ขออธิบายหลักการลงทุนแบบวีไอให้สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เข้าใจการลงทุนแบบนี้ ส่วนท่านที่เป็นวีไอพันธุ์แท้ก็อย่าหาว่าผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเลยนะครับ คิดว่าแชร์ความรู้เพื่อปรับทัศนคติให้กับนักลงทุนมือใหม่ละกันครับ
การลงทุนแบบวีไอหรือ VALUE INVESMENT นั้น เป็นวิธีการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับนักลงทุนบ้านเรา โดยผู้ที่ลงทุนแบบ VALUE INVESMENT เราเรียกพวกเค้าว่า VALUE INVESTOR หรือเรียกย่อๆว่า การลงทุนแบบวีไอ และนักลงทุนแบบวีไอ นั่นเอง เพราะฉะนั้นคำว่า VI จึงหมายถึงรูปแบบการลงทุน และชื่อเรียกประเภทนักลงทุนนะครับ
นักลงทุนน้อยคนที่จะศึกษาการลงทุนแบบนี้อย่างแตกฉานเนื่องจากมันต้องใช้ความพยายามค่อนข้างสูง ผมขออธิบายแบบภาษาบ้านๆให้มือใหม่เข้าใจง่ายๆนะครับว่า การลงทุนแบบวีไอนั้นคนส่วนใหญ่คิดว่าจะต้องใช้เวลาในการลงทุนยาวนาน หรือถือหุ้นระยะยาวถึงจะเป็นการลงทุนแบบวีไอ จริงๆแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้นครับ
การลงทุนแบบวีไอนั้นคือการที่เราซื้อสินค้าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นเสมอไปนะครับ ที่ดิน บ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ คอนโด พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ รถยนต์ พระเครื่อง นาฬิกา ก็สามารถลงทุนแบบวีไอได้ ถ้าคุณรู้มูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์เหล่านั้น เช่น มีคนมาเสนอขายที่ดินแปลงนึงให้กับคุณในราคา ตรว.ละ 300,000 บาท ในขณะที่คุณรู้อยู่ว่าราคาที่ดินบริเวณนั้นเค้าซื้อขายราคากลางอยู่ที่ประมาณ ตรว.ละ 500,000 บาท คุณก็รับซื้อเอาไว้ขายต่อเพื่อทำกำไร หรือคุณเห็นว่าราคาที่ดินแปลงนั้นมีโอกาสที่จะเพิ่มราคาสูงขึ้นได้อีกในอนาคตเพราะรู้ว่าที่ดินบริเวณนั้นมีอยู่จำกัด และอยู่ในทำเลที่ดี สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมาก
หุ้นก็เช่นกันครับ โดยมากเราจะพูดถึงหลักการลงทุนแบบวีไอเฉพาะในหุ้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าคุณเข้าใจหลักการที่แท้จริงของการลงทุนแบบนี้ คุณสามารถใช้วิธีการลงทุนแบบวีไอได้ในสินทรัพย์แทบจะทุกอย่างที่คุณประเมินมูลค่าที่แท้จริงของมันได้และราคาที่คุณลงทุนซื้อนั้นเป็นราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน
ฟังดูเหมือนง่ายใช่มั๊ยครับ แต่พอเอามาใช้ในหุ้นแล้วทำไมคนจำนวนน้อยถึงประสบความสำเร็จกับการลงทุนแบบวีไอ ในขณะที่คนจำนวนมากมักจะบอกว่าตัวเองเป็นวีไอแต่ก็ยังลงทุนแล้วขาดทุนอยู่ร่ำไป นั่นเพราะคนที่ประสบความสำเร็จเค้าสามารถประเมินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงได้ และซื้อหุ้นตัวนั้นได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน
การจะทำแบบนั้นได้ก็ต้องหาข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์งบการเงิน อ่านอนาคตของธุรกิจนั้นๆได้อย่างแตกฉาน จนเค้ามองเห็นภาพในอนาคตของธุรกิจ(หุ้น)นั้นๆชัดเจนที่เค้าจะซื้อเพื่อลงทุน ส่วนคนที่ล้มเหลวในการลงทุนแบบวีไอหลักๆก็คือยังซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงไม่ได้นั่นเองครับ คนส่วนใหญ่มักจะซื้อหุ้นในราคาที่ไม่รู้มูลค่าที่แท้จริงแล้วหวังจะขายออกไปให้ได้ในราคาสูงกว่าที่ตัวเองซื้อมาเสมอ ซึ่งตามธรรมชาติมันจะมีราคาเหมาะสมของสิ่งของนั้นๆอยู่เสมอตามหลักดีมานด์และซัพพลาย
สิ่งที่วีไอที่ประสบความสำเร็จทำมีอะไรบ้าง เอาเป็นสิ่งที่ควรจะทำเพื่อหาข้อมูลมาตัดสินใจนะครับ
1) การอ่านรายงานทางธุรกิจ เช่น แบบ 56-1 , รายงานประจำปี เป็นต้น
2) การวิเคราะห์งบการเงิน (งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น และหมายเหตุประกอบงบการเงิน)
3) การไป agm (ประชุมผู้ถือหุ้น)
4) การไป company visit (เยี่ยมชมกิจการที่เราสนใจจะลงทุนและสอบถามข้อมูลจากผู้บริหารเพื่อประกอบการตัดสินใจ)
5) การขอข้อมูลสำคัญๆทางธุรกิจหรือติดตามข่าวสารทางธุรกิจจาก IR
6)การติดตามข้อมูลข่าวสารของธุรกิจที่เราสนใจจากการไปร่วมงาน opportunity day หรือเรียกสั้นๆว่า opp day
7) การติดตามข่าวสารทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ เว็บไซท์เกี่ยวกับหุ้น หรือข่าวที่บริษัทจดทะเบียนแจ้งอย่างเป็นทางการต่อตลาดหลักทรัพย์ (หาข้อมูลได้ในเว็บตลาดหลักทรัพย์)
จริงๆนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเค้าทำมากกว่า 7 ข้อนี้อีก แต่ผมแนะนำทางสายกลางให้สำหรับมือใหม่ก็พอ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จพอร์ทร้อยล้านพันล้าน เค้าทำมากกว่านี้อีกเยอะครับ
สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานเบื้องต้นส่วนใหญ่ของคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนแบบวีไอ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทางการลงทุนส่วนใหญ่จะผ่านกระบวนการนี้มาแล้วทั้งนั้น บางท่านเมื่อขนาดของพอร์ทใหญ่ขึ้นอาจจะเปลี่ยนวิธีการหาข้อมูลจากนี้ไปบ้าง เช่น เมื่อพอร์ทใหญ่มากๆก็สามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อขอทำการเยี่ยมชมกิจการ หรือแม้แต่ขอพูดคุยกับผู้บริหารบริษัทโดยตรงเพื่อขอข้อมูลทางธุรกิจที่สำคัญๆ มาประกอบการตัดสินใจลงทุน เซียนรายใหญ่ของเหล่าวีไอมักจะไปถึงจุดนี้กันแล้ว
อีกเรื่องนึงที่ผมลืมกล่าวถึงคือเรื่อง ระยะเวลาของการลงทุน มีการเข้าใจผิดเสมอว่าการลงทุนแบบวีไอคือ การซื้อหุ้นแล้วถือยาวๆถึงจะเรียกว่าเป็นวีไอ ซึ่งมันมีทั้งถูกและผิดนะครับ การลงทุนแบบวีไอคือการซื้อของต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและขายเมื่อราคามันมาถึงมูลค่าที่แท้จริง หรือเกินมูลค่าที่แท้จริง
ยกตัวอย่างเช่น เราซื้อหุ้น A ซึ่งเราได้ประเมินมูลค่าอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วพบว่า มูลค่าที่แท้จริงของมันควรจะราคา 10 บาท แต่ราคาตลาดในขณะที่เราซื้อคือ 5 บาท เมื่อเราซื้อมาแล้ว ปรากฏว่ามีข่าวที่เข้ามากระทบกับหุ้นของเราทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้น 100% ได้ภายในอาทิตย์เดียว ซึ่งก็คือราคา 10 บาท เมื่อเป็นแบบนี้ถ้าคิดตามหลักการลงทุนแบบวีไอเราควรจะขายหุ้นออกไปเพราะราคาหุ้นได้ขึ้นมาถึงมูลค่าที่แท้จริงของมันแล้ว ทั้งๆที่เราอาจจะซื้อหุ้นตัวนี้ได้เพียงอาทิตย์เดียว เราก็ควรจะขาย
เพราะฉะนั้นการลงทุนแบบวีไอไม่ได้บอกว่าต้องถือหุ้นยาวๆเท่านั้นถึงจะเป็นวีไอ วีไอคือการซื้อต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและขายเมื่อมันถึงมูลค่าหรือเกินมูลค่าที่แท้จริงครับ
อีกตัวอย่างเช่น รถยนต์มือสองรุ่นหนึ่งซื้อขายกันในราคาตลาดห้าแสนบาท แต่คุณสามารถหารถรุ่นเดียวกันปีเดียวกันได้ในราคาสามแสนบาท คุณก็สามารถซื้อเพื่อลงทุนได้ นี่คือหลักการลงทุนของวีไอครับ ถ้าคุณไม่ถนัดกับหุ้น เพราะเบื่อที่จะอ่านข้อมูล เบื่อที่จะวิเคราะห์งบการเงิน เบื่อที่จะไปประชุมผู้ถือหุ้น และเบื่ออีกหลายอย่างที่เหล่าวีไอเค้าทำๆกัน คุณก็ควรหาการลงทุนที่เหมาะกับความชอบของคุณเอง เช่น บางคนชอบพระเครื่อง บางคนชอบนาฬิกาข้อมือหรูๆ บางคนชอบคอนโด บางคนชอบที่ดิน บางคนชอบรถยนต์ บางคนชอบบ้านเดี่ยว
คุณก็ควรจะหาสิ่งที่ตัวเองชอบและถนัดแล้วลงทุนในสิ่งที่คุณถนัด บางคนวันหยุดชอบตระเวนดูที่ดิน หรือชอบไปดูคอนโดโครงการที่เปิดใหม่ๆในทำเลดีๆ ทุกๆอย่างที่คุณมีความถนัด คุณสามารถนำการลงทุนแบบวีไอไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งนั้นครับ ขอเพียงแต่คุณรู้มูลค่าที่แท้จริงของมัน และซื้อสินทรัพย์นั้นได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง คุณก็สามารถเป็นวีไอได้เช่นกันครับ
อีกเรื่องของระยะเวลาการลงทุน คือการถือหุ้นยาวๆ ยกตัวอย่างกรณีเดียวกัน หุ้น A เหมือนกัน ซื้อมาที่ราคา 5 บาท ภายในอาทิตย์เดียวราคาขึ้นไป 10 บาท นักลงทุนวีไอบางคนอาจจะไม่ขาย ถ้าเค้าเห็นว่าในอนาคตอันใกล้นี้หุ้นบริษัทดังกล่าวกำลังจะขยายงาน หรือลงทุนเพิ่มเติม ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นได้อีกมาก เค้าก็อาจจะถือหุ้นตัวนั้นต่อไปก็ได้ ในกรณีนี้คือแล้วแต่มุมมองของแต่ละคนนะครับ
บางคนมองว่าราคาขึ้นมาถึงมูลค่าที่แท้จริงแล้วก็ขายหุ้นออกไปเพื่อรับรู้กำไร แต่อีกคนต้นทุนเดียวกันแต่คิดว่าราคาจะไปได้ต่อเพราะบริษัทจะเติบโตได้อีกมาก ซึ่งจะทำให้หุ้น A ราคา under value ได้อีกมากในอนาคต เค้าก็อาจจะถือหุ้นตัวนั้นต่อไป อันนั้นอยู่ที่มุมมองของนักลงทุนแต่ละคนแล้วครับ คงบอกว่าถูกหรือผิดไม่ได้ ในระยะยาวนักลงทุนวีไอเชื่อว่าราคาจะสะท้อนออกมาตามผลประกอบการเสมอ แต่ในระยะสั้นราคาจะผันผวนไปตามอารมณ์และข่าวสารในตลาด คนที่ลงทุนระยะสั้นเราจึงเรียกเค้าว่าเป็นนักเก็งกำไร และคนที่ลงทุนระยะยาวเราจึงเรียกพวกเค้าเป็นนักลงทุนครับ
หมายเหตุ หุ้นวีไอไม่มีนะครับ มีแต่ การลงทุนแบบวีไอ ครับ เพราะหุ้นทุกตัวสามารถมีราคาเกินมูลค่าของมันได้เสมอ แต่การลงทุนแบบวีไอคือการซื้อของสิ่งนั้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันเสมอครับ
สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เข้าใจหลักการลงทุนแบบ VI ลองอ่านดูนะครับเผื่อจะเป็นประโยชน์กับท่านบ้าง
การลงทุนแบบวีไอหรือ VALUE INVESMENT นั้น เป็นวิธีการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับนักลงทุนบ้านเรา โดยผู้ที่ลงทุนแบบ VALUE INVESMENT เราเรียกพวกเค้าว่า VALUE INVESTOR หรือเรียกย่อๆว่า การลงทุนแบบวีไอ และนักลงทุนแบบวีไอ นั่นเอง เพราะฉะนั้นคำว่า VI จึงหมายถึงรูปแบบการลงทุน และชื่อเรียกประเภทนักลงทุนนะครับ
นักลงทุนน้อยคนที่จะศึกษาการลงทุนแบบนี้อย่างแตกฉานเนื่องจากมันต้องใช้ความพยายามค่อนข้างสูง ผมขออธิบายแบบภาษาบ้านๆให้มือใหม่เข้าใจง่ายๆนะครับว่า การลงทุนแบบวีไอนั้นคนส่วนใหญ่คิดว่าจะต้องใช้เวลาในการลงทุนยาวนาน หรือถือหุ้นระยะยาวถึงจะเป็นการลงทุนแบบวีไอ จริงๆแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้นครับ
การลงทุนแบบวีไอนั้นคือการที่เราซื้อสินค้าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นเสมอไปนะครับ ที่ดิน บ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ คอนโด พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ รถยนต์ พระเครื่อง นาฬิกา ก็สามารถลงทุนแบบวีไอได้ ถ้าคุณรู้มูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์เหล่านั้น เช่น มีคนมาเสนอขายที่ดินแปลงนึงให้กับคุณในราคา ตรว.ละ 300,000 บาท ในขณะที่คุณรู้อยู่ว่าราคาที่ดินบริเวณนั้นเค้าซื้อขายราคากลางอยู่ที่ประมาณ ตรว.ละ 500,000 บาท คุณก็รับซื้อเอาไว้ขายต่อเพื่อทำกำไร หรือคุณเห็นว่าราคาที่ดินแปลงนั้นมีโอกาสที่จะเพิ่มราคาสูงขึ้นได้อีกในอนาคตเพราะรู้ว่าที่ดินบริเวณนั้นมีอยู่จำกัด และอยู่ในทำเลที่ดี สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมาก
หุ้นก็เช่นกันครับ โดยมากเราจะพูดถึงหลักการลงทุนแบบวีไอเฉพาะในหุ้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าคุณเข้าใจหลักการที่แท้จริงของการลงทุนแบบนี้ คุณสามารถใช้วิธีการลงทุนแบบวีไอได้ในสินทรัพย์แทบจะทุกอย่างที่คุณประเมินมูลค่าที่แท้จริงของมันได้และราคาที่คุณลงทุนซื้อนั้นเป็นราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน
ฟังดูเหมือนง่ายใช่มั๊ยครับ แต่พอเอามาใช้ในหุ้นแล้วทำไมคนจำนวนน้อยถึงประสบความสำเร็จกับการลงทุนแบบวีไอ ในขณะที่คนจำนวนมากมักจะบอกว่าตัวเองเป็นวีไอแต่ก็ยังลงทุนแล้วขาดทุนอยู่ร่ำไป นั่นเพราะคนที่ประสบความสำเร็จเค้าสามารถประเมินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงได้ และซื้อหุ้นตัวนั้นได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน
การจะทำแบบนั้นได้ก็ต้องหาข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์งบการเงิน อ่านอนาคตของธุรกิจนั้นๆได้อย่างแตกฉาน จนเค้ามองเห็นภาพในอนาคตของธุรกิจ(หุ้น)นั้นๆชัดเจนที่เค้าจะซื้อเพื่อลงทุน ส่วนคนที่ล้มเหลวในการลงทุนแบบวีไอหลักๆก็คือยังซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงไม่ได้นั่นเองครับ คนส่วนใหญ่มักจะซื้อหุ้นในราคาที่ไม่รู้มูลค่าที่แท้จริงแล้วหวังจะขายออกไปให้ได้ในราคาสูงกว่าที่ตัวเองซื้อมาเสมอ ซึ่งตามธรรมชาติมันจะมีราคาเหมาะสมของสิ่งของนั้นๆอยู่เสมอตามหลักดีมานด์และซัพพลาย
สิ่งที่วีไอที่ประสบความสำเร็จทำมีอะไรบ้าง เอาเป็นสิ่งที่ควรจะทำเพื่อหาข้อมูลมาตัดสินใจนะครับ
1) การอ่านรายงานทางธุรกิจ เช่น แบบ 56-1 , รายงานประจำปี เป็นต้น
2) การวิเคราะห์งบการเงิน (งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น และหมายเหตุประกอบงบการเงิน)
3) การไป agm (ประชุมผู้ถือหุ้น)
4) การไป company visit (เยี่ยมชมกิจการที่เราสนใจจะลงทุนและสอบถามข้อมูลจากผู้บริหารเพื่อประกอบการตัดสินใจ)
5) การขอข้อมูลสำคัญๆทางธุรกิจหรือติดตามข่าวสารทางธุรกิจจาก IR
6)การติดตามข้อมูลข่าวสารของธุรกิจที่เราสนใจจากการไปร่วมงาน opportunity day หรือเรียกสั้นๆว่า opp day
7) การติดตามข่าวสารทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ เว็บไซท์เกี่ยวกับหุ้น หรือข่าวที่บริษัทจดทะเบียนแจ้งอย่างเป็นทางการต่อตลาดหลักทรัพย์ (หาข้อมูลได้ในเว็บตลาดหลักทรัพย์)
จริงๆนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเค้าทำมากกว่า 7 ข้อนี้อีก แต่ผมแนะนำทางสายกลางให้สำหรับมือใหม่ก็พอ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จพอร์ทร้อยล้านพันล้าน เค้าทำมากกว่านี้อีกเยอะครับ
สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานเบื้องต้นส่วนใหญ่ของคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนแบบวีไอ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทางการลงทุนส่วนใหญ่จะผ่านกระบวนการนี้มาแล้วทั้งนั้น บางท่านเมื่อขนาดของพอร์ทใหญ่ขึ้นอาจจะเปลี่ยนวิธีการหาข้อมูลจากนี้ไปบ้าง เช่น เมื่อพอร์ทใหญ่มากๆก็สามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อขอทำการเยี่ยมชมกิจการ หรือแม้แต่ขอพูดคุยกับผู้บริหารบริษัทโดยตรงเพื่อขอข้อมูลทางธุรกิจที่สำคัญๆ มาประกอบการตัดสินใจลงทุน เซียนรายใหญ่ของเหล่าวีไอมักจะไปถึงจุดนี้กันแล้ว
อีกเรื่องนึงที่ผมลืมกล่าวถึงคือเรื่อง ระยะเวลาของการลงทุน มีการเข้าใจผิดเสมอว่าการลงทุนแบบวีไอคือ การซื้อหุ้นแล้วถือยาวๆถึงจะเรียกว่าเป็นวีไอ ซึ่งมันมีทั้งถูกและผิดนะครับ การลงทุนแบบวีไอคือการซื้อของต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและขายเมื่อราคามันมาถึงมูลค่าที่แท้จริง หรือเกินมูลค่าที่แท้จริง
ยกตัวอย่างเช่น เราซื้อหุ้น A ซึ่งเราได้ประเมินมูลค่าอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วพบว่า มูลค่าที่แท้จริงของมันควรจะราคา 10 บาท แต่ราคาตลาดในขณะที่เราซื้อคือ 5 บาท เมื่อเราซื้อมาแล้ว ปรากฏว่ามีข่าวที่เข้ามากระทบกับหุ้นของเราทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้น 100% ได้ภายในอาทิตย์เดียว ซึ่งก็คือราคา 10 บาท เมื่อเป็นแบบนี้ถ้าคิดตามหลักการลงทุนแบบวีไอเราควรจะขายหุ้นออกไปเพราะราคาหุ้นได้ขึ้นมาถึงมูลค่าที่แท้จริงของมันแล้ว ทั้งๆที่เราอาจจะซื้อหุ้นตัวนี้ได้เพียงอาทิตย์เดียว เราก็ควรจะขาย
เพราะฉะนั้นการลงทุนแบบวีไอไม่ได้บอกว่าต้องถือหุ้นยาวๆเท่านั้นถึงจะเป็นวีไอ วีไอคือการซื้อต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและขายเมื่อมันถึงมูลค่าหรือเกินมูลค่าที่แท้จริงครับ
อีกตัวอย่างเช่น รถยนต์มือสองรุ่นหนึ่งซื้อขายกันในราคาตลาดห้าแสนบาท แต่คุณสามารถหารถรุ่นเดียวกันปีเดียวกันได้ในราคาสามแสนบาท คุณก็สามารถซื้อเพื่อลงทุนได้ นี่คือหลักการลงทุนของวีไอครับ ถ้าคุณไม่ถนัดกับหุ้น เพราะเบื่อที่จะอ่านข้อมูล เบื่อที่จะวิเคราะห์งบการเงิน เบื่อที่จะไปประชุมผู้ถือหุ้น และเบื่ออีกหลายอย่างที่เหล่าวีไอเค้าทำๆกัน คุณก็ควรหาการลงทุนที่เหมาะกับความชอบของคุณเอง เช่น บางคนชอบพระเครื่อง บางคนชอบนาฬิกาข้อมือหรูๆ บางคนชอบคอนโด บางคนชอบที่ดิน บางคนชอบรถยนต์ บางคนชอบบ้านเดี่ยว
คุณก็ควรจะหาสิ่งที่ตัวเองชอบและถนัดแล้วลงทุนในสิ่งที่คุณถนัด บางคนวันหยุดชอบตระเวนดูที่ดิน หรือชอบไปดูคอนโดโครงการที่เปิดใหม่ๆในทำเลดีๆ ทุกๆอย่างที่คุณมีความถนัด คุณสามารถนำการลงทุนแบบวีไอไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งนั้นครับ ขอเพียงแต่คุณรู้มูลค่าที่แท้จริงของมัน และซื้อสินทรัพย์นั้นได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง คุณก็สามารถเป็นวีไอได้เช่นกันครับ
อีกเรื่องของระยะเวลาการลงทุน คือการถือหุ้นยาวๆ ยกตัวอย่างกรณีเดียวกัน หุ้น A เหมือนกัน ซื้อมาที่ราคา 5 บาท ภายในอาทิตย์เดียวราคาขึ้นไป 10 บาท นักลงทุนวีไอบางคนอาจจะไม่ขาย ถ้าเค้าเห็นว่าในอนาคตอันใกล้นี้หุ้นบริษัทดังกล่าวกำลังจะขยายงาน หรือลงทุนเพิ่มเติม ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นได้อีกมาก เค้าก็อาจจะถือหุ้นตัวนั้นต่อไปก็ได้ ในกรณีนี้คือแล้วแต่มุมมองของแต่ละคนนะครับ
บางคนมองว่าราคาขึ้นมาถึงมูลค่าที่แท้จริงแล้วก็ขายหุ้นออกไปเพื่อรับรู้กำไร แต่อีกคนต้นทุนเดียวกันแต่คิดว่าราคาจะไปได้ต่อเพราะบริษัทจะเติบโตได้อีกมาก ซึ่งจะทำให้หุ้น A ราคา under value ได้อีกมากในอนาคต เค้าก็อาจจะถือหุ้นตัวนั้นต่อไป อันนั้นอยู่ที่มุมมองของนักลงทุนแต่ละคนแล้วครับ คงบอกว่าถูกหรือผิดไม่ได้ ในระยะยาวนักลงทุนวีไอเชื่อว่าราคาจะสะท้อนออกมาตามผลประกอบการเสมอ แต่ในระยะสั้นราคาจะผันผวนไปตามอารมณ์และข่าวสารในตลาด คนที่ลงทุนระยะสั้นเราจึงเรียกเค้าว่าเป็นนักเก็งกำไร และคนที่ลงทุนระยะยาวเราจึงเรียกพวกเค้าเป็นนักลงทุนครับ
หมายเหตุ หุ้นวีไอไม่มีนะครับ มีแต่ การลงทุนแบบวีไอ ครับ เพราะหุ้นทุกตัวสามารถมีราคาเกินมูลค่าของมันได้เสมอ แต่การลงทุนแบบวีไอคือการซื้อของสิ่งนั้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันเสมอครับ