สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 32
ผมว่า จขกท กับสมาชิกหลายคนในประทู้รู้สึกจะจับประเด็นพลาดไปเยอะนะครับ คุณเข้าใจผิดแล้วที่บอกว่า ฝรั่งมานั่งบังคับให้คุณไปนั่งเกลียด Hitler หรือ Nazi นั่นแสดงถึง การที่คุณไม่ได้เข้าใจถึงประเด็นของข่าว หรือเหตุผลเลยจริงๆ ข่าวตรงไหนที่เขียนว่า ทำไมไทยไม่เกลียดนาซี ไม่เกลียด Hitler ครับ? หาให้ผมดูหน่อยประโยคนี้ ผมอยากจะอ่าน
คนที่เคยนั่งเรียนประวัติศาสตร์เยอรมัน เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ในโรงเรียนเยอรมัน ยังไม่เคยมีสอนให้ "เกลียด Hitler หรือเกลียด Nazi" แต่แสดงถึงเหตุผล ที่มาที่ไป และผลที่ตามมาอันเลวร้ายของสงครามโลกที่เยอรมันก่อขึ้น เรื่องนี้สอนใน Class ประวัติศาสตร์ในโรงเรียนเยอรมันเกรด 10 ทุกปี ไม่เคยเปลี่ยน ที่เหลือเด็กอายุ 14-15 มันก็คิดเองได้แล้วครับว่า อะไรควร ไม่ควร อะไรน่ายกย่อง หรืออะไรไม่น่าเชิดชู ในประเทศอื่นๆก็ไม่แตกต่างกัน
ข่าวนี้ก็ลงในเยอรมัน และคาดว่า น่าจะผิดคาดว่า จขกท ไปเยอะเสียล่ะมั้งครับ เพราะถ้าไปอ่านที่ Comments ที่คนเยอรมันเขียน จะเห็นเลยว่า มีความเห็นแตกต่างกัน ทั้งที่มีคนออกมาบอกว่า ก็คนมันไม่รู้ หรือที่บอกว่า ต่อให้ไม่เหมาะสม แต่ก็เป็นอิสระทางด้านความคิดก็มีทุกแบบ แต่ไม่มีใครเขียนแม้แต่น้อยว่า "ทำไมไทยไม่เกลียด Hitler" (หรือถ้าหาที่ไทยเจอ ก็รบกวนเอามาลงให้อ่านด้วยครับ) มีแต่วิจารณ์ถึง "ความเหมาะสม" หรือคิดว่า เพราะคนไม่รู้ เลยไม่น่าโกรธ ไม่น่าเก็บมาเป็นอารมณ์นี่ เอาเข้าจริงๆ น่าอายมากกว่ามั้ยครับที่เค้าพูดถึงเด็กที่เรียนมหาวิทยาลัยของไทยแนวหน้าแบบนี้?
ยิ่งใครที่บอกว่า "ฝรั่งไม่เคารพสิทธิ freedom of speech" นี่แสดงว่า ไม่ได้ไปอ่านข่าวนอกประเทศเลย ใช่มั้ยครับ? เพราะถ้าอ่านจะรู้ว่าตามข่าว เวลา Comments มันมีทุกแบบ ไม่ใช่แค่ด่าเท่านั้น
http://www.welt.de/vermischtes/article118052850/Studenten-malen-Hitler-als-Superheld-auf-Banner.html
อันนี้หนังสือพิมพ์เยอรมันที่ผมยกมาให้ดู ถ้าลงไปอ่าน Comment ก็จะเห็นว่า มีความคิดหลากหลาย ทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย สนับสนุน หรือไม่สนใจ มึทุกแบบให้เห็นนั่นแหละครับ ไม่ใช่หัวแคบแบบที่ จขกท หรือสมาชิกหลายๆคนคิดหรอกนะครับ อันนี้ก็ขอให้เข้าใจให้ถูกเสียด้วย ก่อนจะไปเหมาว่าฝรั่งเขาซะหมดทั้งๆที่ไม่ได้ไปหาอ่านข้อมูลที่อื่น และไม่ได้รู้ว่าจริงๆแล้วฝรั่งคิดอะไร
แต่ประเด็นเรื่องนี้มันคืออะไรกันแน่ครับ? เด็กนักศึกษาจุฬาเรียกว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว ความรู้ก็มี เพราะฉะนั้นก็ไม่เข้าข่าย "ผู้ไม่รู้" ประวัติศาสตร์โลกก็เรียนกันมาไม่รู้เท่าไหร่ ไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดว่า สงครามโลกเริ่มเมื่อไหร่ หรือจบวันไหนหรอกครับ แต่ทุกคนก็รู้ว่า ที่ Hitler ทำ มันมีผลกับใคร กับคนกี่สิบล้านคนบ้าง อันนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรู้ ถามว่า ที่ทำมันเหมาะสมมั้ย นั่นต่างหาก คือ คำถามและประเด็นสำคัญ ไม่ใช่ "ทำไมคนไทยไม่เกลียด Hitler เหมือนฝรั่ง" ใครจะรักจะเกลียดก็ทำไปเถอะครับ แต่ความเคารพ หรือให้เกียรติผู้ที่เสียชีวิตไปในสงครามโลกนั้น ไม่ว่าจะ culture นั้นก็เป็นสิ่งที่สมควรทำ และการให้เกียรติผู้ตายนั้น ก็คือ การไม่นำเรื่องที่น่าเศร้าใจนี่มาเห็นเป็นเรื่องสนุก หรือเท่ห์แบบที่ จขกท ว่านั่นแหละครับ แต่ก็ยังมีคนออกมาเถียงแทนว่า "ทำไมฝรั่งเกลียด แล้วไทยต้องเกลียดตาม" นี่ก็นอกประเด็นไปไหนล่ะนี่? ประเด็นมันไม่ใช่ว่า ใครเกลียดแล้วมันต้องเกลียดตามนะครับ ประเด็น คือ ความเหมาะสมของการกระทำของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนมีความรู้ต่างหาก ซึ่งผมคิดว่า นักศึกษาของจุฬาไม่ได้เป็นกลุ่มชนชั้นไม่มีความรู้แน่นอน
แล้วที่มีคนตอบว่า ที่สื่อด่าเพราะคนไทยทำรีบดิ้นเนี่ย แต่ฝรั่งทำไม่เป็นไรเนี่ย รู้อะไรแค่ไหนครับ? ที่ว่ามาแน่ใจเหรอครับ? แล้วแน่ใจว่า ทำแล้วไม่โดนด่ายับ??? ผมยกตัวอย่างข่าวดังในยุโรปมาให้ดูอีกเรื่องในปี 2005 ที่ Prince Harry นำชุดทหารนาซีมาใส่ และโดนถ่ายรูป จนเป็นข่าวใหญ่โต ที่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ฝรั่งเอง ไม่ว่าจะเจ้าหรือคนธรรมดา ถ้าทำตัวไม่เหมาะสม ทั้งๆที่ไม่ได้ทำ "ผิดกฏหมาย" แต่ทำอะไรไปไม่ถูกต้องตามมารยาท ความเหมาะสม ก็โดนสื่อยำเหมือนกัน แถมสื่อทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในอังกฤษนะครับ
http://news.bbc.co.uk/2/hi/4170083.stm
สุดท้ายต้องออกมาขอโทษด้วยตัวเอง เพราะ "ความไม่เหมาะสม" นี้ ไม่ได้เกี่ยวกับว่า ฝรั่งเกลียดหรือไม่เกลียด Hitler แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเรื่องนี้มันเป็นประวัติศาสตร์โลกที่ด่างพร้อย มีคนต้องเสียชีวิตไปมากมาย เป็นเรื่องน่าเศร้ามากกว่าเรื่องน่าสนุกนะครับ เพราะฉะนั้นที่บอกฝรั่งก็ทำน่ะ ใช่ครับ แต่ฝรั่งที่มันสิ้นคิดครับ มันถึงทำ แถมทำไปก็โดนคนดูถูก โดนด่าไม่เหลือชิ้น ยิ่งเป็นคนของสื่อยิ่งโดนเป็น 2 เท่า อันนี้ก็ช่วยแก้ความเข้าใจผิดที่ส่า "ฝรั่งก็ทำแล้วไม่เป็นไรเสียด้วยนะครับ" (อ่อ เดี๋ยวก็อ้างอีกว่า ทำในยุโรปเลยโดนด่าได้... ลืมไป ชอบอ้างแบบนี้กัน)
สุดท้ายเรื่องนี้ก็แค่แสดงให้เห็นว่า ในหลายๆจุดหลายๆคนในสังคมไทยยังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่พัฒนาตัวเองให้เข้ากับความ globalization หรือเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับสังคมโลก ที่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ทุกวันนี้ โดยอ้างว่า ไทยไม่ได้โดนเอง ไม่เดือดร้อน ไม่เข้าใจประเด็นที่สื่อนอกลง แถมไปตีออกนอกประเด็นว่า "โดนสื่อว่า เพราะไทยไม่เกลียด Hitler ตามฝรั่ง" ซึ่งนั่นมันไม่ใช่เหตุผล หรือประเด็นแม้แต่น้อยเลย ถ้าจะบอกว่าไทยไม่โดนเหมือนคนอื่น เลยไม่แคร์ ไม่สนใจ ไม่มีความจำเป็นจะต้องคิดถึงความเหมาะสม แล้วไทยไม่มีธุรกิจ ไม่มีความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆที่เดือดร้อนจากสงครามโลกหรือครับ? ไม่ว่าจะ USA, UK, Germany ไทยก็ต้องทำธุรกิจกับนอกประเทศด้วยไม่ใช่หรือครับ? เรื่องนี้ยังมีคนไทยหลายคนที่ไม่เข้าใจถึง "การกระทำที่เหมาะสม หรือไม่เหมาะสม" และ"การรู้มารยาท หรือการทำตัวที่เหมาะสมในสังคมโลก" ประเทศไทยหรือประเทศไหนๆไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวได้ในโลกโดยที่ไม่แคร์ประเทศอื่นนะครับ แถมประเทศไทยเองก็ไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจเสียด้วย การที่ต้องรู้ว่า อะไรเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม อะไรควรจะทำหรือไม่ทำในสังคมของโลก เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้แล้วในปัจจุบันนี้ ยิ่งถ้าอยากจะพัฒนาตัวเองเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ก็เลี่ยงไม่ได้กับการที่จะต้องโดนสื่อวิพากษ์วิจารณ์เมื่อทำอะไรไม่เหมาะสม เรายังมีสิทธิ์ที่จะแสดงความเห็นได้ สื่อก็เหมือนกันครับ แถมสื่อนอกไม่เกรงใจใครหรอกนะครับ
กฏเกณฑ์และความรู้สึกนึกคิดที่จะชั่งใจว่า การกระทำใดถึงจะเหมาะสม หรือไม่เหมาะสมในสังคม คือ เครื่อง define ความเจริญของสังคมนั้นๆได้ดีที่สุด ไม่ใช่กฏหมายครับ กฏหมายลอกเลียนแบบกันได้ ไม่ว่าประเทศไหนๆก็มีกฏหมาย แต่กลับเจริญไม่เท่ากัน แตกต่างกันก็ตรงนี้ ผมว่า มันน่าเสียใจ และน่าอับอายนะ ทั้งๆที่ไทยเราก็ไม่ใช่ประเทศล้าหลังแบบที่ฝรั่งเขาว่าซะด้วยสิ ประวัติศาสตร์โลกก็เคยเรียนกัน ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่ทำตัวให้เค้ามองแบบนี้ น่าเสียดายครับ ไทยเราอาจจะ "ไม่เข้าใจ" ความรู้สึกของฝรั่ง แต่ต้องรู้ว่า สิ่งไหนควรหรือไม่สมควรทำครับ
คนที่เคยนั่งเรียนประวัติศาสตร์เยอรมัน เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ในโรงเรียนเยอรมัน ยังไม่เคยมีสอนให้ "เกลียด Hitler หรือเกลียด Nazi" แต่แสดงถึงเหตุผล ที่มาที่ไป และผลที่ตามมาอันเลวร้ายของสงครามโลกที่เยอรมันก่อขึ้น เรื่องนี้สอนใน Class ประวัติศาสตร์ในโรงเรียนเยอรมันเกรด 10 ทุกปี ไม่เคยเปลี่ยน ที่เหลือเด็กอายุ 14-15 มันก็คิดเองได้แล้วครับว่า อะไรควร ไม่ควร อะไรน่ายกย่อง หรืออะไรไม่น่าเชิดชู ในประเทศอื่นๆก็ไม่แตกต่างกัน
ข่าวนี้ก็ลงในเยอรมัน และคาดว่า น่าจะผิดคาดว่า จขกท ไปเยอะเสียล่ะมั้งครับ เพราะถ้าไปอ่านที่ Comments ที่คนเยอรมันเขียน จะเห็นเลยว่า มีความเห็นแตกต่างกัน ทั้งที่มีคนออกมาบอกว่า ก็คนมันไม่รู้ หรือที่บอกว่า ต่อให้ไม่เหมาะสม แต่ก็เป็นอิสระทางด้านความคิดก็มีทุกแบบ แต่ไม่มีใครเขียนแม้แต่น้อยว่า "ทำไมไทยไม่เกลียด Hitler" (หรือถ้าหาที่ไทยเจอ ก็รบกวนเอามาลงให้อ่านด้วยครับ) มีแต่วิจารณ์ถึง "ความเหมาะสม" หรือคิดว่า เพราะคนไม่รู้ เลยไม่น่าโกรธ ไม่น่าเก็บมาเป็นอารมณ์นี่ เอาเข้าจริงๆ น่าอายมากกว่ามั้ยครับที่เค้าพูดถึงเด็กที่เรียนมหาวิทยาลัยของไทยแนวหน้าแบบนี้?
ยิ่งใครที่บอกว่า "ฝรั่งไม่เคารพสิทธิ freedom of speech" นี่แสดงว่า ไม่ได้ไปอ่านข่าวนอกประเทศเลย ใช่มั้ยครับ? เพราะถ้าอ่านจะรู้ว่าตามข่าว เวลา Comments มันมีทุกแบบ ไม่ใช่แค่ด่าเท่านั้น
http://www.welt.de/vermischtes/article118052850/Studenten-malen-Hitler-als-Superheld-auf-Banner.html
อันนี้หนังสือพิมพ์เยอรมันที่ผมยกมาให้ดู ถ้าลงไปอ่าน Comment ก็จะเห็นว่า มีความคิดหลากหลาย ทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย สนับสนุน หรือไม่สนใจ มึทุกแบบให้เห็นนั่นแหละครับ ไม่ใช่หัวแคบแบบที่ จขกท หรือสมาชิกหลายๆคนคิดหรอกนะครับ อันนี้ก็ขอให้เข้าใจให้ถูกเสียด้วย ก่อนจะไปเหมาว่าฝรั่งเขาซะหมดทั้งๆที่ไม่ได้ไปหาอ่านข้อมูลที่อื่น และไม่ได้รู้ว่าจริงๆแล้วฝรั่งคิดอะไร
แต่ประเด็นเรื่องนี้มันคืออะไรกันแน่ครับ? เด็กนักศึกษาจุฬาเรียกว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว ความรู้ก็มี เพราะฉะนั้นก็ไม่เข้าข่าย "ผู้ไม่รู้" ประวัติศาสตร์โลกก็เรียนกันมาไม่รู้เท่าไหร่ ไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดว่า สงครามโลกเริ่มเมื่อไหร่ หรือจบวันไหนหรอกครับ แต่ทุกคนก็รู้ว่า ที่ Hitler ทำ มันมีผลกับใคร กับคนกี่สิบล้านคนบ้าง อันนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรู้ ถามว่า ที่ทำมันเหมาะสมมั้ย นั่นต่างหาก คือ คำถามและประเด็นสำคัญ ไม่ใช่ "ทำไมคนไทยไม่เกลียด Hitler เหมือนฝรั่ง" ใครจะรักจะเกลียดก็ทำไปเถอะครับ แต่ความเคารพ หรือให้เกียรติผู้ที่เสียชีวิตไปในสงครามโลกนั้น ไม่ว่าจะ culture นั้นก็เป็นสิ่งที่สมควรทำ และการให้เกียรติผู้ตายนั้น ก็คือ การไม่นำเรื่องที่น่าเศร้าใจนี่มาเห็นเป็นเรื่องสนุก หรือเท่ห์แบบที่ จขกท ว่านั่นแหละครับ แต่ก็ยังมีคนออกมาเถียงแทนว่า "ทำไมฝรั่งเกลียด แล้วไทยต้องเกลียดตาม" นี่ก็นอกประเด็นไปไหนล่ะนี่? ประเด็นมันไม่ใช่ว่า ใครเกลียดแล้วมันต้องเกลียดตามนะครับ ประเด็น คือ ความเหมาะสมของการกระทำของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนมีความรู้ต่างหาก ซึ่งผมคิดว่า นักศึกษาของจุฬาไม่ได้เป็นกลุ่มชนชั้นไม่มีความรู้แน่นอน
แล้วที่มีคนตอบว่า ที่สื่อด่าเพราะคนไทยทำรีบดิ้นเนี่ย แต่ฝรั่งทำไม่เป็นไรเนี่ย รู้อะไรแค่ไหนครับ? ที่ว่ามาแน่ใจเหรอครับ? แล้วแน่ใจว่า ทำแล้วไม่โดนด่ายับ??? ผมยกตัวอย่างข่าวดังในยุโรปมาให้ดูอีกเรื่องในปี 2005 ที่ Prince Harry นำชุดทหารนาซีมาใส่ และโดนถ่ายรูป จนเป็นข่าวใหญ่โต ที่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ฝรั่งเอง ไม่ว่าจะเจ้าหรือคนธรรมดา ถ้าทำตัวไม่เหมาะสม ทั้งๆที่ไม่ได้ทำ "ผิดกฏหมาย" แต่ทำอะไรไปไม่ถูกต้องตามมารยาท ความเหมาะสม ก็โดนสื่อยำเหมือนกัน แถมสื่อทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในอังกฤษนะครับ
http://news.bbc.co.uk/2/hi/4170083.stm
สุดท้ายต้องออกมาขอโทษด้วยตัวเอง เพราะ "ความไม่เหมาะสม" นี้ ไม่ได้เกี่ยวกับว่า ฝรั่งเกลียดหรือไม่เกลียด Hitler แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเรื่องนี้มันเป็นประวัติศาสตร์โลกที่ด่างพร้อย มีคนต้องเสียชีวิตไปมากมาย เป็นเรื่องน่าเศร้ามากกว่าเรื่องน่าสนุกนะครับ เพราะฉะนั้นที่บอกฝรั่งก็ทำน่ะ ใช่ครับ แต่ฝรั่งที่มันสิ้นคิดครับ มันถึงทำ แถมทำไปก็โดนคนดูถูก โดนด่าไม่เหลือชิ้น ยิ่งเป็นคนของสื่อยิ่งโดนเป็น 2 เท่า อันนี้ก็ช่วยแก้ความเข้าใจผิดที่ส่า "ฝรั่งก็ทำแล้วไม่เป็นไรเสียด้วยนะครับ" (อ่อ เดี๋ยวก็อ้างอีกว่า ทำในยุโรปเลยโดนด่าได้... ลืมไป ชอบอ้างแบบนี้กัน)
สุดท้ายเรื่องนี้ก็แค่แสดงให้เห็นว่า ในหลายๆจุดหลายๆคนในสังคมไทยยังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่พัฒนาตัวเองให้เข้ากับความ globalization หรือเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับสังคมโลก ที่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ทุกวันนี้ โดยอ้างว่า ไทยไม่ได้โดนเอง ไม่เดือดร้อน ไม่เข้าใจประเด็นที่สื่อนอกลง แถมไปตีออกนอกประเด็นว่า "โดนสื่อว่า เพราะไทยไม่เกลียด Hitler ตามฝรั่ง" ซึ่งนั่นมันไม่ใช่เหตุผล หรือประเด็นแม้แต่น้อยเลย ถ้าจะบอกว่าไทยไม่โดนเหมือนคนอื่น เลยไม่แคร์ ไม่สนใจ ไม่มีความจำเป็นจะต้องคิดถึงความเหมาะสม แล้วไทยไม่มีธุรกิจ ไม่มีความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆที่เดือดร้อนจากสงครามโลกหรือครับ? ไม่ว่าจะ USA, UK, Germany ไทยก็ต้องทำธุรกิจกับนอกประเทศด้วยไม่ใช่หรือครับ? เรื่องนี้ยังมีคนไทยหลายคนที่ไม่เข้าใจถึง "การกระทำที่เหมาะสม หรือไม่เหมาะสม" และ"การรู้มารยาท หรือการทำตัวที่เหมาะสมในสังคมโลก" ประเทศไทยหรือประเทศไหนๆไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวได้ในโลกโดยที่ไม่แคร์ประเทศอื่นนะครับ แถมประเทศไทยเองก็ไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจเสียด้วย การที่ต้องรู้ว่า อะไรเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม อะไรควรจะทำหรือไม่ทำในสังคมของโลก เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้แล้วในปัจจุบันนี้ ยิ่งถ้าอยากจะพัฒนาตัวเองเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ก็เลี่ยงไม่ได้กับการที่จะต้องโดนสื่อวิพากษ์วิจารณ์เมื่อทำอะไรไม่เหมาะสม เรายังมีสิทธิ์ที่จะแสดงความเห็นได้ สื่อก็เหมือนกันครับ แถมสื่อนอกไม่เกรงใจใครหรอกนะครับ
กฏเกณฑ์และความรู้สึกนึกคิดที่จะชั่งใจว่า การกระทำใดถึงจะเหมาะสม หรือไม่เหมาะสมในสังคม คือ เครื่อง define ความเจริญของสังคมนั้นๆได้ดีที่สุด ไม่ใช่กฏหมายครับ กฏหมายลอกเลียนแบบกันได้ ไม่ว่าประเทศไหนๆก็มีกฏหมาย แต่กลับเจริญไม่เท่ากัน แตกต่างกันก็ตรงนี้ ผมว่า มันน่าเสียใจ และน่าอับอายนะ ทั้งๆที่ไทยเราก็ไม่ใช่ประเทศล้าหลังแบบที่ฝรั่งเขาว่าซะด้วยสิ ประวัติศาสตร์โลกก็เคยเรียนกัน ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่ทำตัวให้เค้ามองแบบนี้ น่าเสียดายครับ ไทยเราอาจจะ "ไม่เข้าใจ" ความรู้สึกของฝรั่ง แต่ต้องรู้ว่า สิ่งไหนควรหรือไม่สมควรทำครับ
ความคิดเห็นที่ 51
จริงๆผมว่าจะไม่ตอบแล้วนะ แต่พอเห็นความคิดเห็นที่มัน extreme ของคุณเวย์คุง ผมขอตอบเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน ไม่ได้ตอบเพื่อให้คุณเปลี่ยนความคิดอะไรหรอกนะครับ เพราะผมรู้ว่า ยังไงมันก็ไม่เกิดขึ้น แต่ตอบในแง่มุมของคนในประเทศเยอรมัน ไม่ใช่คนนอกประเทศที่รู้จากการอ่านหนังสือ จากสื่อที่คุณเวย์คุงว่าล้างสมองนั่นแหละ แล้วเลยทำให้คุณไปแปลอะไรของคุณเองทั้งๆที่ไม่ได้เข้าใจอะไรลึกซึ้ง
สิ่งที่คุณพูดนั้นไร้สาระมากครับ กับการที่บอกสื่อตะวันตกล้างสมอง รู้อะไรจริงแล้วหรือถึงมาพูดแบบนี้? ผมเป็นคนที่อยู่เยอรมันเองนี่แหละ และเรียนประวัติศาสตร์เยอรมันเองจากคนเยอรมัน เรียนในภาษาเยอรมัน จากหนังสือเรียน หรือจากครูบาอาจารย์ และที่สำคัญที่สุด จากคนที่มีชีวิตตั้งแต่ระหว่างสงครามโลกตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น (ปีนี้ก็ 90 กว่าแล้ว) รวมถึงคนในครอบครัวผมเองที่เกิดช่วงปลายสงครามโลก และรุ่นที่เสียชีวิตไปแล้วอีก ที่เคยเป็นทหารในกองทัพนาซี และถูกจับเป็นเชลยเป็นเวลานานเกือบ 10 ปี และบางคนในนั้นก็เคยอยู่หน่วย SS ด้วย ผมอยู่อาศัยในเมืองหลายๆเมืองที่เคยโดนระเบิดจากสงครามเป็นหน้ากลองด้วยตัวเองนี่แหละ เพื่อนของครอบครัวหลายคนก็อยู่ในเมืองที่โดนบอมบ์ อยู่ท่ามกลางไฟของสงคราม และอยู่ในช่วงอายุที่เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ และสามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน Professor ในมหาลัยหลายท่านก็คือรุ่นที่อยู่ท่ามกลางการแตกแยกของเยอรมันตะวันออก และตะวันตก คือ รุ่นที่เป็นตัวผลักดันให้ชาติกลับมาเจริญก้าวหน้า รุ่นที่ต้อง suffer เพราะผลจากสงครามนั่นแหละ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมรู้ มันนอกเหนือจากในหนังสือ นอกเหนือจากสื่อที่คุณอกว่า ล้างสมองแน่นอน เพราะผมเรียนรู้จากคนที่ต้อง suffer ในชีวิตจริงครับ ในหนังสือมันไม่ได้สื่อถึงความทุกข์ทรมานของคนเยอรมัน ความคิดความอ่านของคน ได้เท่ากับคนทีมีชีวิตอาศัยอยู่ในเวลานั้น และต้องประสบเจอกับความเลวร้ายต่างๆด้วยตัวเองทั้งสิ้น คนที่เคยโดนเห็นตึกโดนระเบิดต่อหน้าต่อตา ต้องไปช่วยคนเจ็บที่ไฟไหม้จากการระเบิดเอง พวกนี้เป็นพวกที่มีประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง ไม่ใช่จากหนังสือหรือสื่อที่คุณว่ามันล้างสมองนั่นแหละ การแค่อ่านจากหนังสือ ดูสารคดี ก็แค่เห็นในสิ่งที่ตัวเองอยากจะแปลให้เห็น แล้วไปโทษสื่อแบบนั้นแบบนี้ แน่นอนในหนังสือ ในสารคดีต้องมีการไม่เสนอข้อมูลทั้งหมด หรือทุกด้าน คนชนะเขียนประวัติศาสตร์สงคราม ถูกอันนี้ผมน่ะเห็นด้วย จากพวก Allies เองที่ทำกับเยอรมันหลังสงครามโลกมันก็เลวร้ายมาก คนไม่เจอเองไม่เข้าใจ อันนี้ก็ใช่ แต่นั่นมันคนละประเด็นกัน
ความรู้สึกที่ต้องไปเป็นทหาร เพราะใครไม่ยอมไปเป็นทหาร ก็เท่ากับไม่มีทางทำมาหากิน ครอบครัวไม่มีทางที่จะอยู่รอดได้ มันไม่ได้แสดงถึงความรักชาติ แต่แสดงถึงความโหดเหี้ยมของนาซีในขณะนั้น ที่ประชาชนธรรมดาไม่สามารถจะต่อต้านอะไรได้ ได้แต่ต้องคล้อยตาม เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด นี่คือคำพูดของคนในครอบครัวของผมเองนี่แหละ ที่เป็นคนบอก ถ้าไม่เป็นทหาร ครอบครัวก็อดตาย ถ้าขวางนาซี ก็โดนเก็บไม่เหลือ ไม่ว่าจะคนเยอรมันหรือชาติไหน ง่ายๆแค่นั้น นั่น คือ สิ่งที่คนยุคนั้นต้องประสบ ผมอาจจะอ่านหนังสือประวัติศาสตร์น้อยกว่าคนหลายคนในนี้ด้วยซ้ำ แต่ผมมั่นใจว่า สิ่งที่คนเหล่านี้บอกกล่าว สิ่งที่ตัวเค้าเองต้องเจอกับความเลวร้ายของคำว่า "สงคราม" รูปภาพที่ผมเห็น (ของจริง ไม่ใช่ในหนังสือ รูปจริงที่ถ่ายตอนสงครามโลก) มันโหดร้ายกว่า "คนนอกประเทศ" จะรู้ได้ ขนาดตอนที่เยอรมันเองกำลังจะกลับมามีกองทัพทหารใหม่ ยังมีเสียงต่อต้านจากคนเยอรมันเองเป็นอย่างหนักเสียด้วยซ้ำ เพราะทุกคนเข็ดกับความโหดร้ายของสงครามนั่นเอง มีคนกี่แสน กี่ล้านคนที่ต้องเสียพ่อ เสียแม่ เสียพี่น้อง ต้องทรมานจากผลของ "สงคราม"
จนถึงทุกวันนี้ยังไม่เคยมีใครมานั่งพร่ำสอนให้เชิดชูบูชา Hitler เลย เพราะคนเหล่านี้ suffer จากช่วงสงครามด้วยตัวเองทั้งสิ้น และต้นเหตุก็มาจากความบ้าอำนาจของคนๆเดียว ทุกวันนี้นอกจากประเทศเยอรมันี มีชาติไหนบ้างออกมายอมรับถึง "ความผิด" ที่ตัวเองเคยก่อขึ้น? เพราะมันคือความจริง ที่ไม่มีข้อโต้แย้งใดใดทั้งสิ้น คนตายเป็นสิบล้านคน ยังต้องมีอะไรเป็นข้ออ้างอีกหรือ? คนเยอรมันโดนพร่ำสอนแต่เด็ก ให้รู้ถึงผลร้ายที่เกิดจากสงครามโลกนั้น และให้รู้จักสำนึกในสิ่งที่ประเทศเคยก่อไว้ มีแต่คนนอกประเทศแบบคุณนี่แหละ ที่เชื่อไปของคุณเอง ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในประเทศ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรในประเทศจริงๆเลย และที่คุณเชื่อก็ไม่ได้ตรงกับความจริงเลยแม้แต่น้อยด้วยนะครับ
สิ่งที่คุณพูดนั้นไร้สาระมากครับ กับการที่บอกสื่อตะวันตกล้างสมอง รู้อะไรจริงแล้วหรือถึงมาพูดแบบนี้? ผมเป็นคนที่อยู่เยอรมันเองนี่แหละ และเรียนประวัติศาสตร์เยอรมันเองจากคนเยอรมัน เรียนในภาษาเยอรมัน จากหนังสือเรียน หรือจากครูบาอาจารย์ และที่สำคัญที่สุด จากคนที่มีชีวิตตั้งแต่ระหว่างสงครามโลกตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น (ปีนี้ก็ 90 กว่าแล้ว) รวมถึงคนในครอบครัวผมเองที่เกิดช่วงปลายสงครามโลก และรุ่นที่เสียชีวิตไปแล้วอีก ที่เคยเป็นทหารในกองทัพนาซี และถูกจับเป็นเชลยเป็นเวลานานเกือบ 10 ปี และบางคนในนั้นก็เคยอยู่หน่วย SS ด้วย ผมอยู่อาศัยในเมืองหลายๆเมืองที่เคยโดนระเบิดจากสงครามเป็นหน้ากลองด้วยตัวเองนี่แหละ เพื่อนของครอบครัวหลายคนก็อยู่ในเมืองที่โดนบอมบ์ อยู่ท่ามกลางไฟของสงคราม และอยู่ในช่วงอายุที่เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ และสามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน Professor ในมหาลัยหลายท่านก็คือรุ่นที่อยู่ท่ามกลางการแตกแยกของเยอรมันตะวันออก และตะวันตก คือ รุ่นที่เป็นตัวผลักดันให้ชาติกลับมาเจริญก้าวหน้า รุ่นที่ต้อง suffer เพราะผลจากสงครามนั่นแหละ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมรู้ มันนอกเหนือจากในหนังสือ นอกเหนือจากสื่อที่คุณอกว่า ล้างสมองแน่นอน เพราะผมเรียนรู้จากคนที่ต้อง suffer ในชีวิตจริงครับ ในหนังสือมันไม่ได้สื่อถึงความทุกข์ทรมานของคนเยอรมัน ความคิดความอ่านของคน ได้เท่ากับคนทีมีชีวิตอาศัยอยู่ในเวลานั้น และต้องประสบเจอกับความเลวร้ายต่างๆด้วยตัวเองทั้งสิ้น คนที่เคยโดนเห็นตึกโดนระเบิดต่อหน้าต่อตา ต้องไปช่วยคนเจ็บที่ไฟไหม้จากการระเบิดเอง พวกนี้เป็นพวกที่มีประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง ไม่ใช่จากหนังสือหรือสื่อที่คุณว่ามันล้างสมองนั่นแหละ การแค่อ่านจากหนังสือ ดูสารคดี ก็แค่เห็นในสิ่งที่ตัวเองอยากจะแปลให้เห็น แล้วไปโทษสื่อแบบนั้นแบบนี้ แน่นอนในหนังสือ ในสารคดีต้องมีการไม่เสนอข้อมูลทั้งหมด หรือทุกด้าน คนชนะเขียนประวัติศาสตร์สงคราม ถูกอันนี้ผมน่ะเห็นด้วย จากพวก Allies เองที่ทำกับเยอรมันหลังสงครามโลกมันก็เลวร้ายมาก คนไม่เจอเองไม่เข้าใจ อันนี้ก็ใช่ แต่นั่นมันคนละประเด็นกัน
ความรู้สึกที่ต้องไปเป็นทหาร เพราะใครไม่ยอมไปเป็นทหาร ก็เท่ากับไม่มีทางทำมาหากิน ครอบครัวไม่มีทางที่จะอยู่รอดได้ มันไม่ได้แสดงถึงความรักชาติ แต่แสดงถึงความโหดเหี้ยมของนาซีในขณะนั้น ที่ประชาชนธรรมดาไม่สามารถจะต่อต้านอะไรได้ ได้แต่ต้องคล้อยตาม เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด นี่คือคำพูดของคนในครอบครัวของผมเองนี่แหละ ที่เป็นคนบอก ถ้าไม่เป็นทหาร ครอบครัวก็อดตาย ถ้าขวางนาซี ก็โดนเก็บไม่เหลือ ไม่ว่าจะคนเยอรมันหรือชาติไหน ง่ายๆแค่นั้น นั่น คือ สิ่งที่คนยุคนั้นต้องประสบ ผมอาจจะอ่านหนังสือประวัติศาสตร์น้อยกว่าคนหลายคนในนี้ด้วยซ้ำ แต่ผมมั่นใจว่า สิ่งที่คนเหล่านี้บอกกล่าว สิ่งที่ตัวเค้าเองต้องเจอกับความเลวร้ายของคำว่า "สงคราม" รูปภาพที่ผมเห็น (ของจริง ไม่ใช่ในหนังสือ รูปจริงที่ถ่ายตอนสงครามโลก) มันโหดร้ายกว่า "คนนอกประเทศ" จะรู้ได้ ขนาดตอนที่เยอรมันเองกำลังจะกลับมามีกองทัพทหารใหม่ ยังมีเสียงต่อต้านจากคนเยอรมันเองเป็นอย่างหนักเสียด้วยซ้ำ เพราะทุกคนเข็ดกับความโหดร้ายของสงครามนั่นเอง มีคนกี่แสน กี่ล้านคนที่ต้องเสียพ่อ เสียแม่ เสียพี่น้อง ต้องทรมานจากผลของ "สงคราม"
จนถึงทุกวันนี้ยังไม่เคยมีใครมานั่งพร่ำสอนให้เชิดชูบูชา Hitler เลย เพราะคนเหล่านี้ suffer จากช่วงสงครามด้วยตัวเองทั้งสิ้น และต้นเหตุก็มาจากความบ้าอำนาจของคนๆเดียว ทุกวันนี้นอกจากประเทศเยอรมันี มีชาติไหนบ้างออกมายอมรับถึง "ความผิด" ที่ตัวเองเคยก่อขึ้น? เพราะมันคือความจริง ที่ไม่มีข้อโต้แย้งใดใดทั้งสิ้น คนตายเป็นสิบล้านคน ยังต้องมีอะไรเป็นข้ออ้างอีกหรือ? คนเยอรมันโดนพร่ำสอนแต่เด็ก ให้รู้ถึงผลร้ายที่เกิดจากสงครามโลกนั้น และให้รู้จักสำนึกในสิ่งที่ประเทศเคยก่อไว้ มีแต่คนนอกประเทศแบบคุณนี่แหละ ที่เชื่อไปของคุณเอง ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในประเทศ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรในประเทศจริงๆเลย และที่คุณเชื่อก็ไม่ได้ตรงกับความจริงเลยแม้แต่น้อยด้วยนะครับ
ความคิดเห็นที่ 3
ไม่เกลียดไม่เป็นไร แต่ไปยกย่องกันมันจะทำให้คนอื่นหมั่นใส้เอา จริงๆก็อยากถามว่าาคนที่เอามา paint ขึ้น cutout อันที่ว่าทำไมเลือกฮิตเลอร์ ถ้าเลือกเพราะชอบอย่างที่คุณว่าก็ยังพอฟังขึ้น แต่ถ้าเลือกเพราะว่าท่ามันเท่ดีมันจะแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์อะไรกับเขาเลย
ถามบ้างถ้าเปลี่ยนเป็นรูปบินลาเดน คุณว่ามันเหมาะหรือเปล่า? นั่นแหละคำตอบ
เอารูปคนที่สั่งทำ ethnic cleaning มาลงเหมือนเป็นฮีโร่เนี่ยนะ
ถามบ้างถ้าเปลี่ยนเป็นรูปบินลาเดน คุณว่ามันเหมาะหรือเปล่า? นั่นแหละคำตอบ
เอารูปคนที่สั่งทำ ethnic cleaning มาลงเหมือนเป็นฮีโร่เนี่ยนะ
ความคิดเห็นที่ 25
จขกท เขียนมายืดยาว แต่สิ่งที่เขียน เหตุผลที่ยกมามันไม่ครบถ้วน มีตรรกะวิบัติ และเป็นเหมือนความพยายามที่จะหามุมเท่ห์ๆ สื่อออกมา ประเภทมองหาความดีในคนเลว แต่จริงๆ แล้ว จขกท ไม่ได้เข้าใจอะไรมากพอ และไม่ได้มีพื้นความรู้ความเข้าใจประวัติศาสตร์ขณะนั้นเพียงพอ รวมทั้งไม่เข้าใจคนอื่นด้วย ถ้าในความคิดผมวิธีคิดแบบ จขกท ออกจะเป็นแนว "ไอ้ไทย" หน่อยๆ ขออภัยที่ใช้คำนี้ แต่นึกคำอื่นที่ใช้สื่ออะไรแบบนี้ไม่ออกเลย
พอดีตอนนี้ยังไม่ว่าง เดี๋ยวดึกๆ จะมาถกต่อ
พอดีตอนนี้ยังไม่ว่าง เดี๋ยวดึกๆ จะมาถกต่อ
ความคิดเห็นที่ 6
ไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้ยกย่องครับ เพราะเราไม่ได้รับผลกระทบรุนเเรงมากนัก
'บางที' ผมคิดว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก 'มารยาททางการแสดงออก' จึงเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกันนะ
ปล. ผมว่า จขทก. เลิกเอาเรื่องปมด้อยหรือเรื่องของตัวเองมาผสมปนเปกับบทความดีกว่าครับ มันทำให้การเขียนบทความที่ไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย
'บางที' ผมคิดว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก 'มารยาททางการแสดงออก' จึงเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกันนะ
ปล. ผมว่า จขทก. เลิกเอาเรื่องปมด้อยหรือเรื่องของตัวเองมาผสมปนเปกับบทความดีกว่าครับ มันทำให้การเขียนบทความที่ไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย
แสดงความคิดเห็น
[Loser Voice] ผิดไหม? ถ้าคนไทยจะไม่เกลียด “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์”
โดย : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
FaceBook : TonyMao Nk
กลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศแห่งหนึ่ง ไปพบกับโปสเตอร์ตกแต่งในงานฉลองรับปริญญาของมหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับต้นๆ ของไทย โปสเตอร์ดังกล่าวมีรูปของบรรดายอดมนุษย์มากมายที่ปรากฏบนโลกภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด แต่ที่สะดุดตาและทำให้เกิดปัญหา ( ของใคร? ) ขึ้น เพราะมีภาพของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ยืนทำหน้าแสดงการเคารพแบบนาซีอยู่ท่ามกลางหมู่ยอดมนุษย์ด้วย แล้วก็เป็นไปตามคาด สื่อต่างประเทศก็นำไปขยายความ และโจมตีประเทศไทยตามเคย ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ก็เคยมีนักเรียนแต่งชุดเลียนแบบทหารเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกับเครื่องหมายสวัสดิกะ ตราสัญลักษณ์ของพรรคนาซี ก็โดนต่างชาติประท้วงเช่นกัน
คำถามคือ..คนไทยต้องเกลียดลุงหนวดผู้นี้ ตามฝรั่งผิวขาวหัวทองหรือไม่?
มีคนไทยหลายคนให้เหตุผลไว้น่าสนใจ ทั้งกรณีฮิตเลอร์ที่พาดพิงระหว่างเยอรมันกับยิว ทั้งกรณีนวนิยายคู่กรรมที่พาดพิงระหว่างญี่ปุ่นกับจีนและเกาหลี แน่นอน เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ต หรือได้เรียนในระดับอุดมศึกษา คงต้องเคยผ่านหูผ่านตามาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนาซีเยอรมันจับชาวยิวไปรมแก๊สพิษตายไปหลายล้านคน หรือการทรมาน ข่มขืน สังหารหมู่ที่กองทัพญี่ปุ่นทำกับชาวจีนที่นานกิง หรือบังคับให้ผู้หญิงเกาหลีเป็นโสเภณีในค่ายทหารญี่ปุ่น..เรื่องเหล่านี้คนไทยรู้ดี แต่คนไทยก็ยังนำชุดทหารนาซี เครื่องหมายสวัสดิกะ มาแต่งตัวเป็นแฟชั่นแบบเท่ๆ ขณะเดียวกัน คนไทยก็ยังอิน ซึ้งและร้องไห้ทุกครั้ง เมื่ออ่านหรือดูคู่กรรม ฉากที่เครื่องบินฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิดที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย แล้วโกโบริก็ตายในอ้อมกอดของอังศุมาลิน
“ผมจะไปรอคุณที่ทางช้างเผือก” ประโยคนี้ยังเรียกน้ำตาจากใครหลายๆ คนได้เสมอ
หลายคนให้เหตุผลว่า เพราะเยอรมันก็ดี ญี่ปุ่นก็ดี ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับไทย โดยเฉพาะญี่ปุ่นค่อนข้างจะเห็นได้ชัดที่สุด เพราะไม่ปรากฏในทางประวัติศาสตร์เลยว่าคนไทยถูกพวกญี่ปุ่นเข่นฆ่าหรือทำทารุณกรรมแบบเดียวกับจีนหรือเกาหลี ตรงกันข้ามท่าทีของทหารหรือคนญี่ปุ่น ค่อนข้างจะเป็นมิตรกับคนไทยเสียด้วยซ้ำไป ส่วนเยอรมันค่อนข้างอยู่ไกลและมุ่งทำสงครามในยุโรป ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับเอเชีย ยิ่งไม่อาจทำให้คนไทยรู้สึกอินไปกับความโหดร้าย อย่างที่พวกฝรั่งตะวันตกเป็นกัน
คำถามต่อไป..ฮิตเลอร์เป็นคนเลวที่สุดนับตั้งแต่ที่มีอารยธรรมของมนุษยชาติกำเนิดขึ้นมา จนทำให้เราไม่อาจมองเขาในมุมอื่นๆ ได้เลยจริงๆ หรือ?
คำถามนี้ เป็นคำถามที่ไม่ค่อยอยากจะถามเท่าไร แค่คำว่า “ดี-เลว” คืออะไร? ก็สามารถเถียงกันจนมีเรื่องมีราวได้แล้ว เพราะต่อให้เราไม่พูดถึงฮิตเลอร์ แต่ไปพูดถึงการสร้างชาติของประเทศอื่นๆ จะพบว่าไม่มีใครที่มือไม่เปื้อนเลือดเลยแม้แต่น้อย
หรือสหรัฐอเมริกาไม่เคยปล้นแผ่นดินจากอินเดียนแดง? ไม่เคยสร้างผลผลิตด้วยทาสผิวดำ? ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงรัฐเล็กรัฐน้อยอื่นๆ ในละตินอเมริกาและตะวันออกกลางให้อ่อนแอ แล้วเอาตัวเองเข้าไปครอบงำ?
หรืออังกฤษกับฝรั่งเศส ไม่เคยล่าอาณานิคม กอบโกย ดูดทรัพยากร โบราณวัตถุล้ำค่ามากมายจากเอเชียและแอฟริกา ถึงขนาดที่แม้จะปลดปล่อยอาณานิคมไปหมดแล้ว แต่สิ่งที่ไปเอาของเขามา ก็ยังอยู่ในประเทศเหล่านี้โดยไม่มีทีท่าว่าจะส่งคืนให้ประเทศเจ้าของที่แท้จริง
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านเรา..จีนก็สร้างชาติมาจากซากศพและสายธารเลือด การปฏิวัติวัฒนธรรม 2 ครั้ง ครั้งแรกในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ บังคับให้ทุกคนใช้อักษรเดียวกัน ขนบประเพณี ระเบียบราชการเดียวกัน ด้วยการสั่งฆ่าปัญญาชนที่ต่อต้านจนหมด และยังริเริ่มโครงการกำแพงเมืองจีน ทำให้จีนมีแนวกำแพงยาวๆ ใช้ป้องกันชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือมาได้อีกหลายศตวรรษ นี่เป็นครั้งแรกที่จีนเป็นหนึ่งเดียวหลังจากที่เป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยมาหลายร้อยปี กับอีกครั้งในสมัยเหมาเจ๋อตุง ได้พยายามทำลายค่านิยมเก่า จารีตเก่าๆ ที่ล้าหลังสมัยราชวงศ์จนหมด แน่นอนทั้งสองครั้งทำให้คนตายไปเป็นจำนานมาก แต่ก็ทำให้จีนเป็นปึกแผ่นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
และบ้านเราก็ไม่ได้ต่างไปจากเขา ถ้าพูดกันตามตรง การปฏิวัติวัฒนธรรมสมัยจอมพล ป. ( แปลก ) พิบูลสงคราม ก็ทำให้คนไทยดูมีอารยะขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยๆ เราก็ไปไหนมาไหนใส่รองเท้า สวมเสื้อ กางเกง กระโปรงให้เรียบร้อย เรากินข้าวด้วยช้อนไม่จกข้าวด้วยมือ เรารู้จักคำว่าสวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ ที่สำคัญที่สุด..คนไทยเพิ่งรู้สึกร่วมกันว่า “เราเป็นคนไทย” ก็ในยุคนี้ จากนโยบายชาตินิยม ( การเคารพธงชาติ ร้องเพลงชาติ ) แน่นอนว่าเราก็มีมุมมืด นั่นคือการนำนโยบายนี้ไปใช้แบบสุดโต่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถึงกับห้ามละหมาด ผู้หญิงห้ามสวมฮิญาบ ประชาชนทุกคนต้องไหว้พระ นับถือพุทธห้ามนับถือศาสนาอื่น จึงเป็นปมที่ทำให้เกิดความรุนแรงมาจนทุกวันนี้
เห็นชัดๆ ว่าชาติไหนใครๆ ก็ทำ เพียงแต่ฮิตเลอร์เป็นผู้แพ้สงครามเท่านั้น จึงถูกประณามหยามเหยียดเป็นทรราชย์ที่โหดร้ายที่สุดของอารยธรรมมนุษยชาติ
กลับมาที่เยอรมัน สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำที่สุด ยิ่งเยอรมันแพ้สงครามด้วยแล้วยิ่งลำบากมากกว่าชาติอื่นๆ หลายเท่า ตรงกันข้าม ชาวยิวในเยอรมันกลับรวยเอาๆ พร้อมกับปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยโหดๆ จนกระทั่งลุงหนวดแกเห็นช่องทางปลุกระดม จึงใช้เรื่องดังกล่าวพาตนเองขึ้นสู่อำนาจ แต่ถึงกระนั้น..ทุกสิ่งที่แกทำ มิใช่เป็นไปเพื่อให้ชาติเยอรมันยิ่งใหญ่หรอกหรือ? แล้วต่อให้ไม่มีฮิตเลอร์ ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นๆ ที่เห็นช่องทางเดียวกันในการก้าวเข้าสู่อำนาจบ้างหรือ? ในเมื่อสถานการณ์ในเวลานั้น คนเยอรมันอดอยาก ยากจน และในใจก็คิดอิจฉาชิงชังชาวยิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว รอแต่เพียงผู้จุดประเด็นเท่านั้น? ( ไม่ต่างจากวาทกรรมทางการเมืองของบางประเทศในวันนี้ ที่หลายคนอึดอัดกับความรู้สึกน้อยใจในชนชั้นของตน แล้วก็มีคนมาปลุกระดม ตอกย้ำเรื่องดังกล่าวให้เป็นกระแสสังคม )
กล่าวถึงตรงนี้..ผมยืนยันอีกเสียงว่าไม่ได้สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบที่ฮิตเลอร์ทำ เพียงแต่ผมมองลุงหนวดในมุมอื่น นั่นคือในมุมของคนที่ศรัทธาใน “อุดมการณ์” อย่างแรงกล้า ที่สำคัญตลอดช่วงสงคราม มีหลายคนที่สนใจชีวิตของฮิตเลอร์ ตั้งข้อสังเกตว่าแม้จะเป็นผู้นำสูงสุดแล้ว แต่การแต่งกายไม่เคยประดับประดาด้วยเครื่องหมายใดๆ เหมือนผู้นำชาติอื่นๆ เว้นแต่เหรียญกล้าหาญที่ตนได้รับตอนเป็นทหารไปรบสมัยสงครามโลกครั้งแรกเท่านั้น หรือที่พัก – ที่ทำงาน นอกจากระบบรักษาความปลอดภัยแล้ว ไม่มีการตกแต่งอะไรให้ดูหรูหราสมฐานะประมุขสูงสุดแต่อย่างใด สุดท้ายก็คือ เขาเป็นคนที่รักษาความเชื่อของตนเองตราบจนสิ้นชีวิต เลือกที่จะฆ่าตัวตาย ดีเสียกว่ายอมถูกจับ แล้วไปร้องขอชีวิตในศาลโลก ( ซึ่งคงไม่พ้นถูกประหาร แต่มันน่าอายกว่าเยอะ )
และไม่แน่หรอก ถ้าลุงหนวดลดความสุดโต่งเรื่องเชื้อชาติลงหน่อย แต่เปลี่ยนเป็นเผยแพร่แนวคิดแบบ “วิถีเยอรมัน” ว่าวัฒนธรรมแบบเยอรมันดีที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นชนชาติต่างๆ จงหันมาปฏิบัติตนแบบขนบเยอรมันกันเถอะ ไม่แน่ว่ากองทัพนาซี อาจมีไพร่พลพอที่จะชนะสงครามก็เป็นได้ เพราะอาจจะมีคนยอมรับนับถือขนบดังกล่าวเพิ่มขึ้น ดีกว่าเที่ยวฆ่าพวกเชื้อชาติอื่นๆ ไปเฉยๆ โดยไม่เกิดประโยชน์ ( เหมือนศาสนาบางศาสนาที่เผยแพร่ในลักษณะนี้ตลอดห้วงประวัติศาสตร์ สังเกตว่าพวกเขาไม่ถือชนชาติ แต่ถือว่าเป็นพี่น้องในศาสนาเดียวกัน และพร้อมจะไปตีกับศาสนาอื่นๆ เสมอ ) อนึ่ง..ขนบเยอรมันเป็นยังไง มีคุณภาพแค่ไหนก็เห็นกันอยู่จากคนเยอรมันในปัจจุบัน
ถามว่าผมและคนอื่นๆ มีสิทธิ์นับถือยกย่องลุงหนวด ในมุมมองแบบนี้ได้บ้างหรือไม่?
ที่ตลกก็คือฝรั่งคนดังกล่าวแนะนำคนไทยให้ไปศึกษาประวัติศาสตร์ ผมก็อยากจะถามฝรั่งคนดังกล่าวกลับเหมือนกัน..ว่าชนชาติของท่านศึกษา และเคารพในประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณีของชนชาติอื่นๆ บ้างหรือไม่? หลายครั้งที่ชนชาติของท่านนี่แหละ ทั้งยุโรปทั้งสหรัฐอเมริกา เที่ยวเอาสิ่งที่ชาติอื่นๆ อารยธรรมอื่นๆ เขาเคารพนับถือ ทั้งสถาบันเบื้องสูงบ้าง ทั้งศาสดาของศาสนาต่างๆ บ้างมาล้อเลียน หรือเป็นเครื่องประดับที่ดูแล้วไม่เหมาะสม แล้วพอชาติเหล่านั้นประท้วง ก็ตอบกลับไปว่าเป็นสิทธิเสรีภาพ ฉันไม่ได้นับถือฉันทำได้ ฉันมองเป็นงานศิลปะแบบหนึ่ง ขอให้เคารพความเห็นของฝรั่งด้วย
ผมก็อยากจะย้อนท่านฝรั่งว่า..งั้นท่านก็ควร “เคารพในความคิดเห็น” ของชนชาติอื่นๆ ที่เขาจะไม่รู้สึกรังเกียจท่านผู้นำ มากมายเท่าพวกท่าน เพราะอารยธรรมอื่นๆ เขาอาจจะมองท่านผู้นำ แบบที่ผมมอง ( หรือในแง่มุมอื่นๆ ) ก็ได้ ตราบใดที่ชนชาติเหล่านั้นไม่ได้แสดงออกอย่างเปิดเผย ว่าให้ไปเกลียดชังหรือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติใดศาสนาใดแบบเหมารวม อย่างที่นาซีเคยทำ
ที่ตลกกว่านั้นไปอีก..บรรดาคนไทยหัวใจฝรั่ง ดันไปบ้าจี้สนับสนุนความเห็นของสื่อต่างประเทศดังกล่าว โดยไม่ได้ดูบริบทของสังคมไทย ว่าคนไทยไม่ได้อินขนาดนั้นเมื่อเทียบกับยิว ไม่งั้นเกิดจีนกับเกาหลีประท้วงขึ้นมา เราไม่ต้องจัดให้คู่กรรมเป็นหนังสือต้องห้าม และหนัง-ละครที่ทำมาจากนวนิยายเรื่องดังกล่าว ต้องถูกแบนไปด้วยหรือ? เพราะญี่ปุ่นมันเลว มันชั่ว มันฆ่าคนจีนข่มขืนคนเกาหลี
ก็ในเมื่อคนเรามีดีมีเลวในคนๆ เดียวกัน แล้วเราจะเลือกจดจำ ทำในด้านที่ดีของเขา ขณะเดียวกันเราก็เลือกที่จะไม่ทำในสิ่งที่ผิดของเขา เราจะทำแบบนี้บ้างไม่ได้หรือ?
ก่อนจะจบคอลัมน์วันนี้ ฝากไว้ให้คิดเล่นๆ ว่าแนวคิดสลายพรมแดน ละทิ้งความเป็นชาติ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ ถามว่าใครได้ประโยชน์ และทุกวันนี้ อารยธรรมอื่นๆ ที่เขาเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ เหตุใดรัฐบาลของเขาถึงต้องพยายามรักษาความเป็นชาตินิยม โดยเฉพาะการพึ่งพาผลิตภัณฑ์ภายในชาติเป็นหลักไว้ให้ได้?
หาคำตอบแล้วจะเข้าใจครับ..ว่าทำไมพวกฝรั่งถึงไม่อยากให้มีคำว่าชาตินิยม อยู่อีกเลยในโลกนี้
พบกันใหม่ครั้งหน้า สวัสดีครับ
----------------------------
ปล.เปลี่ยนหัวคอลัมน์นะครับ ไม่เป็นเสียงคนวงนอกแล้ว แต่เป็นเสียงผู้แพ้แทน ( ไหนๆ ชาตินี้ก็เกิดมาเป็น Loser แล้ว ก็ตั้งเป็นชื่อคอลัมน์ตัวเอง ประชดชีวิตมันซะเลย )