาะกับพ่อแม่เรื่องนี้ (เรื่องพี่เค้า) ทุกวัน แม่กลัวเราท้อง ส่วนพี่ผู้ชายคนนั้นเค้าก็ไม่เคยไหว้พ่อเราเลยทั้งที่พ่อเราก็มีคนรู้จักในระดับนึง เรากับพ่อเคยทะเลาะกันพ่อเราตบหน้าเราต่อหน้าคนเยอะๆ เราก็ทะเลาะกับแม่แล้วก็หนีไปอยู่กับพี่เขา จนเราไม่เอาเรื่องเรียนเลย ช่วงนั้นเราเน่าเฟะมากๆ สก๊อยยังคิดได้ดีกว่าเราก็ว่าได้ จะเอาแต่ผู้ชายอย่างเดียวเพราะคิดว่าไม่มีใครให้ความรักเราได้เท่านี้แล้ว พ่อแม่ยังไม่เคยให้เลยเรายังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง
จนมาถึงตอนนี้เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วที่เราได้ถอยออกมาและลองคิด คิดให้ดี คิดอย่างช้าๆแล้วถามตัวเองว่าเราต้องการอะไร มองโลกให้ชัดขึ้น กว้างขึ้นแล้วเห็นถึงความเป็นจริง เรากลับมาตั้งใจเรียนหนังสือ เลิกเกเรทุกอย่าง เรากลับมามองที่ต้นเหตุและปลายเหตุ และพบว่ามันเกิดช่องว่างระหว่างตัวเราและครอบครัวขึ้น ด้วยความที่พ่อเราไปอีกทาง แม่เราก็คิดไปอีกทาง ครอบครัวในตอนนั้นเหมือนทุกคนหันหลังให้กัน ถ้าหันหน้าเข้าหากันเมื่อไหร่ก็เหมือนยังเอามีดทิ่มแทงหัวใจกันดีอยู่นี่เอง
เรามามองให้ชัดด้วยความที่ตอนนี้เราเรียนเกี่ยวกับเรื่องสังคมและชอบในเรื่องจิตวิทยามา ย่าเราก็คือแม่ของพ่อเลี้ยงพ่อมาแบบดุร้าย สอนพ่อมาด้วยความเป็นนักเลง ประกอบกับพ่อเรามีพื้นฐานครอบครัวที่ไม่ค่อยดีนัก ทุกวันนี้พ่อเราก็ยังมีปัญหากับย่าอยู่ท่านไม่คุยกันมานานแล้ว ส่วนแม่เราเป็นคนพูดน้อย โกรธง่าย แสดงออกเก่ง หลายๆอย่างในการกระทำมันแสดงออกแล้วมาถึงกันได้ทำให้อีกฝ่ายรับรู้และเกิดความไม่พอใจต่อกันได้ สะสมมาเรื่อยๆๆ
จนวันนึงเราคิดจะปล่อยวางทุกอย่าง เราก็ได้เลิกกับพี่ผู้ชายคนนั้นไปจากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว เราได้คิดจะทำครอบครัวของเราให้ดีขึ้นอย่างน้อยก็ให้อบอุ่นภายในครอบครัว เรามองและศึกษาในสิ่งที่ขาดและใช้ความรัก ความเข้าใจเข้าไปเติมเต็ม เรายอมรับว่าแรกๆมันยากมากเหมือนเป็นช่วงที่กำลังเริ่มจะปรับตัว พ่อกับแม่เราไม่เข้าใจทางกายแสดงออกผ่านการให้ความรัก ความพูดคุยแบบไม่มีช่องว่างนั้น จนมาพักหลังๆซึ่งใช้เวลาปรับตัวค่อนข้างมาก เรากับแม่ก็ได้มาคุยกันและได้เปิดใจ ท่านก็ได้เล่าถึงความในใจ ถึงสิ่งที่ท่านต้องเจอ ท่านรู้สึก ฟังอีกกี่ครั้งเราก็ยังน้ำตาไหล... ส่วนพ่อเรากลับเป็นพูดในเรื่องความรู้สึกไม่เก่งเราเลยอาศัยให้เราเป็นตัวเข้าหาและเป็นผู้ให้ ผู้ใส่ใจพ่อแทน ซึ่งจริงๆมันเป็นสิ่งที่ควรจะทำมานานแล้ว
เรื่องในวันนั้นยังคงเป็นตราบาปติดตัวเรามาจนถึงทุกวันนี้ แม้พ่อกับแม่เราจะไม่รู้ว่าเราได้ไปเสียความเป็นสาวที่ไหนแล้ว แล้วเราเคยทำเรื่องแย่แค่ไหน แต่เมื่อนึกถึงเรากลับรู้สึกผิดมากๆ ละอายใจ และรู้สึกรังเกียจตัวเอง ขยะแขยงตัวเองเสมอ แต่ก็ไม่รู้จะกลับไปแก้ไขอย่างไร
อย่างเราที่เคยเป็นอยู่ในตอนนี้เรียกว่าอะไร ยังเรียกว่าคนได้มั้ย หรือเราน่าขยะแขยงมากจนเกินจะเยียวยา เราไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย แม้ว่าเพื่อนเราบางคนจะเคยมีเพศสัมพันธ์แล้วอาศัยอยู่กับผู้ชายตั้งแต่ม.3 แต่เราก็ไม่เคยคิดเอาใครไปเปรียบเทียบกับใครเพราะทุกคนมีพื้นฐานชีวิต มีการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเราในตอนนั้นที่เราได้ทำไปมันกลับทำให้เราในตอนนี้ละลายใจ และรังเกียจตัวเอง***
" เรามีตราบาปในใจ ... อยากให้ทุกคนเข้ามาอ่านนะคะ "
ยาวหน่อยนะคะ ถ้าใครไม่อยากท้าวความข้ามไปอ่านย่อหน้าที่มี *** ไว้หน้าข้อความก็ได้ ขออนุญาติเล่าเลยนะคะ
เราเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของพ่อกับแม่ เราไม่มีพี่น้องเลย อาศัยอยู่ด้วยกัน 3 คน พ่อกับแม่เราแต่ก่อนมีปัญหากัน พ่อเป็นคนกินเหล้าเก่งติดเพื่อน เขาเคยกู้เงินมาเป็นหมื่นๆเพื่อมากินเหล้ากับเพื่อน เงินหมื่นในสมัยก่อนจำนวนไม่น้อยเลย ส่วนแม่พอหลังแต่งงานก็มารู้ว่าพ่อเราเหมือนคนละคน สมัยก่อนจีบกันจะเขียนจดหมายหากันไม่ค่อยได้มีเวลาไปด้วยกันเพราะพ่อติดทหารแต่แม่เราอยู่ที่ต่างจังหวัด พ่อมีความฝันว่าอยากได้ลูกชาย แต่แม่เราคลอดออกมาแล้วเป็นเราเป็นผู้หญิง ในสมัยนั้นพ่อไม่เคยดูแลแม่เลยแม่เราเพิ่งมาจากต่างจังหวัดเขาเล่าให้ฟังว่าต้องเรียนรู้ที่จะข้ามถนนเองเพื่อนไปหาหมอ ...
เรื่องก็ผ่านมาจนเราเริ่มเติบโตขึ้น พ่อไม่เคยคุยกับเราหรือให้ความอบอุ่นกับเราได้ดีมากนักในวัยเด็ก ส่วนแม่เรากลายเป็นคนคุยไม่เก่ง ครอบครัวเราต่างฝ่ายต่างมีปัญหา เก็บความลับต่อกันไม่เคยพูดหรือปรึกษากันเลย เราโตขึ้นมาแบบเด็กไม่ค่อยเต็ม ไปที่ไหนก็จะมีแต่คนพูดตามหลังเราตลอดว่า เด็กคนนี้มันไม่เต็มๆๆแม้กระทั่งป้าที่เราชอบไปช่วยงานเขาตลอด เรากลายเป็นเด็กไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น พูดไม่เก่ง กล้าๆกลัวๆๆ โดนพ่อตีตลอด ใช้รีโมทโทรทัศน์ตีที่หัวจนรีโมทแตก ใช้สายไฟฟาดที่ขา ทำโทษเราตีจนไม้หัก เราโดนมาตั้งแต่ ป.1 จนเป็นเรื่องปกติ เพียงเราตอบคำถามไม่ได้หรือบวกเลขคณิตผิด พูดไม่เข้าหู
เหล่านี้เป็นพื้นฐานในวัยเด็กที่เราต้องเจอ เรานอนคุยกับเงาตัวเองทุกวัน ชอบเล่นคนเดียว พูดคนเดียวเราไม่มีเพื่อนเลย เราชอบขอโทษเงาตัวเองอยู่บ่อยๆ และการที่เราโดนดุบ่อยๆทำให้เรายอมเป็นคนยอมรับผิดในทุกๆเรื่องๆเพื่อความสบายใจ ตอนเด็กเราไม่เคยเถียงพ่อกับแม่เลย
*** จนพอโตขึ้นเราก้าวเข้าสู่วัยสาวยังจำได้ดีเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นในช่วงนี้ติดต่อไปอีก 5 ปีตอนนั้นอายุ 15 เรียนอยู่ชั้นม.4 เราเข้าเรียนไวไปหนึ่งปีนะคะ เราเริ่มรู้จักเพื่อนผู้ชายในแถบบ้านเดียวกัน เค้าโตกว่าเรา 3 ปีนะคะ ด้วยความที่เรารู้จักกันแบบพี่น้องมาก่อนคุยกันได้ทุกเรื่องในเรื่องที่พ่อกับแม่ไม่สามารถคุยได้ (เราจะโดนแม่โกรธโดยการไม่พูดด้วย ไม่ใส่ใจเหมือนเราเป็นอากาศ เราจะโดนพ่อดุหรือตีถ้าคิดแตกต่าง)
พี่คนนี้เข้ามาทำให้รู้สึกว่าเขาดีกับเรามากๆ ด้วยความที่ยังเด็กเพราะพัฒนาการของเราก็ไม่ได้ไปไวอะไรเป็นทุนเดิม
ความรักของหนุ่มสาวที่ไวไฟเกินไปมันอันตรายจริงๆ เพียงในไม่ถึง 3 เดือนเราก็มีอะไรกับพี่เค้า มีอะไรกันทั้งๆที่เราก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไรและต้องรักษาความเป็นผู้หญิงนี้ไว้ เราไม่รู้เลยเราตกเป็นของเขาได้ง่ายแล้วก็รักแต่เขาคนเดียวเท่านั้น รักแรง หึงแรง คบกันอยู่อย่างนี้ประมาณ 5 ปี (ต่างคนต่างทะเลาะ ทำร้ายกันทุกวัน แต่ฝ่ายผู้ชายจะไม่ค่อยทำร้ายเรามากนะคะ) จนเป็นขี้ปากให้ชาวในหมู่ที่พักทหารลือกันไปทั่ว พ่อกับแม่เราอับอายมาก มาบอกให้เราเลิกกับพี่เขาเราก็ไม่ยอมเลิก เราหนีออกจากบ้าน หนีไปอยู่กับเพื่อนและพี่เขาก็มารับไปอยู่ด้วย
เราไปกินนอนอยู่บ้านเขาที่ห่างจากบ้านเราไปไม่ถึง 1 ช่วงแฟลตที่พักแต่เราโกหกพ่อกับแม่ว่าเราไปอยู่หอเพื่อน (ในช่วงนั้นเรียนมหาลัยแล้วนะคะ)มันเลยยิ่งทำให้เราเชื่อว่านี่แหละคนรักของเรา ทะเลาะกันบ้างเรื่องธรรมดา เราใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆเพราะกลัวเพื่อนพ่อกับคนที่รู้จักพ่อกับแม่เห็น เราไปกินนอนอยู่บ้านเขาไม่เคยได้ออกไปไหนเลย ไม่ได้เจอเพื่อนหรือเจอสังคมใหม่ๆ ใครเอาเราไปพูดนินทาเราก็ไปตามชี้หน้าด่า พูดเหน็บเขาบ้างหัวงอกหัวดำ เราคลุกอยู่แต่กับเขาตลอดมีบ้างที่กลับมาที่บ้านแต่ไม่บ่อย ถ้าพ่อกับแม่ไปต่างจังหวัดไปหาย่า ยาย เราก็จะไม่ไปอาศัยช่วงเวลานี้ไปอยู่บ้านเขา ช่วงนั้นเราเหมือนเด็กสก๊อยไปเลยซ้อนมอเซอร์ไซค์ผู้ชายทุกวัน ใส่เสื้อรัดรูป สายเดี่ยว กางเกงขาสั้น อาไรที่ขัดใจพ่อกับแม่เราทำหมด เพราะเราคิดว่าเค้าไม่เคยรักเราเลย ถ้าหน้าตาเราไม่มีเค้าโครงเหมือนเค้าเราก็คิดว่าเราเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยง
เราทะเลาะกับพ่อแม่เรื่องนี้ (เรื่องพี่เค้า) ทุกวัน แม่กลัวเราท้อง ส่วนพี่ผู้ชายคนนั้นเค้าก็ไม่เคยไหว้พ่อเราเลยทั้งที่พ่อเราก็มีคนรู้จักในระดับนึง เรากับพ่อเคยทะเลาะกันพ่อเราตบหน้าเราต่อหน้าคนเยอะๆ เราก็ทะเลาะกับแม่แล้วก็หนีไปอยู่กับพี่เขา จนเราไม่เอาเรื่องเรียนเลย ช่วงนั้นเราเน่าเฟะมากๆ สก๊อยยังคิดได้ดีกว่าเราก็ว่าได้ จะเอาแต่ผู้ชายอย่างเดียวเพราะคิดว่าไม่มีใครให้ความรักเราได้เท่านี้แล้ว พ่อแม่ยังไม่เคยให้เลยเรายังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง
จนมาถึงตอนนี้เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วที่เราได้ถอยออกมาและลองคิด คิดให้ดี คิดอย่างช้าๆแล้วถามตัวเองว่าเราต้องการอะไร มองโลกให้ชัดขึ้น กว้างขึ้นแล้วเห็นถึงความเป็นจริง เรากลับมาตั้งใจเรียนหนังสือ เลิกเกเรทุกอย่าง เรากลับมามองที่ต้นเหตุและปลายเหตุ และพบว่ามันเกิดช่องว่างระหว่างตัวเราและครอบครัวขึ้น ด้วยความที่พ่อเราไปอีกทาง แม่เราก็คิดไปอีกทาง ครอบครัวในตอนนั้นเหมือนทุกคนหันหลังให้กัน ถ้าหันหน้าเข้าหากันเมื่อไหร่ก็เหมือนยังเอามีดทิ่มแทงหัวใจกันดีอยู่นี่เอง
เรามามองให้ชัดด้วยความที่ตอนนี้เราเรียนเกี่ยวกับเรื่องสังคมและชอบในเรื่องจิตวิทยามา ย่าเราก็คือแม่ของพ่อเลี้ยงพ่อมาแบบดุร้าย สอนพ่อมาด้วยความเป็นนักเลง ประกอบกับพ่อเรามีพื้นฐานครอบครัวที่ไม่ค่อยดีนัก ทุกวันนี้พ่อเราก็ยังมีปัญหากับย่าอยู่ท่านไม่คุยกันมานานแล้ว ส่วนแม่เราเป็นคนพูดน้อย โกรธง่าย แสดงออกเก่ง หลายๆอย่างในการกระทำมันแสดงออกแล้วมาถึงกันได้ทำให้อีกฝ่ายรับรู้และเกิดความไม่พอใจต่อกันได้ สะสมมาเรื่อยๆๆ
จนวันนึงเราคิดจะปล่อยวางทุกอย่าง เราก็ได้เลิกกับพี่ผู้ชายคนนั้นไปจากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว เราได้คิดจะทำครอบครัวของเราให้ดีขึ้นอย่างน้อยก็ให้อบอุ่นภายในครอบครัว เรามองและศึกษาในสิ่งที่ขาดและใช้ความรัก ความเข้าใจเข้าไปเติมเต็ม เรายอมรับว่าแรกๆมันยากมากเหมือนเป็นช่วงที่กำลังเริ่มจะปรับตัว พ่อกับแม่เราไม่เข้าใจทางกายแสดงออกผ่านการให้ความรัก ความพูดคุยแบบไม่มีช่องว่างนั้น จนมาพักหลังๆซึ่งใช้เวลาปรับตัวค่อนข้างมาก เรากับแม่ก็ได้มาคุยกันและได้เปิดใจ ท่านก็ได้เล่าถึงความในใจ ถึงสิ่งที่ท่านต้องเจอ ท่านรู้สึก ฟังอีกกี่ครั้งเราก็ยังน้ำตาไหล... ส่วนพ่อเรากลับเป็นพูดในเรื่องความรู้สึกไม่เก่งเราเลยอาศัยให้เราเป็นตัวเข้าหาและเป็นผู้ให้ ผู้ใส่ใจพ่อแทน ซึ่งจริงๆมันเป็นสิ่งที่ควรจะทำมานานแล้ว
เรื่องในวันนั้นยังคงเป็นตราบาปติดตัวเรามาจนถึงทุกวันนี้ แม้พ่อกับแม่เราจะไม่รู้ว่าเราได้ไปเสียความเป็นสาวที่ไหนแล้ว แล้วเราเคยทำเรื่องแย่แค่ไหน แต่เมื่อนึกถึงเรากลับรู้สึกผิดมากๆ ละอายใจ และรู้สึกรังเกียจตัวเอง ขยะแขยงตัวเองเสมอ แต่ก็ไม่รู้จะกลับไปแก้ไขอย่างไร
อย่างเราที่เคยเป็นอยู่ในตอนนี้เรียกว่าอะไร ยังเรียกว่าคนได้มั้ย หรือเราน่าขยะแขยงมากจนเกินจะเยียวยา เราไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย แม้ว่าเพื่อนเราบางคนจะเคยมีเพศสัมพันธ์แล้วอาศัยอยู่กับผู้ชายตั้งแต่ม.3 แต่เราก็ไม่เคยคิดเอาใครไปเปรียบเทียบกับใครเพราะทุกคนมีพื้นฐานชีวิต มีการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเราในตอนนั้นที่เราได้ทำไปมันกลับทำให้เราในตอนนี้ละลายใจ และรังเกียจตัวเอง***