หลายคนสงสัยว่า ทำไมฉันทำบุญขอให้รวย ไม่รวยสักที (ทำ 20 ขอถูกหวยรางวัลที่1) หรือทำไมคนนั้นเลวทำไมกรรมไม่ตามทัน ชั้นเป็นคนดีทำไมไม่ได้ดี และอีกหลายๆคำถาม หลายคนคงยังไม่ทราบเรื่องประเภทของกรรมที่เราทำๆกัน จึงเอามาให้อ่านกันไว้จะได้หายสงสัย ส่วนคนที่รู้แล้วก็ขออภัยที่อาจจะรบกวนเวลาของท่านไปบ้าง
กรรมประเภทต่างๆ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำแนกกรรมไว้ ๑๒ อย่าง คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๑ อโหสิกรรม ๑ อุปปัชชเวทนียกรรม ๑ อปรปริยายเวทนียกรรม ๑ ครุกกรรม ๑ พหุลกรรม ๑ ยทาสันนกรรม ๑ กฏัตตาวาปนกรรม ๑ ชนกกรรม ๑ อุปัตถัมภกกรรม ๑ อุปปีฬกกรรม ๑ อุปฆาตกกรรม ๑.
โดยแยกเกี่ยวกับการให้ผลของกรรมเหล่านั้นดังนี้
กรรมกลุ่มที่ ๑ โดยปากกาล คือ จำแนกเวลาที่ให้ผล
๑.๑ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
บรรดากรรม ๑๑ อย่างนั้น (ไม่รวมอโหสิกรรม) ในบรรดา (ชวนะ) จิต ๗ ชวนะชวนเจตนาดวงแรก ที่เป็นกุศลหรืออกุศล
ในชวนวิถีแรก ชื่อว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม.
ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้น ให้ผลในอัตภาพนี้(ชาตินี้)เท่านั้น เช่น กรรมที่เป็นกุศลอำนวยผลในชาตินี้ เหมือนกรรมของ
กากวฬิยเศรษฐีและปุณณกเศรษฐี เป็นต้น ส่วนที่เป็นอกุศล (อำนวยผลในอัตภาพนี้) และกรรมที่เป็นอกุศลเหมือนกรรม
ของนันทยักษ์ นันทมาณพ นันทโคฆาต ภิกษุโกกาลิกะ พระเจ้าสุปปพุทธะ พระเทวทัต และนางจิญจมาณวิกา
เป็นต้น. แต่เมื่อไม่สามารถให้ผลอย่างนั้น.
๑.๒ อโหสิกรรม
คือ ถึงความเป็นกรรมที่ไม่มีผลกรรมนั้น พึงสาธกด้วยข้อเปรียบกับพรานเนื้อ
อุปมาด้วยนายพรานเนื้อ
เปรียบเหมือนลูกศรที่นายพรานเนื้อ เห็นเนื้อแล้วโก่งธนูยิงไป ถ้าไม่พลาด ก็จะทำให้เนื้อนั้นล้มลงในที่นั้นเอง ลำดับนั้น
นายพรานเนื้อก็จะถลกหนังเนื้อนั้นออก เฉือนให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ ถือเอาเนื้อไปเลี้ยงลูกเมีย แต่ถ้าพลาด เนื้อจะหนีไป
ไม่หันกลับมาดูทิศนั้นอีก ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็พึงทราบฉันนั้น.
อธิบายว่า การกลับได้วาระแห่งวิบากของทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เหมือนกับลูกศรที่ยิงถูกเนื้อโดยไม่พลาดการ
กลับกลายเป็นกรรมที่ไม่มีผล เหมือนลูกศรที่ยิงพลาดฉะนั้น ฉะนี้แล.
๑.๓ อุปปัชชเวทนียกรรม
ส่วนชวนเจตนาดวงที่ ๗ ที่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ชื่อว่า อุปปัชชเวทนียกรรม.
อุปปัชชเวทนียกรรมนั้น อำนวยผลในอัตภาพ(ชาติ)ต่อไป แต่ในบรรดากุศลอกุศลทั้งสองฝ่ายนี้ อุปปัชชเวทนียกรรม
ในฝ่ายที่เป็นกุศล พึงทราบด้วยสามารถแห่งสมาบัติ ๘ ในฝ่ายที่เป็นอกุศล พึงทราบด้วยสามารถแห่งอนันตริยกรรม ๕
บรรดากรรมทั้งสองฝ่ายนั้น ผู้ที่ได้สมาบัติ ๘ จะเกิดในพรหมโลก ด้วยสมาบัติอย่างหนึ่ง. ฝ่ายผู้กระทำอนันตริยกรรม ๕
จะบังเกิดในนรกด้วยกรรมอย่างหนึ่ง. สมาบัติที่เหลือ และกรรม (ที่เหลือ) จะถึงความเป็นอโหสิกรรมไปหมด คือ
เป็นกรรมที่ไม่มีวิบาก. แม้ความข้อนี้ พึงทราบตามข้อเปรียบเทียบข้อแรกเทอญ.
๑.๔ อปรปริยายเวทนียกรรม
ก็ชวนเจตนา ๕ ดวง ที่เกิดขึ้นในระหว่าง แห่งชวนะ ๒ ดวง (ชวนเจตนาดวงที่ ๑ และชวนเจตนาดวงที่ ๗ ) ชื่อว่า
อปรปริยายเวทนียกรรม. อปรปริยายเวทนียกรรมนั้น ได้โอกาสเมื่อใดในอนาคตกาล เมื่อนั้น จะให้ผลเมื่อความเป็น
ไปแห่งสังสารวัฏฏะยังมีอยู่ กรรมนั้นจะชื่อว่าเป็นอโหสิกรรมย่อมไม่มี. กรรมทั้งหมดนั้นควรแสดงด้วย (เรื่อง) พรานสุนัข.
เปรียบเหมือนสุนัขที่นายพรานเนื้อปล่อยไป เพราะเห็นเนื้อ จึงวิ่งตามเนื้อไป ทันเข้าในที่ใดก็จะกัดเอาในที่นั้นแหละ ฉันใด
กรรมนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้โอกาสในที่ใด ก็จะอำนวยผลในที่นั้นทันที. ขึ้นชื่อว่าสัตว์ จะรอดพ้นไปจากกรรมนั้น เป็นไม่มี.
กรรมกลุ่มที่ ๒ โดยกิจ คือ จำแนกผลให้ตามหน้าที่
๒.๕ ชนกกรรม
กรรมที่ให้เกิดปฏิสนธิอย่างเดียว หรือกรรมที่นำให้เกิด ไม่ให้เกิดปวัตติกาล (ขณะปัจจุบัน) กรรมอื่นย่อมให้เกิดวิบาก
ในปวัตติกาล ชื่อว่า ชนกกรรม.
อุปมาเสมือนหนึ่งว่า มารดาให้กำเนิดอย่างเดียว ส่วนพี่เลี้ยงนางนมประคบประหงมฉันใด ชนกกรรมก็เช่นนั้นเหมือนกัน
ให้เกิดปฏิสนธิเหมือนมารดา (ส่วน) กรรมที่มาประจวบเข้าในปวัตติกาล เหมือนพี่เลี้ยงนางนม.
๒.๖ อุปัตถัมภกรรม
ธรรมดาอุปัตถัมภกรรม มีได้ทั้งในกุศล ทั้งในอกุศล เพราะว่า ลางคนกระทำกุศลกรรมแล้วเกิดในสุคติภพ เขาดำรง
อยู่ในสุคติภพนั้นแล้ว บำเพ็ญกุศลบ่อย ๆ สนับสนุนกรรมนั้น ย่อมท่องเที่ยวไปในสุคติภพนั่นแหละตลอดเวลาหลายพันปี.
ลางคนกระทำอกุศลกรรมแล้วเกิดในทุคติภพ เขาดำรงอยู่ในทุคตินั้น กระทำอกุศลกรรมบ่อย ๆ สนับสนุนกรรมนั้นแล้ว
จะท่องเที่ยวไปในทุคติภพนั้นแหละ สิ้นเวลาหลายพันปี.
อีกนัยหนึ่งควรทราบดังนี้ ทั้งกุศลกรรม ทั้งอกุศลกรรม ชื่อว่าเป็นชนกกรรม. ชนกกรรมนั้นให้เกิดวิบากขันธ์ทั้งที่เป็น
รูปและอรูป ทั้งในปฏิสนธิกาล ทั้งในปวัตติกาล. ส่วนอุปัตถัมภกกรรม ไม่สามารถให้เกิดวิบากได้ แต่จะ
สนับสนุนสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในเพราะวิบาก ที่ไม่เกิดปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว ย่อมเป็นไปตลอดกาลนาน.
๒.๗ อุปปีฬกกรรม
กรรมที่เบียดเบียน บีบคั้นสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในเพราะวิบากที่ให้เกิดปฏิสนธิ ที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว จะไม่ให้(สุขหรือทุกข์นั้น)
เป็นไปตลอดกาลนาน ชื่อว่า อุปปีฬกกรรม.
ในอุปปีฬกกรรมนั้น มีนัยดังต่อไปนี้. เมื่อกุศลกรรมกำลังให้ผลอกุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้ (โอกาส) กุศลกรรมนั้นให้ผล.
แม้เมื่ออกุศลกรรมนั้นกำลังให้ผลอยู่ กุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้(โอกาส) อกุศลกรรมนั้นให้ผล. ต้นไม้ กอไม้ หรือเถาวัลย์
ที่กำลังเจริญงอกงามใครคนใดคนหนึ่งเอาไม้มาทุบ หรือเอาศาสตรามาตัด เมื่อเป็นเช่นนั้นต้นไม้กอไม้หรือเถาวัลย์นั้นจะต้อง
ไม่เจริญงอกงามขึ้นฉันใด กุศลกรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่อกำลังให้ผล (แต่ถูก) อกุศลกรรมเบียดเบียน หรือว่าอกุศลกรรมกำลังให้ผล (แต่ถูก) กุศลกรรมบีบคั้นจะไม่สามารถ
ให้ผลได้. ในสองอย่างนั้น สำหรับนายสุนักขัตตะ อกุศลกรรม (ชื่อว่า) เบียดเบียนกุศลกรรม สำหรับกรณีนายโจรฆาตกะ
กุศลกรรม(ชื่อว่า) เบียดเบียนอกุศลกรรม.
เรื่องเพชฌฆาต ชื่อตาวกาฬกะ
เล่ากันว่า ในกรุงราชคฤห์ นายตาวกาฬกะ กระทำโจรฆาตกรรม(ประหารชีวิตโจร) มาเป็นเวลา ๕๐ ปี. ลำดับนั้น ราชบุรุษทั้งหลายได้
กราบทูลเขาต่อพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ นายตาวกาฬกะแก่แล้ว ไม่สามารถจะประหารชีวิตโจรได้ พระราชารับสั่งว่า
ท่านทั้งหลายจงปลดเขาออกจากตำแหน่งนั้น.
อำมาตย์ทั้งหลายปลดเขาออกแล้ว แต่งตั้งคนอื่นแทน.
ฝ่ายนายตาวกาฬกะ ตลอดเวลาที่ทำงานนั้น (เป็นเพชฌฆาต)ไม่เคยนุ่งผ้าใหม่ ไม่ได้ทัดทรงของหอมและดอกไม้ ไม่ได้บริโภค
ข้าวปายาสไม่ได้รับการอบอาบ.
เขาคิดว่า เราอยู่โดยเพศของผู้เศร้าหมองมานานแล้ว จึงสั่งภรรยาให้หุงข้าวปายาส ให้นำเครื่องสัมภาระสำหรับอาบไปยังท่าน้ำดำเกล้าและนุ่งผ้าใหม่ ลูบไล้ของหอม ทัดดอกไม้ กำลังเดินมาบ้าน เห็นพระสารีบุตรเถระ ดีใจว่า เราจะได้พ้นจากกรรมที่เศร้าหมอง
และได้พบพระผู้เป็นเจ้าของเราด้วย จึงนำพระเถระไปยังเรือน แล้วอังคาส(ประเคน)ด้วยข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส เนยข้น และ
ผงน้ำตาลกรวด. พระเถระได้อนุโมทนาของเขา.
เขาได้ฟังอนุโมทนาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ ตามส่งพระเถระแล้วเดินกลับในระหว่างทางถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิด
ให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วไปเกิดในดาวดึงสพิภพ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระตถาคตว่า
พระพุทธเจ้าข้า วันนี้เอง นายโจรฆาตอันพระสารีบุตรเถระช่วยนำออกจากกรรมที่เศร้าหมอง ถึงแก่กรรมแล้วในวันนี้
เหมือนกัน เขาเกิดในที่ไหนหนอ.
พ. ในดาวดึงสพิภพ ภิกษุทั้งหลาย.
ภิ. พระพุทธเจ้าข้า นายโจรฆาตฆ่าคนมาเป็นเวลานานและพระองค์ก็ตรัสสอนไว้อย่างนี้ บาปกรรมไม่มีผลหรือ
อย่างไรหนอ.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากล่าวเช่นนั้น นายโจรฆาตได้กัลยาณมิตรผู้มีกำลังเป็นอุปนิสสยปัจจัย ถวายบิณฑบาตแก่พระธรรมเสนาบดีฟังอนุโมทนากถาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ จึงได้บังเกิดในที่นั้น.
นายโจรฆาต ได้ฟังคำเป็นสุภาษิตในเมืองแล้วได้อนุโลมขันติบันเทิงใจ ไปเกิดในไตรเทพ.
๒.๘ อุปฆาตกกรรม
ส่วนอุปฆาตกกรรม ที่เป็นกุศลบ้าง ที่เป็นอกุศลบ้าง มีอยู่เอง จะตัดรอนกรรมอื่น ที่มีกำลังเพลากว่า ห้ามวิบากของกรรมนั้นไว้แล้ว
ทำโอกาสแก่วิบากของตน. ก็เมื่อกรรมทำ (ให้) โอกาสอย่างนี้แล้ว กรรมนั้นเรียกว่า เผล็ดผลแล้ว.
อุปฆาตกกรรมนี้นั่นแหละ มีชื่อว่าอุปัจเฉทกกรรมบ้าง.
อธิบายอุปัจเฉทกกรรม
ในอุปัจเฉทกกรรมนั้น มีนัยดังต่อไปนี้ ในเวลาที่กุศลกรรมให้ผลอกุศลกรรมอย่างหนึ่งจะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นให้ตกไป
ถึงในเวลาที่อกุศลกรรมให้ผล กุศลกรรมอย่างหนึ่งก็จะตั้งขึ้น ตัดรอนกรรมนั้นแล้วให้ตกไป. นี้ชื่อว่า อุปัจเฉทกกรรม.
บรรดาอุปัจเฉทกกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลทั้งสองอย่างนั้น กรรมของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้เป็นกรรมที่ตัดรอนกุศล
ส่วนกรรมของพระองคุลิมาลเถระได้เป็นกรรมตัดรอนอกุศล. ด้วยประการดังกล่าวมานี้
๓.๙ ครุกกรรม
ส่วนในบรรดากรรมหนักและกรรมไม่หนัก ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลกรรมใดหนัก กรรมนั้นชื่อว่า ครุกกรรม. ครุกกรรมนี้นั้น
ในฝ่ายกุศลพึงทราบว่าได้แก่ มหัคคตกรรม ในฝ่ายอกุศล พึงทราบว่าได้แก่ อนันตริยกรรม ๕.
เมื่อครุกรรมนั้นมีอยู่ กุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่เหลือจะไม่สามารถให้ผลได้. ครุกรรมแม้ทั้งสองอย่างนั้นแหละจะให้ปฏิสนธิ.
อุปมาเสมือนหนึ่งว่า ก้อนกรวดหรือก้อนเหล็ก แม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่โยนลงห้วงน้ำ ย่อมไม่สามารถจะลอยขึ้นเหนือ
น้ำได้ จะจมลงใต้น้ำอย่างเดียว ฉันใด ในกุศลกรรมก็ดี อกุศลกรรมก็ดี ก็ฉันนั้นเหมือนกัน กรรมฝ่ายใดหนัก เขาจะถือเอากรรมฝ่าย
นั้นแหละไป.
๓.๑๐ พหุลกรรม (อาจิณณกรรม)
ส่วนในกุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งหลาย กรรมใดมาก กรรมนั้นชื่อว่า พหุลกรรม. พหุลกรรมนั้นพึงทราบด้วยอำนาจ
อาเสวนะที่ได้แล้วตลอดกาลนาน
อีกอย่างหนึ่ง ในฝ่ายกุศลกรรม กรรมใดที่มีกำลังสร้างโสมนัสให้ในฝ่ายอกุศลกรรม สร้างความเดือดร้อนให้ กรรมนั้น
ชื่อว่า พหุลกรรม. อุปมาเสมือนหนึ่งว่า เมื่อนักมวยปล้ำ ๒ คนขึ้นเวที คนใดมีกำลังมาก คนนั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้ม (แพ้)ไป
ฉันใด พหุลกรรมนี้นั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะทับถมกรรมพวกนี้ที่มีกำลังน้อย (ชนะ) ไป.
กรรมใดมากโดยการเสพจนคุ้นหรือมีกำลังโดยอำนาจ ทำให้เดือดร้อนมาก กรรมนั้นจะให้ผล เหมือนกรรมของ
พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย ฉะนั้น.
เรื่องพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย
เล่ากันมาว่า พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยนั้น รบพ่ายแพ้ในจูฬังคณิยยุทธ์ ทรงควบม้าหนีไป. มหาดเล็กชื่อว่า
ติสสอำมาตย์ของพระองค์ ตามเสด็จไปได้คนเดียวเท่านั้น.
ท้าวเธอเสด็จเข้าสู่ดงแห่งหนึ่ง ประทับนั่งแล้ว เมื่อถูกความหิวเบียดเบียน จึงรับสั่งว่า
พี่ติสสะ เราสองคนหิวเหลือเกิน จะทำอย่างไร?
มีอาหารพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้นำพระกระยาหารใส่ขันทองใบหนึ่ง ซ่อนไว้ในระหว่างผ้าสาฎกมาด้วยพระเจ้าข้า.
ถ้าอย่างนั้นจงนำมา. เขาจึงนำพระกระยาหารออกมาวางตรงพระพักตร์พระราชา.
ท้าวเธอทรงเห็นแล้วตรัสว่า จงแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน ซิพ่อคุณ. เขาทูลถามว่าพวกเรามี ๓ คน เหตุไฉน พระองค์จึงให้จัดเป็น
๔ ส่วน. พี่ติสสะ เวลาที่เรานึกถึงตัวเราไม่เคยบริโภคอาหาร ที่ยังไม่ได้ถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าก่อนเลย ถึงวันนี้ เราก็จักไม่ยอมบริโภค
โดยยังไม่ได้ถวายอาหารแก่พระผู้เป็นเจ้า.
เขาจึงจัดแบ่งอาหารออกเป็น ๔ ส่วน.
พระราชาทรงรับสั่งว่า ท่านจงประกาศเวลา.
ในป่าร้าง เราจักได้พระคุณเจ้าที่ไหน พระพุทธเจ้าข้า.
ข้อนี้ไม่ใช่หน้าที่ของท่านถ้าศรัทธาของเรายังมี เราจักได้พระคุณเจ้าเอง ท่านจงวางใจ แล้วประกาศเวลาเถิด.
เขาจึงประกาศถึง ๓ ครั้งว่า
ได้เวลาอาหารแล้ว ขอรับพระคุณเจ้าได้เวลาอาหารแล้ว
ขอรับพระคุณเจ้า.
ลำดับนั้น พระโพธิยมาลกมหาติสสเถระ ได้ยินเสียงนั้นด้วยทิพพโสตธาตุรำพึงว่า เสียงนี้ที่ไหน?
จึงรู้ว่า วันนี้พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย แพ้สงครามเสด็จเข้าสู่ดงดิบ ประทับนั่งแล้ว ให้แบ่งข้าวขันเดียวออกเป็น ๔ ส่วน
ทรงรำพึงว่าเราจักบริโภคเพียงส่วนเดียว จึงให้ประกาศเวลา (ภัตร) คิดว่า วันนี้เราควรทำการสงเคราะห
กรรม ๑๒, ผลของการกระทำ ๑๒ อย่าง เห็นหลายคยสงสัยว่าทำบุญแล้วทำไมยังไม่ได้ผลบุญ
กรรมประเภทต่างๆ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำแนกกรรมไว้ ๑๒ อย่าง คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๑ อโหสิกรรม ๑ อุปปัชชเวทนียกรรม ๑ อปรปริยายเวทนียกรรม ๑ ครุกกรรม ๑ พหุลกรรม ๑ ยทาสันนกรรม ๑ กฏัตตาวาปนกรรม ๑ ชนกกรรม ๑ อุปัตถัมภกกรรม ๑ อุปปีฬกกรรม ๑ อุปฆาตกกรรม ๑.
โดยแยกเกี่ยวกับการให้ผลของกรรมเหล่านั้นดังนี้
กรรมกลุ่มที่ ๑ โดยปากกาล คือ จำแนกเวลาที่ให้ผล
๑.๑ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
บรรดากรรม ๑๑ อย่างนั้น (ไม่รวมอโหสิกรรม) ในบรรดา (ชวนะ) จิต ๗ ชวนะชวนเจตนาดวงแรก ที่เป็นกุศลหรืออกุศล
ในชวนวิถีแรก ชื่อว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม.
ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้น ให้ผลในอัตภาพนี้(ชาตินี้)เท่านั้น เช่น กรรมที่เป็นกุศลอำนวยผลในชาตินี้ เหมือนกรรมของ
กากวฬิยเศรษฐีและปุณณกเศรษฐี เป็นต้น ส่วนที่เป็นอกุศล (อำนวยผลในอัตภาพนี้) และกรรมที่เป็นอกุศลเหมือนกรรม
ของนันทยักษ์ นันทมาณพ นันทโคฆาต ภิกษุโกกาลิกะ พระเจ้าสุปปพุทธะ พระเทวทัต และนางจิญจมาณวิกา
เป็นต้น. แต่เมื่อไม่สามารถให้ผลอย่างนั้น.
๑.๒ อโหสิกรรม
คือ ถึงความเป็นกรรมที่ไม่มีผลกรรมนั้น พึงสาธกด้วยข้อเปรียบกับพรานเนื้อ
อุปมาด้วยนายพรานเนื้อ
เปรียบเหมือนลูกศรที่นายพรานเนื้อ เห็นเนื้อแล้วโก่งธนูยิงไป ถ้าไม่พลาด ก็จะทำให้เนื้อนั้นล้มลงในที่นั้นเอง ลำดับนั้น
นายพรานเนื้อก็จะถลกหนังเนื้อนั้นออก เฉือนให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ ถือเอาเนื้อไปเลี้ยงลูกเมีย แต่ถ้าพลาด เนื้อจะหนีไป
ไม่หันกลับมาดูทิศนั้นอีก ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็พึงทราบฉันนั้น.
อธิบายว่า การกลับได้วาระแห่งวิบากของทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เหมือนกับลูกศรที่ยิงถูกเนื้อโดยไม่พลาดการ
กลับกลายเป็นกรรมที่ไม่มีผล เหมือนลูกศรที่ยิงพลาดฉะนั้น ฉะนี้แล.
๑.๓ อุปปัชชเวทนียกรรม
ส่วนชวนเจตนาดวงที่ ๗ ที่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ชื่อว่า อุปปัชชเวทนียกรรม.
อุปปัชชเวทนียกรรมนั้น อำนวยผลในอัตภาพ(ชาติ)ต่อไป แต่ในบรรดากุศลอกุศลทั้งสองฝ่ายนี้ อุปปัชชเวทนียกรรม
ในฝ่ายที่เป็นกุศล พึงทราบด้วยสามารถแห่งสมาบัติ ๘ ในฝ่ายที่เป็นอกุศล พึงทราบด้วยสามารถแห่งอนันตริยกรรม ๕
บรรดากรรมทั้งสองฝ่ายนั้น ผู้ที่ได้สมาบัติ ๘ จะเกิดในพรหมโลก ด้วยสมาบัติอย่างหนึ่ง. ฝ่ายผู้กระทำอนันตริยกรรม ๕
จะบังเกิดในนรกด้วยกรรมอย่างหนึ่ง. สมาบัติที่เหลือ และกรรม (ที่เหลือ) จะถึงความเป็นอโหสิกรรมไปหมด คือ
เป็นกรรมที่ไม่มีวิบาก. แม้ความข้อนี้ พึงทราบตามข้อเปรียบเทียบข้อแรกเทอญ.
๑.๔ อปรปริยายเวทนียกรรม
ก็ชวนเจตนา ๕ ดวง ที่เกิดขึ้นในระหว่าง แห่งชวนะ ๒ ดวง (ชวนเจตนาดวงที่ ๑ และชวนเจตนาดวงที่ ๗ ) ชื่อว่า
อปรปริยายเวทนียกรรม. อปรปริยายเวทนียกรรมนั้น ได้โอกาสเมื่อใดในอนาคตกาล เมื่อนั้น จะให้ผลเมื่อความเป็น
ไปแห่งสังสารวัฏฏะยังมีอยู่ กรรมนั้นจะชื่อว่าเป็นอโหสิกรรมย่อมไม่มี. กรรมทั้งหมดนั้นควรแสดงด้วย (เรื่อง) พรานสุนัข.
เปรียบเหมือนสุนัขที่นายพรานเนื้อปล่อยไป เพราะเห็นเนื้อ จึงวิ่งตามเนื้อไป ทันเข้าในที่ใดก็จะกัดเอาในที่นั้นแหละ ฉันใด
กรรมนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้โอกาสในที่ใด ก็จะอำนวยผลในที่นั้นทันที. ขึ้นชื่อว่าสัตว์ จะรอดพ้นไปจากกรรมนั้น เป็นไม่มี.
กรรมกลุ่มที่ ๒ โดยกิจ คือ จำแนกผลให้ตามหน้าที่
๒.๕ ชนกกรรม
กรรมที่ให้เกิดปฏิสนธิอย่างเดียว หรือกรรมที่นำให้เกิด ไม่ให้เกิดปวัตติกาล (ขณะปัจจุบัน) กรรมอื่นย่อมให้เกิดวิบาก
ในปวัตติกาล ชื่อว่า ชนกกรรม.
อุปมาเสมือนหนึ่งว่า มารดาให้กำเนิดอย่างเดียว ส่วนพี่เลี้ยงนางนมประคบประหงมฉันใด ชนกกรรมก็เช่นนั้นเหมือนกัน
ให้เกิดปฏิสนธิเหมือนมารดา (ส่วน) กรรมที่มาประจวบเข้าในปวัตติกาล เหมือนพี่เลี้ยงนางนม.
๒.๖ อุปัตถัมภกรรม
ธรรมดาอุปัตถัมภกรรม มีได้ทั้งในกุศล ทั้งในอกุศล เพราะว่า ลางคนกระทำกุศลกรรมแล้วเกิดในสุคติภพ เขาดำรง
อยู่ในสุคติภพนั้นแล้ว บำเพ็ญกุศลบ่อย ๆ สนับสนุนกรรมนั้น ย่อมท่องเที่ยวไปในสุคติภพนั่นแหละตลอดเวลาหลายพันปี.
ลางคนกระทำอกุศลกรรมแล้วเกิดในทุคติภพ เขาดำรงอยู่ในทุคตินั้น กระทำอกุศลกรรมบ่อย ๆ สนับสนุนกรรมนั้นแล้ว
จะท่องเที่ยวไปในทุคติภพนั้นแหละ สิ้นเวลาหลายพันปี.
อีกนัยหนึ่งควรทราบดังนี้ ทั้งกุศลกรรม ทั้งอกุศลกรรม ชื่อว่าเป็นชนกกรรม. ชนกกรรมนั้นให้เกิดวิบากขันธ์ทั้งที่เป็น
รูปและอรูป ทั้งในปฏิสนธิกาล ทั้งในปวัตติกาล. ส่วนอุปัตถัมภกกรรม ไม่สามารถให้เกิดวิบากได้ แต่จะ
สนับสนุนสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในเพราะวิบาก ที่ไม่เกิดปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว ย่อมเป็นไปตลอดกาลนาน.
๒.๗ อุปปีฬกกรรม
กรรมที่เบียดเบียน บีบคั้นสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในเพราะวิบากที่ให้เกิดปฏิสนธิ ที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว จะไม่ให้(สุขหรือทุกข์นั้น)
เป็นไปตลอดกาลนาน ชื่อว่า อุปปีฬกกรรม.
ในอุปปีฬกกรรมนั้น มีนัยดังต่อไปนี้. เมื่อกุศลกรรมกำลังให้ผลอกุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้ (โอกาส) กุศลกรรมนั้นให้ผล.
แม้เมื่ออกุศลกรรมนั้นกำลังให้ผลอยู่ กุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้(โอกาส) อกุศลกรรมนั้นให้ผล. ต้นไม้ กอไม้ หรือเถาวัลย์
ที่กำลังเจริญงอกงามใครคนใดคนหนึ่งเอาไม้มาทุบ หรือเอาศาสตรามาตัด เมื่อเป็นเช่นนั้นต้นไม้กอไม้หรือเถาวัลย์นั้นจะต้อง
ไม่เจริญงอกงามขึ้นฉันใด กุศลกรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่อกำลังให้ผล (แต่ถูก) อกุศลกรรมเบียดเบียน หรือว่าอกุศลกรรมกำลังให้ผล (แต่ถูก) กุศลกรรมบีบคั้นจะไม่สามารถ
ให้ผลได้. ในสองอย่างนั้น สำหรับนายสุนักขัตตะ อกุศลกรรม (ชื่อว่า) เบียดเบียนกุศลกรรม สำหรับกรณีนายโจรฆาตกะ
กุศลกรรม(ชื่อว่า) เบียดเบียนอกุศลกรรม.
เรื่องเพชฌฆาต ชื่อตาวกาฬกะ
เล่ากันว่า ในกรุงราชคฤห์ นายตาวกาฬกะ กระทำโจรฆาตกรรม(ประหารชีวิตโจร) มาเป็นเวลา ๕๐ ปี. ลำดับนั้น ราชบุรุษทั้งหลายได้
กราบทูลเขาต่อพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ นายตาวกาฬกะแก่แล้ว ไม่สามารถจะประหารชีวิตโจรได้ พระราชารับสั่งว่า
ท่านทั้งหลายจงปลดเขาออกจากตำแหน่งนั้น.
อำมาตย์ทั้งหลายปลดเขาออกแล้ว แต่งตั้งคนอื่นแทน.
ฝ่ายนายตาวกาฬกะ ตลอดเวลาที่ทำงานนั้น (เป็นเพชฌฆาต)ไม่เคยนุ่งผ้าใหม่ ไม่ได้ทัดทรงของหอมและดอกไม้ ไม่ได้บริโภค
ข้าวปายาสไม่ได้รับการอบอาบ.
เขาคิดว่า เราอยู่โดยเพศของผู้เศร้าหมองมานานแล้ว จึงสั่งภรรยาให้หุงข้าวปายาส ให้นำเครื่องสัมภาระสำหรับอาบไปยังท่าน้ำดำเกล้าและนุ่งผ้าใหม่ ลูบไล้ของหอม ทัดดอกไม้ กำลังเดินมาบ้าน เห็นพระสารีบุตรเถระ ดีใจว่า เราจะได้พ้นจากกรรมที่เศร้าหมอง
และได้พบพระผู้เป็นเจ้าของเราด้วย จึงนำพระเถระไปยังเรือน แล้วอังคาส(ประเคน)ด้วยข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส เนยข้น และ
ผงน้ำตาลกรวด. พระเถระได้อนุโมทนาของเขา.
เขาได้ฟังอนุโมทนาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ ตามส่งพระเถระแล้วเดินกลับในระหว่างทางถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิด
ให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วไปเกิดในดาวดึงสพิภพ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระตถาคตว่า
พระพุทธเจ้าข้า วันนี้เอง นายโจรฆาตอันพระสารีบุตรเถระช่วยนำออกจากกรรมที่เศร้าหมอง ถึงแก่กรรมแล้วในวันนี้
เหมือนกัน เขาเกิดในที่ไหนหนอ.
พ. ในดาวดึงสพิภพ ภิกษุทั้งหลาย.
ภิ. พระพุทธเจ้าข้า นายโจรฆาตฆ่าคนมาเป็นเวลานานและพระองค์ก็ตรัสสอนไว้อย่างนี้ บาปกรรมไม่มีผลหรือ
อย่างไรหนอ.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากล่าวเช่นนั้น นายโจรฆาตได้กัลยาณมิตรผู้มีกำลังเป็นอุปนิสสยปัจจัย ถวายบิณฑบาตแก่พระธรรมเสนาบดีฟังอนุโมทนากถาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ จึงได้บังเกิดในที่นั้น.
นายโจรฆาต ได้ฟังคำเป็นสุภาษิตในเมืองแล้วได้อนุโลมขันติบันเทิงใจ ไปเกิดในไตรเทพ.
๒.๘ อุปฆาตกกรรม
ส่วนอุปฆาตกกรรม ที่เป็นกุศลบ้าง ที่เป็นอกุศลบ้าง มีอยู่เอง จะตัดรอนกรรมอื่น ที่มีกำลังเพลากว่า ห้ามวิบากของกรรมนั้นไว้แล้ว
ทำโอกาสแก่วิบากของตน. ก็เมื่อกรรมทำ (ให้) โอกาสอย่างนี้แล้ว กรรมนั้นเรียกว่า เผล็ดผลแล้ว.
อุปฆาตกกรรมนี้นั่นแหละ มีชื่อว่าอุปัจเฉทกกรรมบ้าง.
อธิบายอุปัจเฉทกกรรม
ในอุปัจเฉทกกรรมนั้น มีนัยดังต่อไปนี้ ในเวลาที่กุศลกรรมให้ผลอกุศลกรรมอย่างหนึ่งจะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นให้ตกไป
ถึงในเวลาที่อกุศลกรรมให้ผล กุศลกรรมอย่างหนึ่งก็จะตั้งขึ้น ตัดรอนกรรมนั้นแล้วให้ตกไป. นี้ชื่อว่า อุปัจเฉทกกรรม.
บรรดาอุปัจเฉทกกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลทั้งสองอย่างนั้น กรรมของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้เป็นกรรมที่ตัดรอนกุศล
ส่วนกรรมของพระองคุลิมาลเถระได้เป็นกรรมตัดรอนอกุศล. ด้วยประการดังกล่าวมานี้
๓.๙ ครุกกรรม
ส่วนในบรรดากรรมหนักและกรรมไม่หนัก ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลกรรมใดหนัก กรรมนั้นชื่อว่า ครุกกรรม. ครุกกรรมนี้นั้น
ในฝ่ายกุศลพึงทราบว่าได้แก่ มหัคคตกรรม ในฝ่ายอกุศล พึงทราบว่าได้แก่ อนันตริยกรรม ๕.
เมื่อครุกรรมนั้นมีอยู่ กุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่เหลือจะไม่สามารถให้ผลได้. ครุกรรมแม้ทั้งสองอย่างนั้นแหละจะให้ปฏิสนธิ.
อุปมาเสมือนหนึ่งว่า ก้อนกรวดหรือก้อนเหล็ก แม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่โยนลงห้วงน้ำ ย่อมไม่สามารถจะลอยขึ้นเหนือ
น้ำได้ จะจมลงใต้น้ำอย่างเดียว ฉันใด ในกุศลกรรมก็ดี อกุศลกรรมก็ดี ก็ฉันนั้นเหมือนกัน กรรมฝ่ายใดหนัก เขาจะถือเอากรรมฝ่าย
นั้นแหละไป.
๓.๑๐ พหุลกรรม (อาจิณณกรรม)
ส่วนในกุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งหลาย กรรมใดมาก กรรมนั้นชื่อว่า พหุลกรรม. พหุลกรรมนั้นพึงทราบด้วยอำนาจ
อาเสวนะที่ได้แล้วตลอดกาลนาน
อีกอย่างหนึ่ง ในฝ่ายกุศลกรรม กรรมใดที่มีกำลังสร้างโสมนัสให้ในฝ่ายอกุศลกรรม สร้างความเดือดร้อนให้ กรรมนั้น
ชื่อว่า พหุลกรรม. อุปมาเสมือนหนึ่งว่า เมื่อนักมวยปล้ำ ๒ คนขึ้นเวที คนใดมีกำลังมาก คนนั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้ม (แพ้)ไป
ฉันใด พหุลกรรมนี้นั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะทับถมกรรมพวกนี้ที่มีกำลังน้อย (ชนะ) ไป.
กรรมใดมากโดยการเสพจนคุ้นหรือมีกำลังโดยอำนาจ ทำให้เดือดร้อนมาก กรรมนั้นจะให้ผล เหมือนกรรมของ
พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย ฉะนั้น.
เรื่องพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย
เล่ากันมาว่า พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยนั้น รบพ่ายแพ้ในจูฬังคณิยยุทธ์ ทรงควบม้าหนีไป. มหาดเล็กชื่อว่า
ติสสอำมาตย์ของพระองค์ ตามเสด็จไปได้คนเดียวเท่านั้น.
ท้าวเธอเสด็จเข้าสู่ดงแห่งหนึ่ง ประทับนั่งแล้ว เมื่อถูกความหิวเบียดเบียน จึงรับสั่งว่า
พี่ติสสะ เราสองคนหิวเหลือเกิน จะทำอย่างไร?
มีอาหารพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้นำพระกระยาหารใส่ขันทองใบหนึ่ง ซ่อนไว้ในระหว่างผ้าสาฎกมาด้วยพระเจ้าข้า.
ถ้าอย่างนั้นจงนำมา. เขาจึงนำพระกระยาหารออกมาวางตรงพระพักตร์พระราชา.
ท้าวเธอทรงเห็นแล้วตรัสว่า จงแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน ซิพ่อคุณ. เขาทูลถามว่าพวกเรามี ๓ คน เหตุไฉน พระองค์จึงให้จัดเป็น
๔ ส่วน. พี่ติสสะ เวลาที่เรานึกถึงตัวเราไม่เคยบริโภคอาหาร ที่ยังไม่ได้ถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าก่อนเลย ถึงวันนี้ เราก็จักไม่ยอมบริโภค
โดยยังไม่ได้ถวายอาหารแก่พระผู้เป็นเจ้า.
เขาจึงจัดแบ่งอาหารออกเป็น ๔ ส่วน.
พระราชาทรงรับสั่งว่า ท่านจงประกาศเวลา.
ในป่าร้าง เราจักได้พระคุณเจ้าที่ไหน พระพุทธเจ้าข้า.
ข้อนี้ไม่ใช่หน้าที่ของท่านถ้าศรัทธาของเรายังมี เราจักได้พระคุณเจ้าเอง ท่านจงวางใจ แล้วประกาศเวลาเถิด.
เขาจึงประกาศถึง ๓ ครั้งว่า
ได้เวลาอาหารแล้ว ขอรับพระคุณเจ้าได้เวลาอาหารแล้ว
ขอรับพระคุณเจ้า.
ลำดับนั้น พระโพธิยมาลกมหาติสสเถระ ได้ยินเสียงนั้นด้วยทิพพโสตธาตุรำพึงว่า เสียงนี้ที่ไหน?
จึงรู้ว่า วันนี้พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย แพ้สงครามเสด็จเข้าสู่ดงดิบ ประทับนั่งแล้ว ให้แบ่งข้าวขันเดียวออกเป็น ๔ ส่วน
ทรงรำพึงว่าเราจักบริโภคเพียงส่วนเดียว จึงให้ประกาศเวลา (ภัตร) คิดว่า วันนี้เราควรทำการสงเคราะห