The Diving Bell and the Butterfly
จะเป็นอย่างไรเมื่อถูกกักขังในร่างตัวเอง
หากชีวิตนึงจะเจอเรื่องเลวร้ายอะไรสักอย่าง...ที่สุดของที่สุดแล้วคงไม่พ้นความเจ็บไข้ได้ป่วยของตัวเอง
และที่สุดของที่สุดของความทรมานนั้นคงไม่พ้นสิ่งที่ชายคนนี้เจอ
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนคนหนึ่งที่มีชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์...ประสบความสำเร็จ...
มีลูก...มีคนรัก...มีแขน...มีขา...ไม่เคยดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่...สุขภาพแข็งแรง
แล้ววันนึงคุณก็วูบ...แล้วก็แทบสูญเสียทุกอย่างไป
ทั่วทั้งร่างไร้ความรู้สึก...ขยับไม่ได้...ออกเสียงไม่ได้...กระดิกนิ้วไม่ได้...ส่ายหัวไม่ได้
ทำได้แค่ 2 อย่าง...คือกรอกตาและกระพริบตา
แปลว่า...คุณถูกขังอยู่ในร่างที่แน่นิ่งเป็นผัก
...ไม่สามารถตอบสนองต่อใครู้ใดได้ กระทั่งคนรักหรือลูกตัวเอง...รู้สึกอย่างไรก็สื่อสารไม่ได้
...ไม่สามารถหัวเราะ...เดิน...อาบน้ำ...ทำกิจกรรมใดๆได้อีกต่อไป
...เจ็บปวดทรมานยังไงก็แค่กระพริบตา
อึดอัดที่สุดคือ...แม้กระทั่งอยากตาย...ก็ทำไม่ได้
ทำได้แค่กรอกตาไปมา...เท่านั้น
มันคือเรื่องจริงของบรรณาธิการของนิตยสารแฟชั่นชื่อดังที่ต้องมาเป็นอัมพาตทั้งตัว
เส้นเลือดในสมองแตกขณะขับรถไปส่งลูก...แล้วนั่งรถเข็นนิ่งไปตลอดชีวิต
จินตนาการไม่ออกจริงๆว่าจะรู้สึกยังไง...
ฌองโด ในสภาพพิการที่ทุกคนที่เห็นเป็นต้องสิ้นหวังและสังเวชใจแทน
และเขาคือคนแรกและคนเดียวนับแต่นั้น
...ที่เป็นพิการอัมพาตทั้งตัวที่เขียนหนังสือออกมาได้ด้วยการกระพริบตา...ในบั้นปลายชีวิต
...และถูกตีพิมพ์โด่งดังไปทั่วโลก
...จนกระทั่งถูกสร้างเป็นภาพยนต์ชีวิตของเขา กวาดรางวัลมาแล้วทั่วทุกเวทีในปี 2007
กำกับโดย Julian Schnabel
---------------------------------------------
ว่าด้วยเรื่องของหนัง
ผู้กำกับถ่ายทอดเรื่องราวของโบบี้ได้ถึงอารมณ์มากๆ
ฉากที่ต้องเย็บปิดเปลือกตา...ฉากมุมมองเพียงครึ่งซีกของโบบี้
ถ่ายให้เห็นแค่ครึ่งจอ...โคตรอึดอัดแทน
ฉากจินตนาการของโบบี้ที่สามารถไปไกลเท่าไร เป็นอะไรก็ได้...แล้วตัดกลับมาที่ตัวเขาในสภาพคนพิการ
มันจี้หัวใจแทน
ฉากโกนหนวดให้พ่อยิ่งรู้สึกถึงความรักเอาใจใส่พ่อตัวเองเมื่อหนังตัดกลับมาตอนที่พ่อโทรมาคุยและร้องไห้กับเขา...
โดยที่เขาไม่สามารถคุย...บอกความรู้สึกใดๆของตัวเองให้แก่พ่อที่เขารักที่สุดได้
ฉากความพยายามในการกระพริบตาของเขาที่แค่ประโยคเดียวก็แสนยากลำบาก
...เขาความพยายามต่อประโยคเพียงแค่บอกว่า...อยากตาย...
ฉากที่เขาตัดสินใจไม่ยอมแพ้แม้จะเหลือแค่เปลือกตา...
แต่เขายังเหลือสมองและจินตนาการที่พยายามกระพริบตาบอกแก่ผู้ช่วยว่าอยากเขียนหนังสือ
และพยายามถ่ายทอดมันทีละตัวอักษร...ทีละคำ...ทีละประโยค...เรียบเรียงมาโดยการกระพริบตาเพื่อบอกได้แค่"ใช่กับไม่ใช่"
และอีกมากมาย...ทั้งอึดอัด...สะเทือนใจ...ประทับใจ สมกับที่กวาดรางวัลมาเพียบ
4 สาขาออสการ์
2 ลูกโลกทองคำ
และ กำกับหนังยอดเยี่ยมเทสกาลเมืองคานน์
--------------------------------------------
สั้นๆนะครับ
วันไหนหมดกำลังใจ เหนื่อยล้าจนอยากตายหรือไม่อยากทำอะไร
...ก็คงเป็นแค่ขี้เล็บเมื่อเทียบกับโบบี้
เรื่องเลวร้ายภายนอกเรายังพอจัดการได้เวลาเจอ...อาจเดินหนีหรือเดินชนแก้ปัญหาหรือไม่ไปยุ่งไม่คิดถึงมัน
แต่หากเป็นเรื่องการเจ็บป่วยภายใน...เป็นความทุกข์ที่หนีไม่ได้แล้วอย่างที่โบบี้พบ
...กระทั่งอยากตายหนีสภาพแบบนี้เขาก็ทำไม่ได้...อึดอัดขนาดเรื่องทั่วไปที่พวกเราเจอเล็กน้อยไปเลย
และสำคัญที่สุด เขาไม่แค่ไม่ยอมแพ้...เขาสู้จนประสบความสำเร็
วันไหนอยากได้กำลังใจ...ลองเปิดหนังเรื่องนี้ดู
แล้วจะเห็นคุณค่าของการมีมือมีแขนขาไว้ดูแลคนที่เรารัก...และสู้เพื่อตัวเองได้ต่อไป
สรุป 8.0/10
หนังสนุก ตื้นตันมากครับ ต้องดูให้ได้
ดูหลายรอบแล้วยังคงประทับใจ
ปล.โบบี้แม้กระทั่งอยู่ในสภาพนั้นก็ยังมีอารมณ์ขัน น่ารักตลกดี
[CR] The Diving Bell and the Butterfly(2007) ___ หนังแห่งกำลังใจ
จะเป็นอย่างไรเมื่อถูกกักขังในร่างตัวเอง
หากชีวิตนึงจะเจอเรื่องเลวร้ายอะไรสักอย่าง...ที่สุดของที่สุดแล้วคงไม่พ้นความเจ็บไข้ได้ป่วยของตัวเอง
และที่สุดของที่สุดของความทรมานนั้นคงไม่พ้นสิ่งที่ชายคนนี้เจอ
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนคนหนึ่งที่มีชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์...ประสบความสำเร็จ...
มีลูก...มีคนรัก...มีแขน...มีขา...ไม่เคยดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่...สุขภาพแข็งแรง
แล้ววันนึงคุณก็วูบ...แล้วก็แทบสูญเสียทุกอย่างไป
ทั่วทั้งร่างไร้ความรู้สึก...ขยับไม่ได้...ออกเสียงไม่ได้...กระดิกนิ้วไม่ได้...ส่ายหัวไม่ได้
ทำได้แค่ 2 อย่าง...คือกรอกตาและกระพริบตา
แปลว่า...คุณถูกขังอยู่ในร่างที่แน่นิ่งเป็นผัก
...ไม่สามารถตอบสนองต่อใครู้ใดได้ กระทั่งคนรักหรือลูกตัวเอง...รู้สึกอย่างไรก็สื่อสารไม่ได้
...ไม่สามารถหัวเราะ...เดิน...อาบน้ำ...ทำกิจกรรมใดๆได้อีกต่อไป
...เจ็บปวดทรมานยังไงก็แค่กระพริบตา
อึดอัดที่สุดคือ...แม้กระทั่งอยากตาย...ก็ทำไม่ได้
ทำได้แค่กรอกตาไปมา...เท่านั้น
มันคือเรื่องจริงของบรรณาธิการของนิตยสารแฟชั่นชื่อดังที่ต้องมาเป็นอัมพาตทั้งตัว
เส้นเลือดในสมองแตกขณะขับรถไปส่งลูก...แล้วนั่งรถเข็นนิ่งไปตลอดชีวิต
จินตนาการไม่ออกจริงๆว่าจะรู้สึกยังไง...
ฌองโด ในสภาพพิการที่ทุกคนที่เห็นเป็นต้องสิ้นหวังและสังเวชใจแทน
และเขาคือคนแรกและคนเดียวนับแต่นั้น
...ที่เป็นพิการอัมพาตทั้งตัวที่เขียนหนังสือออกมาได้ด้วยการกระพริบตา...ในบั้นปลายชีวิต
...และถูกตีพิมพ์โด่งดังไปทั่วโลก
...จนกระทั่งถูกสร้างเป็นภาพยนต์ชีวิตของเขา กวาดรางวัลมาแล้วทั่วทุกเวทีในปี 2007
กำกับโดย Julian Schnabel
---------------------------------------------
ว่าด้วยเรื่องของหนัง
ผู้กำกับถ่ายทอดเรื่องราวของโบบี้ได้ถึงอารมณ์มากๆ
ฉากที่ต้องเย็บปิดเปลือกตา...ฉากมุมมองเพียงครึ่งซีกของโบบี้
ถ่ายให้เห็นแค่ครึ่งจอ...โคตรอึดอัดแทน
ฉากจินตนาการของโบบี้ที่สามารถไปไกลเท่าไร เป็นอะไรก็ได้...แล้วตัดกลับมาที่ตัวเขาในสภาพคนพิการ
มันจี้หัวใจแทน
ฉากโกนหนวดให้พ่อยิ่งรู้สึกถึงความรักเอาใจใส่พ่อตัวเองเมื่อหนังตัดกลับมาตอนที่พ่อโทรมาคุยและร้องไห้กับเขา...
โดยที่เขาไม่สามารถคุย...บอกความรู้สึกใดๆของตัวเองให้แก่พ่อที่เขารักที่สุดได้
ฉากความพยายามในการกระพริบตาของเขาที่แค่ประโยคเดียวก็แสนยากลำบาก
...เขาความพยายามต่อประโยคเพียงแค่บอกว่า...อยากตาย...
ฉากที่เขาตัดสินใจไม่ยอมแพ้แม้จะเหลือแค่เปลือกตา...
แต่เขายังเหลือสมองและจินตนาการที่พยายามกระพริบตาบอกแก่ผู้ช่วยว่าอยากเขียนหนังสือ
และพยายามถ่ายทอดมันทีละตัวอักษร...ทีละคำ...ทีละประโยค...เรียบเรียงมาโดยการกระพริบตาเพื่อบอกได้แค่"ใช่กับไม่ใช่"
และอีกมากมาย...ทั้งอึดอัด...สะเทือนใจ...ประทับใจ สมกับที่กวาดรางวัลมาเพียบ
4 สาขาออสการ์
2 ลูกโลกทองคำ
และ กำกับหนังยอดเยี่ยมเทสกาลเมืองคานน์
--------------------------------------------
สั้นๆนะครับ
วันไหนหมดกำลังใจ เหนื่อยล้าจนอยากตายหรือไม่อยากทำอะไร
...ก็คงเป็นแค่ขี้เล็บเมื่อเทียบกับโบบี้
เรื่องเลวร้ายภายนอกเรายังพอจัดการได้เวลาเจอ...อาจเดินหนีหรือเดินชนแก้ปัญหาหรือไม่ไปยุ่งไม่คิดถึงมัน
แต่หากเป็นเรื่องการเจ็บป่วยภายใน...เป็นความทุกข์ที่หนีไม่ได้แล้วอย่างที่โบบี้พบ
...กระทั่งอยากตายหนีสภาพแบบนี้เขาก็ทำไม่ได้...อึดอัดขนาดเรื่องทั่วไปที่พวกเราเจอเล็กน้อยไปเลย
และสำคัญที่สุด เขาไม่แค่ไม่ยอมแพ้...เขาสู้จนประสบความสำเร็
วันไหนอยากได้กำลังใจ...ลองเปิดหนังเรื่องนี้ดู
แล้วจะเห็นคุณค่าของการมีมือมีแขนขาไว้ดูแลคนที่เรารัก...และสู้เพื่อตัวเองได้ต่อไป
สรุป 8.0/10
หนังสนุก ตื้นตันมากครับ ต้องดูให้ได้
ดูหลายรอบแล้วยังคงประทับใจ
ปล.โบบี้แม้กระทั่งอยู่ในสภาพนั้นก็ยังมีอารมณ์ขัน น่ารักตลกดี