เรื่องเล่า เรื่องบ้านยาย

บ้านยาย คือ สถานที่ที่ผมเคย วิ่งเล่นตอนวัยเด็ก  ช่วงตอนสัก ประมาณ สี่ ห้า ขวบ
หลังจากนั้น ครอบครัวผมก็ย้ายตามพ่อ ที่ต้องไปรับราชการในอีกจังหวัดหนึ่ง 
นานนานที แม่ถึงจะพากลับไปเยี่ยมยาย 
พอตอนโตมาหน่อย  ก็เห็นว่ายายอยู่กับน้าผู้หญิงที่บ้านเพียงสองคน 
ทางผมไม่ค่อยสนิทกับทาง ญาติพี่น้องของแม่เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่จะอยู่กับญาติของพ่อมากกว่า
เลยไม่ค่อยได้รู้ตื้นลึกหนาบางของผู้ใหญ่ฝั่งยายมากนัก

กระทั่ง ช่วงวัยทำงาน  ยายก็เสีย แล้วครอบครัวผมก็แทบไม่ได้ไปแวะหาใครที่บ้านยายอีกเลย
จนพอผมได้ย้าย ไปทำงานที่จังหวัดที่บ้านเกิด  แม่ก็บอกให้ผมไปพักที่บ้านยาย เพราะไม่มีใครอยู่ ตั้งแต่ยายเสีย

"หลังจากแบ่งมรดกให้ลูกทุกคนแล้ว"
"น้าๆเอ็งเขาก็ไปอยู่ตามที่ตามทาง  ที่ยายแบ่งไว้ให้กันหมด"
เสียงแม่เล่าให้ฟังคร่าวๆ

แม่ผมได้ บ้านยายเป็นมรดกตกทอด เพราะเป็นพี่สาวคนโต
แต่แม่ก็ไม่เคยคิดจะไปอยู่ที่บ้านยายเลย ทิ้งร้างไว้หลายปี  ร่วมๆจะสิบปีแล้วมั้ง
พอได้ยินแม่เล่าเรื่องแบ่งมรดก ผมก็เลยสงสัยอะไรบางอย่างขึ้น เลยถามแม่ไปว่า

"อ้าว แล้วยาย แกทำมาหากินอะไรมาก่อนอะแม่"
"ทำไมแกถึงมีที่มีทางเยอะจัง แบ่งให้ลูกๆตั้งหกคนแหน่ะ"

แล้วแม่ก็เล่าเรื่องยายให้ฟัง พอจะสรุปได้ดังนี้ครับ
สมัยยายสาวๆ ยายทำขนมไปขายในเมือง ก็ไปขายตามสถานีรถไฟ ตามแหล่งท่องเที่ยวอะไรอย่างนี้แหละ
สมัยก่อนไม่มีร้านขายหรอก
ยายก็ใช้วิธีเอาขนม ใส่ตระกล้าแล้วก็เดินหิ้วขายแถวนั้น เหนื่อยตรงไหนก็นั่งพัก มีแรงก็เดินขายใหม่
แล้วอยู่ๆ ก็มีหนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาดี มาเหมาขนมยาย ทุกวันไม่ขาดเลย
จนยายก็แปลกใจ เลยต้องถามชื่อเขาไปว่าเป็นใคร ทำไมมาเหมาขนม ได้ทุกวันอย่างนี้
เขาก็บอกว่าเขาทำงานอยู่แถวนี้แหละ แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรยายมาก

หลังจากคุยกันไม่กี่ครั้ง ชายหนุ่มคนนั้นก็ให้คนมาสู่ขอยาย 
ยายตอนนั้นก็ยังเด็กมาก ไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี แต่แม่ของยาย ก็ดันยกให้เฉยเลย
แต่ด้วยความที่ ยายยังเด็กอยู่ ก็เลยแค่ทำพิธีหมั้นกันไว้ก่อน 

แล้วยายก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านของผู้ชายคนนั้น
ใช่ชีวิตอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง
วันหนึ่งยายก็ ร้องไห้ฟูมฟายกลับมาที่บ้าน  บอกแต่ว่าไม่เอาแล้ว ขอเลิกกันดีกว่า
แม่ของยายก็ได้แต่ถามว่า เกิดอะไรขึ้น เขาตบเขาตีเอ็งหรือ มันเรื่องเป็นยังไง
แต่ยายก็ไม่เล่าอะไรให้ฟัง ได้แต่ร้องไห้แล้วก็เงียบ

หลังจากวันนั้น ชายหนุ่มก็มาตามหายายที่บ้าน มาง้อยายให้กลับไปอยู่ด้วยกัน
แม่ของยายก็เลยถามว่าเรื่องมันเป็นยังไง คุณตบคุณตีลูกสาวฉันหรือ มันถึงได้หอบเสื้อผ้าหนีมาแบบนี้
แล้วชายคนนั้นก็บอกว่า เขาเป็นคนจนๆ  ที่ทาง ที่บ้านอาจจะคับแคบไปบ้าง ขออย่ารังเกลียดเขาเลย

พอแม่ของยายได้ฟังแบบนั้นก็ให้ชายคนนั้นกลับไปก่อน เดี๋ยวจะคุยกับลูกก่อน
พอแม่ของยายได้คุยกับยายสองต่อสอง ว่ารังเกลียดที่เขาจนหรือลูก คนเรายากดีมีจน ของแค่เป็นคนดี มันก็ควรจะให้โอกาสเขานะลูก
แล้วยายก็เล่าให้แม่ของยายฟังว่า 

ยายไม่เคยคิดเรื่องที่เขาเป็นคนจนหรอก  แต่เขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว
แล้วยาย ก็เอาจนหมายออกมาให้แม่ของยายดู 
เป็นจดหมายของแม่ผู้ชายคนนั้นส่งมา แล้ว ยายก็ถือวิสาสะเปิดอ่านก่อน
ใจความจนหมายเขียนประมาณว่า

สิ้นเดือนนี้ให้กลับบ้านด้วย ไม่ใช่ว่าไปเจอสาวคนอื่นแล้วหละ อย่าให้แม่ต้องเสียหน้าไปโดนคู่หมั้นลูกถอนหงอกเอานะ
เขามาเฝ้าถามตลอดว่าเมื่อไหร่ ลูกจะกลับมา

พอได้อ่าน  ยายก็รีบเก็บเสื้อผ้ามาเลย จดหมายนั่น ชายคนนั้นก็ยังไม่ได้อ่าน

พอแม่ของยายรู้ความจริง ก็ได้แต่ปลอบใจลูกสาวตัวเอง เรามันโดนเขาหลอกแล้วลูกเอ้ย.. ก็พากันร้องไห้
แล้วคืนนั้น ไฟก็ไหม้บ้านที่แม่กับยายอยู่ ต้องพากันขนข้าวขนของ หัวซุกหัวซุนกันจ้าละหวั่น
ที่สุดก็ได้แค่ เสื่อผืนหมอนใบกับเสื้อผ้าติดตัวมาไม่กี่ชิ้น
ไฟไหม้ครั้งนั้น   เป็นไฟไหม้ครั้งใหญ่สุดของที่นั่นเลย  
แม่ผมเล่าว่า ปัจจุบันตรงที่ถูกไฟไหม้ตรงนั้นก็กลายมาเป็นตลาดใหญ่จนถึงทุกวันนี้ 

พอไฟไหม้แล้ว ยายกับแม่ของยายก็พากันไปอยู่ที่บ้านญาติ ที่อยู่ในอีกหมู่บ้านหนึ่ง
แล้วก็ใช้ชีวิตหาเช้ากินค่ำกันอยู่พักใหญ่
ก็ได้ยินข่าวจากคนที่รู้จักกันบ้างว่า  มีผู้ชายมาตามหายาย แทบทุกวันเลย 
แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ายาย ย้ายไปไหน
เพราะคนที่รู้จักยาย แถวนั้นก็ถูกไฟไหม้บ้านกันหมด ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมดเลย

ยายเองพอรู้สึกผิดหวังกับชายคนนั้น ก็พยายามจะไม่ไปในเมืองอีก เพราะกลัวจะเจอเขา
เวลาผ่านไปนาน จนยายคิดว่าผู้ชายคนนั้นคงจะลืมยายแล้ว ยายก็เลยไม่ได้ระวังตัวเหมือนตอนแรกๆ
กระทั่งวันหนึ่ง ช่วงที่ยายนั่งขายของอยู่ที่ตลาดในหมู่บ้าน อยู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่ง มาฉุดยายที่ตลาด
พอยายมองหน้าคนนั้นดีๆ ก็ถึงรู้ว่าเป็น ชายคู่หมั้น  นั่นเอง
ผู้ชายคนนั้นเขาก็บอกว่า แค่อยากคุยด้วยเฉยๆ  เขาไม่ทำอะไรหรอก
ยายก็เลยไม่ได้ขัดขืนอะไร ก็ตามเขาไปแต่โดยดี 
พอขึ้นรถไปด้วยกัน 
เขาก็พายายขับรถ หายไปเลย

 ผมฟังแม่เล่ามาถึงตรงนี้ ผมก็ตกใจเลย 
อ้าว แล้วแม่ของยายไม่พากันไปแจ้งความหรือครับ

แม่ผมก็เล่าต่อ 
ก็พากันไปแจ้งความแหละ แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย เงียบหายไปเลยเป็นเดือนๆ

ตัดกลับมาที่ฝั่งยาย พอถูกผู้ชายคนนั้นจับตัวไป
ยายก็บอกความจริงให้เขารู้ว่า ยายรู้แล้วว่าเขามีคู่หมั้นอีกคน 
เพราะเห็นจดหมายจากแม่ของเขาที่ส่งมา
ชายคนนั้นก็จำนนด้วยหลักฐาน เขาก็เลยบอกว่า
นี่ผมจะพิสูจน์ให้ดูว่าผมรักคุณจริงๆ ผมจะไม่ไปไหน จะอยู่กับคุณตลอดไป
แล้วชายคนนั้นก็พายายขับรถข้ามจังหวัดไปไกล แล้วก็ไปหาห้องเช่าเล็กๆอยู่  แล้วก็หางานทำ
ด้วยความที่ เขาให้สัญญากับยายว่า ถ้าเขาลืมตาอ้าปากได้เมื่อไหร่ เขาจะพายายกลับบ้านเอง
ยายก็เลยยอมใช้ชีวิตอยู่กับเขาที่นั่น
แม้จะอดมื้อกินมื้อบ้าง แต่ยายก็บอกว่า เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด 
รู้สึกว่าอยู่ด้วยแล้วสบายใจ
แต่พออยู่ด้วยกันได้สักพักหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนว่า มีคนมาด้อมๆมองๆแถวบ้านเช่าที่ยายอยู่ 
ยายสังเกตดูทุกเช้าจะมีรถมาจอดอยู่ตรงข้ามหน้าบ้านเช่าแล้วสักพักก็จะไป 
แล้วช่วงสายๆก็จะมีรถคันเดิมมาจอดอีกแล้วก็ไป
พอเห็นแบบนั้นอยู่หลายวัน เลยเล่าให้เขาฟัง 
พอเขาได้ฟัง คืนนั้น เขาก็บอกให้เก็บข้าวเก็บของ แล้วพอเช้าก็พายาย หนีไปอยู่ที่อื่นเลย
ยายไม่เคยถามว่าเขาไปมีเรื่องอะไรมา 
แต่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่บ่อยๆ ยายได้แต่เงียบ 
และตอนนี้ ยายรักเขาเต็มหัวใจ จนไม่อยากคิดเลยว่า
ถ้าเขาไปทำผิดกฏหมายอะไรมา ยายจะรับสภาพได้ไหม
รู้แต่ว่า ต่อให้เขาทำผิดขนาดไหน ยายก็ยังรักเขา

วันหนึ่ง เขาพายายไปเที่ยว  ในที่แห่งหนึ่ง ช่วงที่ ยายไปเข้าห้องน้ำ
แล้วกำลังเดินกลับออกมา ก็มีผู้ชายสองคนมาแสดงตัว บอกให้ตามเขาไป 
แล้วผู้ชายคนหนึ่งก็บอกว่า รู้ไหมผู้ชายที่คุณคบอยู่คือใคร
ยายก็บอกไปว่า ไม่รู้ 
ชายคนนั้นก็บอกว่า เขาคือ หม่อมหลวง ทายาท คนเดียวของ หม่อม... 

เฮ้ยจริงดิแม่  !
พอผมได้ยิน ผมตกใจเลย 
"อ้าว แล้วทำไมเขาต้องมาตามล่าตัวด้วยหละแม่"

แม่ก็เล่าต่อ
ก็ทางหม่อมแม่ของท่าน ไม่อยากให้แต่งงานกับหญิงชาวบ้านธรรมดา เพราะได้หาคู่หมั้นที่มียศศักดิ์ ไว้ให้แล้ว
ก็เลยให้คนมาสืบเสาะดูว่า หม่อมเขามาอยู่กับใคร ที่ไหน 

พอวันนั้น ยายได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด จากชายสองคน 
พอเดินกลับออกมา   ก็เจอ ท่านถูกกระชากขึ้นรถแล้ว
ยายได้แต่วิ่งไปหาที่รถ ร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว 
เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่รู้เลยว่าจะต้องจากกันแบบนี้

หลังจาก  จากกันที่ตรงนั้นแล้ว ชายสองคนก็ขับรถมาส่งยายที่บ้านแม่ของยาย
ตั้งแต่วันนั้น ยายก็ไม่เคยเจอหม่อมอีกเลย 
แล้วก็กลายเป็นคน เหม่อลอย ไม่พูดไม่จากับใคร
เก็บตัวอยู่เงียบๆ
ทุกๆเย็นถ้ายายว่าง ยายจะมานั่งรอที่หน้าบ้าน เหมือนรอใครสักคน อย่างไม่มีจุดหมาย

แล้ววันหนึ่ง ก็มีรถหรูคันหนึ่งมาจอดที่หน้าบ้านยาย
มาถามหาคนชื่อนี้  ซึ่งก็เป็นชื่อยายนั้นแหละ

แล้วพอต้อนรับขับสู้กันแล้ว 
เขาก็ เอาพินัยกรรมมาเปิดอ่านให้ฟัง
หม่อม ได้ยกสมบัติบางส่วนให้ยาย ก่อนจะฆ่าตัวตาย
แล้วก็ฝากจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนไว้ก่อนตาย มาให้ยายด้วย

หลังจากนั้น ยายก็พอมีเงินมีทอง ซื้อที่ซื้อทางเก็บไว้บ้าง
จนมาได้แต่งงานกับตาของเราแล้วก็อยู่ที่บ้านหลังนั้น จนบั้นปลาย

"โหจริงหรือแม่"
ไม่เห็นแม่เล่าให้ฟังเลย 
ผมได้แต่พึมพำออกมา อย่างประหลาดใจ 

เสียงแม่หัวเราะ ก่อนจะพูดว่า
ก็วันๆ เอ็งสนใจใครซะที่ไหนหละ 

 

นี่ถ้าไปถึงบ้านยายแล้วก็ โทรมาบอกด้วยหละ 
ไม่รู้ว่าต้องซ่อม อะไรบ้าง ป่านนี้คงผุพังไปหมดแล้วมั้ง

เสียงแม่พูดส่ง ก่อนที่ผมจะขึ้นรถขับออกมา 

พอขับรถออกจากบ้านมาได้สักพัก นึกถึงเรื่องที่แม่เล่าแล้ว
อยากรู้จังเลย จดหมายฉบับนั้น หม่อมหลวงคนนั้น เขาเขียนอะไรมาถึงยายนะ

โปรดติดตามตอนต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
เช้าวันอาทิตย์ เป็นวันหยุดของผม ผมตื่นแต่เช้า ไปบ้านยาย
เพราะว่า มิเตอร์ไฟ กับน้ำมา พร้อมใช้แล้ว

บ้านยาย อยู่ไกลจากตัวหมู่บ้านพอสมควร  กินเนื้อที่ เกือบๆ7ไร่
พอไปถึงรั้วหน้าบ้าน ไขกุญแจเข้าไป ก็ถึงเห็นว่า รอบๆข้างมีแต่ต้นหญ้าขึ้นสูงเกือบท่วมหัว
มันรกมาก  น้าบอกว่าสายๆเดี๋ยวให้คนมาช่วยตัดหญ้า

ผมค่อยๆขับรถเข้าไปจอดอยู่ตรงหน้าบ้าน
บ้านยายเป็นบ้านไม้สองชั้น หลังใหญ่มาก ประตูหน้าต่างยังดูสภาพดี
แต่สีไม้ดูเก่า เพราะแดดเลีย
ผมค่อยๆเดินสำรวจไปรอบๆบ้าน จน ทะลุไปด้านหลังบ้าน ประตูหลังบ้าน หน้าต่าง ปิดมิดชิดดี
ไม่มีล่องรอยงัดแงะอะไร
มองไปที่ป่าหลังบ้าน มีต้นลีลาวดีออกดอกอยู่หลายต้น มีต้นกล้วย ต้นกระถิน ขึ้นเบียดเสียดจนดูรกร้าง
มีต้นไทรใหญ่สูงตระหง่าน ให้ร่มไม้ ดูเย็นตาดี จุดอื่นๆก็มีต้นก้ามปูต้นใหญ่ขึ้นปกคลุมรวมอยู่ด้วย
มองไปไม่ไกลเห็นเรือนหลังเล็กที่ปลูกห่างออกไป เกือบๆยี่สิบเมตร
พอมองเลยไปทางขวามือ เลยยอดลีลาวดีไป ก็เห็นเป็นหลังคาคล้าย ปราคาร สูงๆ
ผมจำได้ว่า ตอนเด็กๆเคยปีนขึ้นไปเล่นบนนั้น มันเป็นเหมือนแท้งน้ำเก่าอะครับ
พอปูนมันแตก ยายก็เลยให้คนทุบปูนข้างบนออก แล้วก็ทำเป็นที่นั่งเล่นบนนั้น ปีนบันไดขึ้นไปนั่งเล่นได้ หลายสิบคน
มองรอบๆ ดูวิวทิวทัศน์ได้
แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่ามันผุพังไปหรือยัง คงต้องเดินไปสำรวจ

ผมเดินอยู่แถวนั้นไม่นาน  ใช้มีดถางหญ้าอยู่แถวๆหลังบ้าน
ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามา
พอออกมาดู ก็เห็นเป็นชายฉกรรจ์ สาม สี่ คน ลงมาจากรถกะบะ
แล้วก็มี น้าผมกับลูกแก ลงมาจากที่นั่งด้านหน้ารถ

พอคุยกับน้า น้าก็บอกว่า พามาถางหญ้า

แล้วกิจกรรมช่วงเช้า จนถึงบ่าย ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มาช่วยกันถางหญ้าให้ครับ
เสียงฟันต้นไม้ใบหญ้าดังฉับๆ สะท้อนไปทั่วบริเวณ

ผมกับน้าและเด็กๆ พากันเปิดประตูเข้าไปดูในบ้านยาย
พอเข้าไปดูข้างใน ทุกอย่างเป็นห้องโล่งๆเลยครับ
ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ แต่ข้างในค่อนข้างมืด เพราะไม่ได้เปิดหน้าต่าง
ผมก็เลยลอง เปิดสวิทช์ไฟดู ปรากฏว่าไม่ติด
เลยพากันเดินหา ตู้เมนไฟ
สภาพข้างในยังดูดี ปัดกวาดเช็ดถูสักหน่อย ก็น่าจะอยู่ได้แล้ว
ชั้นล่างเป็นโถงใหญ่โล่งๆ เดินทะลุไปจนถึงกลางบ้าน ก็จะมีบันไดขึ้นชั้นสอง
เดินต่อไป ก็จะเป็นห้องครัว  แล้วก็จะเป็นห้องน้ำกับห้องซักผ้า
พอสังเกตไปรอบๆก็เจอตู้เมนไฟ
ผมก็เลยเดินไปดู แล้วก็เปิดเมนเบรคเกอร์ พอเปิดเสร็จก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมกับน้าก็พากันเดินไปดูหลังบ้าน
เดินมาถึงตรงห้องน้ำ ข้างๆจะมีห้องที่ผนังมันแตก  แล้วก็ถูกทุบจนดูเหมือนเป็นห้องอีกห้องหนึ่ง
จำได้ว่า ตอนนั้นห้องนี้มันเป็นแท้งสำหรับใส่น้ำครับ
แต่พอน้ำมันซึมบ่อยๆ ยายก็เลยให้คนมาทุบ จนมันกลายเป็นห้องอีกห้องหนึ่ง
แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร ยายก็ใช้เป็นห้องเก็บของ
ผมก็เลยชะโงกหน้าไปดู เห็นมีของเก็บอยู่ในนั้นหลายชิ้น
พอน้าเปิดประตูหลังบ้านออกไป แสงก็เลยลอดเข้ามา
ถึงเห็นว่า มีพวกตู้ม้า ตู้ป๊อก เก็บอยู่ด้วย
โหนี่มันน่าจะเก่ามากแล้วนะ
แล้วผมก็ลองเดินไปเปิดไฟในห้องโถงตรงนั้นดู
ปรากฏว่ามีไฟติดแล้วครับ

สักพักก็พากันขึ้นไปบนชั้นสอง
ที่ชั้นสอง จะมีโถงใหญ่ แล้วก็มีห้องสองห้อง ติดกัน
เดินผ่านสองห้องนั้นไปทางด้านหลัง ก็จะมีโถงใหญ่อีกโถงหนึ่ง
แล้วถัดจากนั้นก็จะมีห้องนอนใหญ่เป็นห้องสุดท้าย
ห้องนอนใหญ่นั้นก็มีระเบียงชั้นสองเดินออกไปดูหลังบ้านได้อีก
ตอนเด็กๆ ผมก็จะวิ่งเล่นอยู่ตรงโถงหลังบ้านที่ติดกับห้องนอนใหญ่นี่แหละ

สายๆ พวกป้าแสงพาคนของแกมา ทำความสะอาดบ้านให้
ปัดหยากไย่ ฝุ่นต่างๆ  แล้วน้าก็พาผมไปหาซื้อเตียง กับที่นอน แล้วก็พวก ถังสำหรับรองน้ำอาบ

กลับมาอีกที ก็เกือบบ่ายแก่ๆแล้ว กว่าจะช่วยกันขนเตียงคนโต๊ะต่างๆขึ้นไปบนชั้นสองได้ก็บ่ายคล้อยแล้ว

พอทุกคนเริ่มเหนื่อย เหลืองานอีกไม่เยอะ ก็น่าจะเสร็จแล้ว
เลยเห็นคนบางกลุ่มนั่งพักกันอยู่ใต้ต้นไม้บ้าง คุยกันไปมาบ้าง

พอเห็นว่า แดดร่มลมตก ผมก็เลยชวนน้ากับหลานไปดูที่ ปราคาร ตรงป่าด้านหลัง
กว่าจะเดินไปถึง ต้องถางรถถางพงกัน ลุยเข้าไปเยอะเหมือนกัน
พอถึงแล้ว ภาพความทรงจำวัยเด็กผมก็เริ่มกลับคืนมา
จำได้ว่า ตรงข้างๆนี้มันจะมีสระน้ำดินเหนียวอยู่ด้วย
ตอนนี้มันคงแห้งคอดไปแล้ว เลยมีแต่ต้นหญ้าขึ้นสูงมาแทน
ผมเดินไปสำรวจดูรอบๆ ตรงบันไดลิงที่จะปีนขึ้นไป

หลานมายืนดูอยู่ใกล้ๆ ถามผมว่า  น้าจะปีนขึ้นไปหรือ
ผมก็เลยชวนหลาน ปีนขึ้นไปดูไหม
ตอนนั้น ความทรงจำวัยเด็ก มันเหมือนกระตุ้นให้ผมอยากขึ้นไประลึกถึงความหลัง
จนแทบจะห้ามตัวเองไม่อยู่

พอกำลังจะปีนขึ้นไป
อยู่ๆผมก็สังเกตเห็น ร่องรอยขีดๆเขียนๆตามเสาไม้รอบๆเต็มไปหมด
ผมก็เลยถามน้าว่าใครมาขีดเขียนอะไรไว้
น้าก็มายืนดูแล้วก็บอกว่า พวกเด็กเลี้ยงควายแถวนี้หละมั้ง คงแอบเข้ามาเล่น
ผมมองดูบางตัวก็เป็นภาษาอังกฤษ บางตัวก็เป็นคำหยาบๆ
บางตัวก็เขียนว่า ผี
บางตัวก็มีเขียน ผีดุ
พอเห็นแบบนั้น ด้วยความที่ผมเป็นคนไม่กลัวผีอยู่แล้ว
ก็รู้สึกว่า เลอะเทอะไร้สาระ ก็ไม่ได้สนใจอะไร
แล้วก็เลยปีนบันไดลิงขึ้นไปบนปราคาร
หลานผมก็ปีนตามขึ้นมาด้วย
มีแต่น้าผู้หญิงที่แกไม่กล้าปีนขึ้นมา

พอใกล้ๆจะถึง มันจะมีแผ่นไม้ ปิดตรงช่องที่จะปีนขึ้นไป
ต้องเอามือดันให้ไม้มันเปิดขึ้น ถึงจะปีนขึ้นไปได้

พอปีนขึ้นไปถึงข้างบนได้ มองดูที่พื้นมีฝุนจับหนา
รอบๆมีผนังทำด้วยไม้สูงเท่าเอวล้อมเป็นวงกลม
เราสามารถเดินไปมองได้ทุกทิศทุกทางเลย
ลมเริ่มพัดมา ทำให้รู้สึกเย็นสบาย
แล้วผมก็พาหลานไปดู ชื่อผม ที่ผมแกะสลักไว้ ตรงขอบผนังไม้
นี่ มันนานมากๆเลยนะ น่าจะสามสิบปีได้แล้วมั้ง
รู้สึกดีใจ ที่ได้มาเจอมัน

พอยืนดูอะไรไปมาสักพัก
หลานก็เลยชวนกลับ
ช่วงที่หลานกำลังไต่บันไดลงไปก่อน
ผมไปยืนมองหันหน้าไปทางบ้านยาย
พอมองไปตรงระเบียงชั้นสอง ก็เห็นป้าแสงแกกำลังเดินกวาดตรงระเบียงอยู่
แล้วตาผมก็มองไปตรงประตูที่ป้าแสงเปิดอ้าไว้
ขนหัวผมก็ลูกซู่ขึ้น อย่างไม่ทันตั้งตัวเลยครับ
ผมเห็นร่างผู้หญิงใส่ชุดคลุมสีขาวๆ ตัวดำๆ ผ้าปลิวไปมา ยืนตัวแข็งทื่ออยู่นิ่งๆในความมืด

ผมแทบไม่ชื่อตาตัวเอง
รีบเอามือขยี่ตาแล้วจ้องมองไปอีกที คราวนี้เห็นแต่ช่องประตูมืดๆ
ไม่เห็นใครยืน อยู่แล้วครับ
ใจผมเต้นแรงมาก จะว่าเป็นคนทำไมถึงหายไปไวจัง
พอรู้สึกว่าเริ่มเสียวสันหลังแล้ว
ผมก็เลยรีบปีนกลับลงมาจาก ปราคาร
พอปีนลงมาได้ครึ่งตัว ก็เอามือไปดึงไม้ปิดทางขึ้น     มาถือค้างไว้
แล้วพอลงผมก็ค่อยๆ ปล่อยให้ฝามันปิดตามลงมาเบาๆ
แต่พอผมลงมาแล้วปล่อยให้มันปิดตามลงมา
มันไม่ยอมปิดลงมาครับ
มันเปิดค้างไว้อยู่
ผมก็สงสัย มันติดอะไรวะ
เลยชะโงกหน้าลอดช่องขึ้นไปมองตรงช่องนั้น
เอ้ย..
ผมเห็นเป็นท่อนแขนคนกำลังดึงแผ่นไม้นั้นอยู่ครับ
ผมตกใจ อย่างไม่ทันตั้งตัว
แล้วเท้าผมก็รู้สึกเหมือนมีใครมาดึงให้หลุดออกจากขั้นบันไดที่เหยียบอยู่
ตัวผมก็ร่วงไถลไปกับราวบันใด อย่างไวเลยครับ
ผมได้แต่ร้องออกมาจุดสุดเสียง

แล้วก็ไม่รู้สติแล้วครับว่าเกิดอะไรขึ้น

มารู้ตัวอีกที
ก็ตอนอยู่โรงพยาบาลแล้ว
สภาพคือ นอนเข้าเฝือกที่ขาอยู่บนเตียง
น้าบอกว่า ผมตกลงมาแล้วเท้าคงกระแทกพื้น ข้อเอ็นฉีก
แล้วน้าก็วิ่งไปเรียกให้คนมาช่วยผม
โชคดีที่ ไม่ตกลงมาแล้วหัวฟาดพื้น

โปรดติดตามตอนต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่