กลับมาพบกับ Spoil เนื้อเรื่องตะไกรไชฟักทองกันอีกครั้งนะครับ
งวดนี้หายไป 2 เดือนเพราะของเดือนที่แล้วเป็นแค่บท Interval (บทคั่นฉาก) สั้นๆ แค่ไม่กี่หน้าเท่านั้น แถมไม่มีอะไรสำคัญเท่าไหร่ เลยเกิดอารมณ์ขี้เกียจขึ้นมาดื้อๆ มีตอนนี้แหละที่ถึงจะเป็นบท Interval เหมือนเดิม แต่ก็มีเนื้อมีหนังอะไรให้เขียนได้ เลยได้กลับมาโพสอีกครั้ง
แจ้งเกี่ยวกับตอนนี้เล็กน้อย ปกติผมจะสปอลย์แค่พอให้เห็นภาพของเรื่องเท่านั้น แต่เห็นตอนนี้มีเนื้อหาน่าสนใจจากทั้งฝั่งคู่พระคู่นางออกมาให้เห็นกัน แถมยังมีบทพูดคมๆ บาดหัวจากปากทั้งคู่พระคู่นางอีก เลยเกิดอารมณ์อยากเล่าเรื่องแบบละเอียดๆ ให้ฟังขึ้นมาครับ
ว่าแล้วก็ลงไปชมกันได้เลยครับ
- เปิดตอนมาต่อจากตอนที่แล้ว (ตอน 90) ที่แรนเดลกำลังแต่งชุดเตรียมออกรบอยู่ที่ศูนย์วิจัยของเคาป์แลน (ดร.แว่น) ทั้งๆ ที่เพิ่งจะออกจากห้องผ่าตัดมาได้ไม่ทันถึงชั่วโมงดี
- ภาพแรนเดลกำลังแต่งชุดทหารเตรียมอาวุธปืนตรงหน้าทำให้ดร.แว่นอดถามแรนเดลเป็นเชิงค่อนขอดไม่ได้ว่าอยากฆ่าคนมากขนาดนั้นเลยเรอะ
- แรนเดลไม่แสดงอาการไม่พอใจกับคำค่อนขอดของดร.แว่น กลับหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วบอกกับดร.แว่นว่า
"ขอบคุณมากที่ทำให้ชั้นเป็นตัวชั้นในวันนี้"
- ดร.แว่นได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป แรนเดลก็บอกต่อว่า ดร.แว่นจะเป็นคนดีหรือคนเลวเขาไม่รู้ รู้แน่ๆ อย่างเดียวว่าดร.แว่นนั้นเป็นคนโหดร้าย แต่การเป็นคนโหดร้ายก็ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นจะเป็นคนเลวเสมอไป เพราะตัวเขาเองก็มีเพื่อนที่เป็นทั้ง
"คนดี" และ
"คนโหดร้าย" ในคนเดียวกันอยู่เหมือนกัน (ตรงนี้แรนเดลหมายถึงอาเบล เพื่อนรักของตัวเองสมัยเด็กที่ปัจจุบันเป็นมือขวาเจ้าพ่อมาเฟียในเขต 0 อยู่) แต่กระทั่งคนโหดร้ายอย่างดร.แว่นก็ยังกล้าพูดคำว่าความยุติธรรมออกจากปากได้ กล้าพูดว่า
'การฆ่าคนคือความชั่วร้าย' กล้าพูดว่า
'การเบือนหน้าหนีจากความชั่วร้ายนั้น นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าขี้โกง' ซึ่งหลักการของสิ่งที่ความยุติธรรมนั้นไม่ใช่ของที่จะเอามาพูดได้พล่อยๆ แบบนั้น
- แรนเดล
"เพราะงั้นชั้นเลยคิดขึ้นมา ว่าจริงๆ แล้วโลกใบนี้น่ะก็มีสิ่งที่เรียกว่า 'ความยุติธรรม' อยู่เหมือนกัน ชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดที่กระทั่งคนโหดร้ายอย่างเธอยังเบือนหน้าหนีไม่ได้เสียด้วยสิ"
- แรนเดลบอกต่อว่า หากจะตั้งคำถามต่อสิ่งใดๆ ก็ตามว่าเป็น
"ความยุติธรรมหรือไม่" แล้วละก็ ทุกคนก็ล้วนแต่มีไม้บรรทัดอยู่ในใจสำหรับวัดอยู่แล้วว่าสิ่งนั้นๆ คือความยุติธรรมหรือไม่ เพราะงั้นไอ้คำว่า
"ไม่มีความยุติธรรมอยู่ในโลกนี้" น่ะไม่ใช่ความจริงหรอก ความยุติธรรมนั้นมีอยู่ในใจของทุกคนอยู่แล้ว มีเยอะเสียขนาดที่เดินไปไหนต่อไหนก็ยังมีโอกาสกระทบไหล่คนที่มีความยุติธรรมแบบเดียวกันได้เสมอ แม้บางครั้งจะต้องชนกับพวกเดียวกันจนยากจะประสานรอยร้าว แต่หากสัมผัสได้ว่าไม่ว่าใครก็ล้วนแต่มีสิ่งเหล่านั้นฝังอยู่ในกายละก็ ก็จะลุกขึ้นสู้ด้วยความคิดว่า
" 'พื้นฐาน' ของสิ่งที่เรียกว่า 'ความยุติธรรม' คือความเชื่อมั่นว่า 'โลกนี้ยังมีความเที่ยงธรรมหลงเหลืออยู่'" ได้แน่ๆ
- ฟังแรนเดลพูดจบ ดร.แว่นก็ตอบกลับว่า ที่แรนเดลพูดมานั่นมันเลื่อนลอยไม่ต่างอะไรกับการโต้แย้งเวลามีใครมาพูดว่า
"พระเจ้าไม่มีจริง" ว่า
"ขอเพียงเอ่ยนามและใช้นามของพระผู้เป็นเจ้า ก็เท่ากับว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในตัวเราเองแล้ว" เลย เป็นแค่วิธีโต้แย้งของพวกขี้แพ้เท่านั้น แรนเดลก็ตอบว่า ก็อาจจะจริง แต่ระหว่างที่ดร.แว่นผ่าตัดให้เขานั้น ตัวเขาสัมผัสได้แม้จะเพียงเล็กน้อยว่าในตัวของดร.แว่นก็มี
"ความยุติธรรม" อยู่ เห็นได้ชัดจากการปฏิบัติต่อตัวแรนเดลอย่างซื่อตรงเหมือนคนไข้คนหนึ่งไม่ใช่แค่
"มอลทา (หนูทดลอง)" ทั้งๆ ที่จะฉวยโอกาสในตอนนี้ฆ่าเขาเสียแล้วเอาศพไปทำการทดลองตามที่ตนต้องการก็ยังได้ ทั้งการยอมใช้ยาที่มีอยู่ทั้งหมดในการผ่าตัดรักษาแรนเดล ทั้งการใส่ใจต่อสต็อกยาฉุกเฉินสำหรับคนไข้อย่างถึงที่สุด นั่นเองคือสิ่งที่ทำให้ตัวแรนเดลคิดว่ากระทั่งคนอย่างดร.แว่นก็มีความยุติธรรมความเที่ยงธรรมอยู่เช่นกัน
- ไม่ได้พูดยอเปล่าๆ แรนเดลยังหันมายิ้มให้อย่างรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณจริงๆ ไม่ได้มองและพูดด้วยอาการประชดประชันเหมือนทุกครั้งอีกด้วย (ใครตามเรื่องนี้มาตลอดจะรู้ว่าก่อนหน้านี้เวลาแรนเดลอยู่กับดร.แว่นทีไร เป็นต้องมีคำพูดจิกกัดกับขอบคุณแบบประชดประชันทุกครั้ง ไม่เหมือนครั้งนี้ที่แรนเดลพูดด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง)
- สีหน้าของแรนเดลทำเอาดร.แว่นถึงกับอึ้งไปอย่างตกใจจริงๆ แรนเดลก็ก้มหน้าลงเขินๆ แล้วบ่นออกมาว่าพูดไปแบบนี้มีหวังโดนดร.แว่นหัวเราะเยาะเอาแหงๆ ข้อหาเป็นแค่หนูทดลองในกรงแต่ดันมาพูดขอบคุณมนุษย์ (ซึ่งเจ้าตัวก็เคยโดนกับตัวมาแล้วในเล่ม 12)
เพิ่มเติม ฉากที่แรนเดลออกปากขอบคุณแบบประชดกับดร.แว่นในเล่ม 12 แล้วโดนดร.แว่นหัวเราะเยาะใส่ครับ (ฉบับภาษาไทยที่ลงในนิตยสาร Trio น่าจะเลยตรงนี้ไปแล้วแฮะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เป็นฉากที่แรนเดลไปตรวจร่างกายในเล่ม 12 แล้วพูดจาเป็นทำนองกึ่งขอบคุณกึ่งประชดว่า "ชั้นเป็นคนเสนอขายตัวเองให้กับนักค้ามนุษย์ และนักค้ามนุษย์ก็เป็นคนขายชั้นให้กับเธอ ให้กับสถาบันเคาป์แลนเอง ดังนั้น จะเอาชั้นไปปู้ยี่ปู้ยำยังไงมันก็เรื่องของพวกเธอ ชั้นไม่คิดจะบ่นหรือเรียกร้องอะไรทั้งนั้น ชั้นไม่รู้ว่าพวกเธอกับกองทัพวางแผนทำอะไรกันอยู่ แต่ถ้ามันทำให้ชั้นได้อยู่ในหน่วยพัมพ์คิน ซิสเซอร์ต่อไปได้ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อ 'การทดลอง' แล้วละก็ แค่นั้นชั้นก็ขอบคุณอย่างมากแล้ว"
ดร.แว่นพอได้ยินดังนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะเสียยกใหญ่ แล้วหันไปกระซิบกับผู้ช่วยตัวเองหลังจากแรนเดลกลับไปแล้วว่า
"รู้อะไรมั้ย? เมื่อกี้หนูมันมาขอบคุณชั้นล่ะ"
เห็นภาพนี้ทีแรกผมหลอนโคตรเลยครับ เป็นภาพที่แทนมุมมองของดร.แว่นที่มีต่อแรนเดลในเวลานั้นได้ชัดเจนจริงๆ ว่าเห็นแรนเดลเป็นแค่ "มอลทา (หนูทดลอง)" เท่านั้น
- ดร.แว่นก็พูดแบบปากสั่นๆ เหมือนคุมอารมณ์จวนจะไม่อยู่ว่างั้นก็หยุดพูดซะสิ เดี๋ยวก็โดนหัวเราะเยาะอีกหรอก แต่แรนเดลก็ยืนยันจะพูดให้ได้ แม้จะรู้ว่าพูดไปก็มีแต่โดนหัวเราะเยาะก็ตาม
- แรนเดล (พูดด้วยรอยยิ้มอย่างซาบซึ้งในบุญคุณจากใจจริง)
"เพราะคุณตำหนิผมด่าผมว่าไอ้ขี้โกงในวันนั้น ผมถึงเป็นผมในวันนี้ได้ ขอบคุณมากนะ...คุณหมอมิวเซ่ (ชื่อจริงของดร.แว่น)"
*หมายเหตุ - จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกจุดอยู่ตรงนี้ครับ ก่อนหน้านี้เวลาแรนเดลพูดกับดร.แว่น ถ้าไม่เป็นเรื่องพูดคุยแบบเป็นทางการก็จะพูดจาแบบห้วนๆ ตลอด ไม่ถึงกับด่ากระโชกโฮกฮากแต่ก็ฟังออกว่าไม่ได้มีความเคารพหรือรู้คุณอีกฝ่ายอยู่ในน้ำเสียงเลย เช่น เวลาเรียกสรรพนามแทนตัวอีกฝ่าย แรนเดลจะเรียกดร.แว่นว่า "Omae" (เธอ, แก) นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่แรนเดลพูดกับดร.แว่นดีๆ ไม่มีการพูดห้วนๆ แบบมะนาวไม่มีน้ำ ขนาดสรรพนามแทนตัวยังเปลี่ยนไปใช้ "Anta" (คุณ) เลย
- เจอคำขอบคุณจากใจจริงเข้าไป ดร.แว่นก็เบิกตากว้างเพราะไม่ได้เตรียมใจจะมารับฟังคำขอบคุณเช่นนี้เลย ทีแรกหล่อนขยับปากทำท่าจะระเบิดหัวเราะเยาะเย้ยอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำมาก่อน แต่กลับพบว่าลำคอตัวเองแห้งผากจนไม่อาจเปล่งเสียงหัวเราะใดๆ ออกมาได้
- ที่สุดแล้ว ดร.แว่นก็ได้แต่ก้มหน้าลงซ่อนสีหน้าตัวเอง แล้วลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะเดินหนีออกจากห้องไปเงียบๆ ท่ามกลางสีหน้าประหลาดใจของแรนเดล
- หลังดร.แว่นออกจากห้องไป แรนเดลก็เริ่มสำรวจร่างกายของตัวเอง พบว่ามีอาการปวดแปลบไปทั่วทั้งตัวจนแทบยืนไม่ติด ซึ่งคาดว่าเป็นผลพวงจากการผ่าตัด
- แรนเดลยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมอง นึกภาพ
"สภาพที่แท้จริงของมือตัวเอง" ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ถุงมือ สลับกับภาพของอลิซในหัวแล้วแล้วพึมพำออกมาว่า
"คงสัมผัสเธอด้วยมือนี้ไม่ได้อีกแล้วสินะ"
"สภาพที่แท้จริง" ของมือของแรนเดล...เห็นเป็นภาพขาวดำแถมเป็นการ์ตูนเลยดูเหมือนไม่แรงเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นภาพสีบนเนื้อคนจริงๆ นี่ไม่อยากคิดเลยแฮะ =A=
- ตัดกลับไปทางฝั่งดร.แว่นที่เดินออกไป เจ้าตัวเดินไปปลุกผู้ช่วยที่นอนพักอยู่เพราะอยู่โยงช่วยงานทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอนและถามว่าขับรถเป็นไหม ตัวเองมีเรื่องอยากขอให้ช่วยนิดหน่อย
- และภาพที่ความสามารถ Encrypt ของผู้ช่วยสาวได้เห็นยามเมื่อมองใบหน้าของดร.แว่นก็คือ...ใบหน้าของดร.แว่นในสมัยก่อนกำลังเบ้หน้ามองมาด้วยสายตาราวกับกำลังร้องไห้เท่านั้น
*หมายเหตุ - ถ้าใครยังจำได้ คุณผู้ช่วยคนนี้มีความสามารถ Scriptor อยู่ครับ คือแค่สัมผัสตัวอย่างทดลองก็สามารถรับรู้ถึงตัวตนอันเป็นแก่นแท้ของสิ่งที่สัมผัสได้ในระดับสัญชาตญาณแล้ว (คล้ายๆ ไซโคเมทรี่นั่นแหละครับ แต่ถ้าเทียบให้ใกล้เคียงก็น่าจะใกล้เคียงกับวิล เกรแฮม ในเรื่อง Red Dragon ที่รับรู้ถึงลักษณะของฆาตกรได้เพียงแค่อยู่ในที่เกิดเหตุที่ฆาตกรลงมือมากกว่า)
ในเรื่องยังบอกว่าคนที่มีความสามารถ Scriptor แบบนี้อยู่อีก 2 คนครับ คนหนึ่งก็คือลิลลี่ สเต็คคิน สิบเอกนักดนตรีแห่งหน่วยพัมพ์คิน ซิสเซอร์ส (สัมผัสได้ผ่านเสียง) กับรองหัวหน้าหน่วยข่าวกรองลูกน้องของพันตรีเครูบิม (สัมผัสได้ผ่านภาพ...ถ้าจำไม่ผิดนะ) ซึ่งแผนโต้กลับการก่อการร้ายของพวกผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ก็อาศัยความสามารถของทั้งสองคนนี้ช่วยด้วยเหมือนกัน
[Spoil] ตะไกรไชฟักทอง (Pumpkin Scissors) #Interval - นิยามของ "ความยุติธรรม"
งวดนี้หายไป 2 เดือนเพราะของเดือนที่แล้วเป็นแค่บท Interval (บทคั่นฉาก) สั้นๆ แค่ไม่กี่หน้าเท่านั้น แถมไม่มีอะไรสำคัญเท่าไหร่ เลยเกิดอารมณ์ขี้เกียจขึ้นมาดื้อๆ มีตอนนี้แหละที่ถึงจะเป็นบท Interval เหมือนเดิม แต่ก็มีเนื้อมีหนังอะไรให้เขียนได้ เลยได้กลับมาโพสอีกครั้ง
แจ้งเกี่ยวกับตอนนี้เล็กน้อย ปกติผมจะสปอลย์แค่พอให้เห็นภาพของเรื่องเท่านั้น แต่เห็นตอนนี้มีเนื้อหาน่าสนใจจากทั้งฝั่งคู่พระคู่นางออกมาให้เห็นกัน แถมยังมีบทพูดคมๆ บาดหัวจากปากทั้งคู่พระคู่นางอีก เลยเกิดอารมณ์อยากเล่าเรื่องแบบละเอียดๆ ให้ฟังขึ้นมาครับ
ว่าแล้วก็ลงไปชมกันได้เลยครับ
- เปิดตอนมาต่อจากตอนที่แล้ว (ตอน 90) ที่แรนเดลกำลังแต่งชุดเตรียมออกรบอยู่ที่ศูนย์วิจัยของเคาป์แลน (ดร.แว่น) ทั้งๆ ที่เพิ่งจะออกจากห้องผ่าตัดมาได้ไม่ทันถึงชั่วโมงดี
- ภาพแรนเดลกำลังแต่งชุดทหารเตรียมอาวุธปืนตรงหน้าทำให้ดร.แว่นอดถามแรนเดลเป็นเชิงค่อนขอดไม่ได้ว่าอยากฆ่าคนมากขนาดนั้นเลยเรอะ
- แรนเดลไม่แสดงอาการไม่พอใจกับคำค่อนขอดของดร.แว่น กลับหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วบอกกับดร.แว่นว่า "ขอบคุณมากที่ทำให้ชั้นเป็นตัวชั้นในวันนี้"
- ดร.แว่นได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป แรนเดลก็บอกต่อว่า ดร.แว่นจะเป็นคนดีหรือคนเลวเขาไม่รู้ รู้แน่ๆ อย่างเดียวว่าดร.แว่นนั้นเป็นคนโหดร้าย แต่การเป็นคนโหดร้ายก็ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นจะเป็นคนเลวเสมอไป เพราะตัวเขาเองก็มีเพื่อนที่เป็นทั้ง "คนดี" และ "คนโหดร้าย" ในคนเดียวกันอยู่เหมือนกัน (ตรงนี้แรนเดลหมายถึงอาเบล เพื่อนรักของตัวเองสมัยเด็กที่ปัจจุบันเป็นมือขวาเจ้าพ่อมาเฟียในเขต 0 อยู่) แต่กระทั่งคนโหดร้ายอย่างดร.แว่นก็ยังกล้าพูดคำว่าความยุติธรรมออกจากปากได้ กล้าพูดว่า 'การฆ่าคนคือความชั่วร้าย' กล้าพูดว่า 'การเบือนหน้าหนีจากความชั่วร้ายนั้น นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าขี้โกง' ซึ่งหลักการของสิ่งที่ความยุติธรรมนั้นไม่ใช่ของที่จะเอามาพูดได้พล่อยๆ แบบนั้น
- แรนเดล "เพราะงั้นชั้นเลยคิดขึ้นมา ว่าจริงๆ แล้วโลกใบนี้น่ะก็มีสิ่งที่เรียกว่า 'ความยุติธรรม' อยู่เหมือนกัน ชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดที่กระทั่งคนโหดร้ายอย่างเธอยังเบือนหน้าหนีไม่ได้เสียด้วยสิ"
- แรนเดลบอกต่อว่า หากจะตั้งคำถามต่อสิ่งใดๆ ก็ตามว่าเป็น "ความยุติธรรมหรือไม่" แล้วละก็ ทุกคนก็ล้วนแต่มีไม้บรรทัดอยู่ในใจสำหรับวัดอยู่แล้วว่าสิ่งนั้นๆ คือความยุติธรรมหรือไม่ เพราะงั้นไอ้คำว่า "ไม่มีความยุติธรรมอยู่ในโลกนี้" น่ะไม่ใช่ความจริงหรอก ความยุติธรรมนั้นมีอยู่ในใจของทุกคนอยู่แล้ว มีเยอะเสียขนาดที่เดินไปไหนต่อไหนก็ยังมีโอกาสกระทบไหล่คนที่มีความยุติธรรมแบบเดียวกันได้เสมอ แม้บางครั้งจะต้องชนกับพวกเดียวกันจนยากจะประสานรอยร้าว แต่หากสัมผัสได้ว่าไม่ว่าใครก็ล้วนแต่มีสิ่งเหล่านั้นฝังอยู่ในกายละก็ ก็จะลุกขึ้นสู้ด้วยความคิดว่า " 'พื้นฐาน' ของสิ่งที่เรียกว่า 'ความยุติธรรม' คือความเชื่อมั่นว่า 'โลกนี้ยังมีความเที่ยงธรรมหลงเหลืออยู่'" ได้แน่ๆ
- ฟังแรนเดลพูดจบ ดร.แว่นก็ตอบกลับว่า ที่แรนเดลพูดมานั่นมันเลื่อนลอยไม่ต่างอะไรกับการโต้แย้งเวลามีใครมาพูดว่า "พระเจ้าไม่มีจริง" ว่า "ขอเพียงเอ่ยนามและใช้นามของพระผู้เป็นเจ้า ก็เท่ากับว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในตัวเราเองแล้ว" เลย เป็นแค่วิธีโต้แย้งของพวกขี้แพ้เท่านั้น แรนเดลก็ตอบว่า ก็อาจจะจริง แต่ระหว่างที่ดร.แว่นผ่าตัดให้เขานั้น ตัวเขาสัมผัสได้แม้จะเพียงเล็กน้อยว่าในตัวของดร.แว่นก็มี "ความยุติธรรม" อยู่ เห็นได้ชัดจากการปฏิบัติต่อตัวแรนเดลอย่างซื่อตรงเหมือนคนไข้คนหนึ่งไม่ใช่แค่ "มอลทา (หนูทดลอง)" ทั้งๆ ที่จะฉวยโอกาสในตอนนี้ฆ่าเขาเสียแล้วเอาศพไปทำการทดลองตามที่ตนต้องการก็ยังได้ ทั้งการยอมใช้ยาที่มีอยู่ทั้งหมดในการผ่าตัดรักษาแรนเดล ทั้งการใส่ใจต่อสต็อกยาฉุกเฉินสำหรับคนไข้อย่างถึงที่สุด นั่นเองคือสิ่งที่ทำให้ตัวแรนเดลคิดว่ากระทั่งคนอย่างดร.แว่นก็มีความยุติธรรมความเที่ยงธรรมอยู่เช่นกัน
- ไม่ได้พูดยอเปล่าๆ แรนเดลยังหันมายิ้มให้อย่างรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณจริงๆ ไม่ได้มองและพูดด้วยอาการประชดประชันเหมือนทุกครั้งอีกด้วย (ใครตามเรื่องนี้มาตลอดจะรู้ว่าก่อนหน้านี้เวลาแรนเดลอยู่กับดร.แว่นทีไร เป็นต้องมีคำพูดจิกกัดกับขอบคุณแบบประชดประชันทุกครั้ง ไม่เหมือนครั้งนี้ที่แรนเดลพูดด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง)
- สีหน้าของแรนเดลทำเอาดร.แว่นถึงกับอึ้งไปอย่างตกใจจริงๆ แรนเดลก็ก้มหน้าลงเขินๆ แล้วบ่นออกมาว่าพูดไปแบบนี้มีหวังโดนดร.แว่นหัวเราะเยาะเอาแหงๆ ข้อหาเป็นแค่หนูทดลองในกรงแต่ดันมาพูดขอบคุณมนุษย์ (ซึ่งเจ้าตัวก็เคยโดนกับตัวมาแล้วในเล่ม 12)
เพิ่มเติม ฉากที่แรนเดลออกปากขอบคุณแบบประชดกับดร.แว่นในเล่ม 12 แล้วโดนดร.แว่นหัวเราะเยาะใส่ครับ (ฉบับภาษาไทยที่ลงในนิตยสาร Trio น่าจะเลยตรงนี้ไปแล้วแฮะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- ดร.แว่นก็พูดแบบปากสั่นๆ เหมือนคุมอารมณ์จวนจะไม่อยู่ว่างั้นก็หยุดพูดซะสิ เดี๋ยวก็โดนหัวเราะเยาะอีกหรอก แต่แรนเดลก็ยืนยันจะพูดให้ได้ แม้จะรู้ว่าพูดไปก็มีแต่โดนหัวเราะเยาะก็ตาม
- แรนเดล (พูดด้วยรอยยิ้มอย่างซาบซึ้งในบุญคุณจากใจจริง) "เพราะคุณตำหนิผมด่าผมว่าไอ้ขี้โกงในวันนั้น ผมถึงเป็นผมในวันนี้ได้ ขอบคุณมากนะ...คุณหมอมิวเซ่ (ชื่อจริงของดร.แว่น)"
*หมายเหตุ - จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกจุดอยู่ตรงนี้ครับ ก่อนหน้านี้เวลาแรนเดลพูดกับดร.แว่น ถ้าไม่เป็นเรื่องพูดคุยแบบเป็นทางการก็จะพูดจาแบบห้วนๆ ตลอด ไม่ถึงกับด่ากระโชกโฮกฮากแต่ก็ฟังออกว่าไม่ได้มีความเคารพหรือรู้คุณอีกฝ่ายอยู่ในน้ำเสียงเลย เช่น เวลาเรียกสรรพนามแทนตัวอีกฝ่าย แรนเดลจะเรียกดร.แว่นว่า "Omae" (เธอ, แก) นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่แรนเดลพูดกับดร.แว่นดีๆ ไม่มีการพูดห้วนๆ แบบมะนาวไม่มีน้ำ ขนาดสรรพนามแทนตัวยังเปลี่ยนไปใช้ "Anta" (คุณ) เลย
- เจอคำขอบคุณจากใจจริงเข้าไป ดร.แว่นก็เบิกตากว้างเพราะไม่ได้เตรียมใจจะมารับฟังคำขอบคุณเช่นนี้เลย ทีแรกหล่อนขยับปากทำท่าจะระเบิดหัวเราะเยาะเย้ยอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำมาก่อน แต่กลับพบว่าลำคอตัวเองแห้งผากจนไม่อาจเปล่งเสียงหัวเราะใดๆ ออกมาได้
- ที่สุดแล้ว ดร.แว่นก็ได้แต่ก้มหน้าลงซ่อนสีหน้าตัวเอง แล้วลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะเดินหนีออกจากห้องไปเงียบๆ ท่ามกลางสีหน้าประหลาดใจของแรนเดล
- หลังดร.แว่นออกจากห้องไป แรนเดลก็เริ่มสำรวจร่างกายของตัวเอง พบว่ามีอาการปวดแปลบไปทั่วทั้งตัวจนแทบยืนไม่ติด ซึ่งคาดว่าเป็นผลพวงจากการผ่าตัด
- แรนเดลยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมอง นึกภาพ "สภาพที่แท้จริงของมือตัวเอง" ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ถุงมือ สลับกับภาพของอลิซในหัวแล้วแล้วพึมพำออกมาว่า "คงสัมผัสเธอด้วยมือนี้ไม่ได้อีกแล้วสินะ"
"สภาพที่แท้จริง" ของมือของแรนเดล...เห็นเป็นภาพขาวดำแถมเป็นการ์ตูนเลยดูเหมือนไม่แรงเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นภาพสีบนเนื้อคนจริงๆ นี่ไม่อยากคิดเลยแฮะ =A=
- ตัดกลับไปทางฝั่งดร.แว่นที่เดินออกไป เจ้าตัวเดินไปปลุกผู้ช่วยที่นอนพักอยู่เพราะอยู่โยงช่วยงานทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอนและถามว่าขับรถเป็นไหม ตัวเองมีเรื่องอยากขอให้ช่วยนิดหน่อย
- และภาพที่ความสามารถ Encrypt ของผู้ช่วยสาวได้เห็นยามเมื่อมองใบหน้าของดร.แว่นก็คือ...ใบหน้าของดร.แว่นในสมัยก่อนกำลังเบ้หน้ามองมาด้วยสายตาราวกับกำลังร้องไห้เท่านั้น
*หมายเหตุ - ถ้าใครยังจำได้ คุณผู้ช่วยคนนี้มีความสามารถ Scriptor อยู่ครับ คือแค่สัมผัสตัวอย่างทดลองก็สามารถรับรู้ถึงตัวตนอันเป็นแก่นแท้ของสิ่งที่สัมผัสได้ในระดับสัญชาตญาณแล้ว (คล้ายๆ ไซโคเมทรี่นั่นแหละครับ แต่ถ้าเทียบให้ใกล้เคียงก็น่าจะใกล้เคียงกับวิล เกรแฮม ในเรื่อง Red Dragon ที่รับรู้ถึงลักษณะของฆาตกรได้เพียงแค่อยู่ในที่เกิดเหตุที่ฆาตกรลงมือมากกว่า)
ในเรื่องยังบอกว่าคนที่มีความสามารถ Scriptor แบบนี้อยู่อีก 2 คนครับ คนหนึ่งก็คือลิลลี่ สเต็คคิน สิบเอกนักดนตรีแห่งหน่วยพัมพ์คิน ซิสเซอร์ส (สัมผัสได้ผ่านเสียง) กับรองหัวหน้าหน่วยข่าวกรองลูกน้องของพันตรีเครูบิม (สัมผัสได้ผ่านภาพ...ถ้าจำไม่ผิดนะ) ซึ่งแผนโต้กลับการก่อการร้ายของพวกผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ก็อาศัยความสามารถของทั้งสองคนนี้ช่วยด้วยเหมือนกัน