ข้อ 14 ..Vi & Vs..ตลาดตื่นตระหนกคือ
1) ราคาตกไม่หยุด 3 วันต่อเนื่อง (หากตกเพียงวันเดียวแล้วฟื้นวันถัดไป ไม่ใช่ตื่นตระหนก)
2) ราคาหุ้นตกแทบทุกตัว หรือมากกว่า 70 % ของหุ้นที่เล่นในแต่ละวัน แม้หุ้นที่มีอันดับดีก็ตกมาก
3) ในวันถัดมากจากที่ตกแรงๆ ราคาหุ้นจะสูงขึ้นไม่เกิน 1 / 2 จากราคาตกวันแรก
4) หลังจากนั้นราคาหุ้นจะตกต่อลง ช้าๆ (มีรีบาวน์บ้างก็เพียงเล็กน้อย) อาจตกต่อเป็นเวลานานก็ได้
(อธิบาย...การที่ตลาดตื่นตระหนกวันเดียว อาจมาจากการคาดเดาของรายใหญ่นำ หรือหากเป็นการลงรุนแรงแต่วันเว้นวัน ก็ถือว่า เป็นกลเม็ดฉวยโอกาสจากข่าวและความหวั่นวิตกของรายย่อย ซึ่งรายใหญ่มักทำขึ้นวันลงวัน จะได้ลดต้นทุนหุ้นตนเองลงอย่างรวดเร็ว ไว้ขายหลังข่าวสงบ แต่หากเป็นการลงแรงและหลายวัน ติดต่อกันโดยไม่ยอมรีบาวน์จึงนับว่าตื่นตระหนกจริง ถึงตอนนี้ต้องตัดสินใจจะออกจากตลาดหรือไม่)
ข้อ 15 ..Vi & Vs.. ก่อนตลาดจะบูม จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เสมอๆ
1) ราคาหุ้นส่วนใหญ่ราคาเริ่มกระเตื้องขึ้น
2) ปริมาณซื้อขายเริ่มมากขึ้น (ดูจาก volume ค่าเฉลี่ย 5 วัน)
3) จำนวนเริ่มลดลง เมื่อราคาตกลงอีก (แสดงว่ายังกลัวๆ กล้า ๆ) แต่จำนวน ณ ราคาจุดเดิมจะลดจำนวนลง ไม่เหมือนครั้งแรกที่ตกลงมา จะเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้า
(อธิบาย...สิ่งที่สำคัญในการดูว่าตลาดจะเริ่มกระเตื้องขึ้นคือ จำนวนหุ้น(วอลุ่ม) มากขึ้นกว่าก่อนโดยเฉลี่ย ซึ่งแสดงว่ามีผู้คนเข้ามาเก็บของแล้ว ณ ราคาจุดนั้น ๆ และหากมาแรงขายตามมา ราคาที่ลงไปจะเริ่มมีวอลุ่มน้อยลงแล้ว นั่นคือสัญญานว่าตลาดใกล้จะฟื้นหรือ รีบาวน์แล้ว)
ข้อ 16.. Vi & Vs..ตลาดบูมที่ใกล้จุดจบ สังเกตุได้จาก
1) มีการเปลี่ยนมือซื้อขายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และหลังจากนั้นเพียงข้ามวันก็จบรอบ หรือบางครั้งอาจข้ามไปเห็นผลอีกสัปดาห์สองสัปดาห์ เพราะรายใหญ่ยังปล่อยขายไม่หมด จำต้องพยุงราคาเพื่อโรยของ
2) หุ้นที่ไม่มีค่า ราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (หุ้นที่ก่อนหน้าไม่มีคนนิยม)
3) คนเล่นหุ้นใช้อารมณ์เล่นหุ้นมากสุด แสดงความโลภสูงสุด
4) คนเล่นหุ้นหน้าใหม่เข้าตลาดมากขึ้นทุกวัน มีคนเปิดบัญชีเล่นหุ้นมากขึ้น ห้องแชทต่างๆ มีคนเข้าร่วมสนทนามากขึ้น คนแปลกหน้าเพิ่มจำนวน
5) มีคนนำใบหุ้นมาขายมากขึ้น (คนที่ถือยาวเปลี่ยนใจ เพราะราคาสูงจูงใจให้อยากขาย )
6) หุ้นตีหัว สลับกันเล่น บ่อยขึ้น
(อธิบาย... สภาพการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นเป็นเวลายาวนับเดือน ก่อนจบลง เพราะตลาดขึ้นมายาวนาน หลายๆ เดือนหรือนับปี และจะเกิดเป็นระยะสั้นถ้า สภาวะตลาดขึ้นต่อเนื่องมาก่อน ส่วนการจบมีหลายแบบ ลงแรง ๆ สองสามวัน หรือ ซึมยาว ๆ เป็นเดือน หรือ ขึ้นแรงลงแรงสลับกัน เป็นช่วงดีของการปล่อยของ)
ข้อ 17..Vi & Vs..ระหว่างตลาดบูม ถ้าหุ้นที่ซื้อ มีราคาลดลงแทนที่จะขึ้น แสดงว่าเป็นหุ้นอันตราย อย่าเสี่ยงดื้อรั้นถือไว้
(อธิบาย ...โดยธรรมชาติของหุ้นเมื่อตลาดบูม หุ้นส่วนมากจะมีราคากระเตื้องขึ้นตลอด หรืออาจเป็นการซึมขึ้นช้า ๆ แต่จะมีหุ้นที่ราคาไม่กระเตื้องเลย แม้เวลาผ่านไปสองวัน แสดงว่าหุ้นนั้นมีปัญหา การไม่ขึ้นตามกระแสสภาวะตลาด เป็นการเสียโอกาสอย่างหนึ่งที่ร้ายแรง ข้างในอาจมีปัญหาข้อขัดแย้ง แล้วสุดท้ายราคามักซึมลง เพราะคนที่ไม่รู้อะไรแต่ซื้อจำนวนมากจะทนไม่ได้กับโอกาสทองแบบนี้ และตัดสินใจออก คนที่ถืออยู่ก็จะขาดทุนมากขึ้น)
ตำราเล่นหุ้น.......(ต่อ 3 )
1) ราคาตกไม่หยุด 3 วันต่อเนื่อง (หากตกเพียงวันเดียวแล้วฟื้นวันถัดไป ไม่ใช่ตื่นตระหนก)
2) ราคาหุ้นตกแทบทุกตัว หรือมากกว่า 70 % ของหุ้นที่เล่นในแต่ละวัน แม้หุ้นที่มีอันดับดีก็ตกมาก
3) ในวันถัดมากจากที่ตกแรงๆ ราคาหุ้นจะสูงขึ้นไม่เกิน 1 / 2 จากราคาตกวันแรก
4) หลังจากนั้นราคาหุ้นจะตกต่อลง ช้าๆ (มีรีบาวน์บ้างก็เพียงเล็กน้อย) อาจตกต่อเป็นเวลานานก็ได้
(อธิบาย...การที่ตลาดตื่นตระหนกวันเดียว อาจมาจากการคาดเดาของรายใหญ่นำ หรือหากเป็นการลงรุนแรงแต่วันเว้นวัน ก็ถือว่า เป็นกลเม็ดฉวยโอกาสจากข่าวและความหวั่นวิตกของรายย่อย ซึ่งรายใหญ่มักทำขึ้นวันลงวัน จะได้ลดต้นทุนหุ้นตนเองลงอย่างรวดเร็ว ไว้ขายหลังข่าวสงบ แต่หากเป็นการลงแรงและหลายวัน ติดต่อกันโดยไม่ยอมรีบาวน์จึงนับว่าตื่นตระหนกจริง ถึงตอนนี้ต้องตัดสินใจจะออกจากตลาดหรือไม่)
ข้อ 15 ..Vi & Vs.. ก่อนตลาดจะบูม จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เสมอๆ
1) ราคาหุ้นส่วนใหญ่ราคาเริ่มกระเตื้องขึ้น
2) ปริมาณซื้อขายเริ่มมากขึ้น (ดูจาก volume ค่าเฉลี่ย 5 วัน)
3) จำนวนเริ่มลดลง เมื่อราคาตกลงอีก (แสดงว่ายังกลัวๆ กล้า ๆ) แต่จำนวน ณ ราคาจุดเดิมจะลดจำนวนลง ไม่เหมือนครั้งแรกที่ตกลงมา จะเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้า
(อธิบาย...สิ่งที่สำคัญในการดูว่าตลาดจะเริ่มกระเตื้องขึ้นคือ จำนวนหุ้น(วอลุ่ม) มากขึ้นกว่าก่อนโดยเฉลี่ย ซึ่งแสดงว่ามีผู้คนเข้ามาเก็บของแล้ว ณ ราคาจุดนั้น ๆ และหากมาแรงขายตามมา ราคาที่ลงไปจะเริ่มมีวอลุ่มน้อยลงแล้ว นั่นคือสัญญานว่าตลาดใกล้จะฟื้นหรือ รีบาวน์แล้ว)
ข้อ 16.. Vi & Vs..ตลาดบูมที่ใกล้จุดจบ สังเกตุได้จาก
1) มีการเปลี่ยนมือซื้อขายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และหลังจากนั้นเพียงข้ามวันก็จบรอบ หรือบางครั้งอาจข้ามไปเห็นผลอีกสัปดาห์สองสัปดาห์ เพราะรายใหญ่ยังปล่อยขายไม่หมด จำต้องพยุงราคาเพื่อโรยของ
2) หุ้นที่ไม่มีค่า ราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (หุ้นที่ก่อนหน้าไม่มีคนนิยม)
3) คนเล่นหุ้นใช้อารมณ์เล่นหุ้นมากสุด แสดงความโลภสูงสุด
4) คนเล่นหุ้นหน้าใหม่เข้าตลาดมากขึ้นทุกวัน มีคนเปิดบัญชีเล่นหุ้นมากขึ้น ห้องแชทต่างๆ มีคนเข้าร่วมสนทนามากขึ้น คนแปลกหน้าเพิ่มจำนวน
5) มีคนนำใบหุ้นมาขายมากขึ้น (คนที่ถือยาวเปลี่ยนใจ เพราะราคาสูงจูงใจให้อยากขาย )
6) หุ้นตีหัว สลับกันเล่น บ่อยขึ้น
(อธิบาย... สภาพการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นเป็นเวลายาวนับเดือน ก่อนจบลง เพราะตลาดขึ้นมายาวนาน หลายๆ เดือนหรือนับปี และจะเกิดเป็นระยะสั้นถ้า สภาวะตลาดขึ้นต่อเนื่องมาก่อน ส่วนการจบมีหลายแบบ ลงแรง ๆ สองสามวัน หรือ ซึมยาว ๆ เป็นเดือน หรือ ขึ้นแรงลงแรงสลับกัน เป็นช่วงดีของการปล่อยของ)
ข้อ 17..Vi & Vs..ระหว่างตลาดบูม ถ้าหุ้นที่ซื้อ มีราคาลดลงแทนที่จะขึ้น แสดงว่าเป็นหุ้นอันตราย อย่าเสี่ยงดื้อรั้นถือไว้
(อธิบาย ...โดยธรรมชาติของหุ้นเมื่อตลาดบูม หุ้นส่วนมากจะมีราคากระเตื้องขึ้นตลอด หรืออาจเป็นการซึมขึ้นช้า ๆ แต่จะมีหุ้นที่ราคาไม่กระเตื้องเลย แม้เวลาผ่านไปสองวัน แสดงว่าหุ้นนั้นมีปัญหา การไม่ขึ้นตามกระแสสภาวะตลาด เป็นการเสียโอกาสอย่างหนึ่งที่ร้ายแรง ข้างในอาจมีปัญหาข้อขัดแย้ง แล้วสุดท้ายราคามักซึมลง เพราะคนที่ไม่รู้อะไรแต่ซื้อจำนวนมากจะทนไม่ได้กับโอกาสทองแบบนี้ และตัดสินใจออก คนที่ถืออยู่ก็จะขาดทุนมากขึ้น)