กลับมาพบกันสรุปเรื่องย่อ (แบบ Spoil แหลก) ของเรื่องนี้กันอีกรอบนะครับ
งวดห่างหายกันไป 2 เดือนกว่าเลย เพราะเนื้อหาตอนใหม่ยาวมากจนทางนิตยสารต้องตัดแบ่งเป็น 3 ช่วงเพื่อจะได้มีหน้ากระดาษลงพอไม่ไปเบียดเรื่องอื่น แต่เนื้อหาของเรื่องช่วงนี้นั้นมันส์มากจนผมคิดว่าถ้าให้อ่านแบบขาดๆ เกินๆ จะเสียอารมณ์กันเปล่าๆ เลยเก็บเอามาเขียนรวดเดียวหลังเนื้อเรื่องช่วงนี้หมดเลยดีกว่า ซึ่งจะเป็นอะไรนั้น ลงไปติดตามชมกันได้เลยครับ (ใบ้ให้นิดว่างานนี้ใครเกลียดไอ้ผู้ก่อการร้ายในเรื่องนี้กับรถหุ้มเกราะของมันรับรองได้เฮแน่
)
อนึ่ง อ่านไปพลางเปิดเพลงนี้เป็น BGM ไปพลางแล้วโคตรจะได้อารมณ์เลยครับ
- เปิดตอนมาที่ฉากแรนเดลโหมดทหารผีติดเครื่องพ่นไฟยืนประจัญหน้ากับรถหุ้มเกราะคันหนึ่งของผู้ก่อการร้ายอยู่
- ไอ้พวกผู้ก่อการร้ายในรถเห็นแรนเดลถืออาวุธประหลาดไม่เคยเห็นหน้าตามาก็ทำท่างงว่ามันใช้อาวุธอะไร
- พอเห็นว่าอาวุธของแรนเดลเป็นอาวุธยิงไฟได้ก็หัวเราะก๊ากกันใหญ่ทำนองว่าอาวุธไฟกระจอกๆ พรรค์นั้นอย่างเก่งก็ยิงไฟให้ลุกพรึ่บได้แค่สองสามวิ จะทำอะไรรถหุ้มเกราะได้
- ถึงตรงนี้ เรื่องก็ย้อนไปช่วงหลังจากแรนเดลผ่าตัดเสร็จเดินออกมาจากห้อง
- แรนเดลได้ยินคนไข้ตรงอีอาร์ของโรงพยาบาล (ที่บาดเจ็บจากการก่อการร้าย) คุยกันจนพอรู้สถานการณ์ในเมืองคร่าวๆ เลยไปขอดร.แว่นให้ช่วยพาไปเอาอาวุธที่สถาบันเคาป์แลนหน่อย ดร.แว่นก็บอกว่าไปไม่ได้ เพราะพวกที่ฝ่ายพัฒนาอาวุธทางทหารไม่มีทางยอมให้อาวุธที่เก็บไว้ที่นั่นแน่ ถ้าจะมีอะไรที่เอามาใช้ได้ ก็มีแต่เครื่องพ่นไฟของหน่วย 908 ที่อยู่ที่ฝ่ายวิจัยทางการแพทย์ (ได้มาพร้อมกับศพของฮันส์ในเล่ม 2 - 3) เท่านั้นแหละ
เครื่องพ่นไฟของหน่วย 908 HTT อัลท์ชมิต เยเกอร์ อาวุธใหม่ของแรนเดลในตอนนี้
- พูดถึงตรงนี้ ดร.แว่นก็แกล้งแขวะแรนเดลทำนองว่าฆ่าเขาตายไม่พอยังจะปล้นอาวุธเขามาใช้อีกเหรอ แรนเดลก็นิ่งไปพักหนึ่งก็ตอบกลับว่าใช่ ดร.แว่นเลยอึ้งไปประมาณคาดไม่ถึง แล้วก็แขวะต่อว่านี่ตอนนี้เราอยู่ในภาวะสงครามอยู่นะ จะให้ชั้นใช้ให้ลูกน้องที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร (น้องผู้ช่วยผมยาวๆ ตาตี่ๆ คนนั้นแหละ) ขับรถไปในเมืองที่เต็มไปด้วยอันตรายพานายไปสถาบันงั้นเหรอ (ทำนองแขวะแรนเดลว่าจะยอมให้คนอื่นตกอยู่ในอันตรายเพื่อตัวเองงั้นเหรอ เพราะดร.แว่นรู้นิสัยแรนเดลดีว่าเป็นคนใจอ่อน) แรนเดลก็ตอบหน้านิ่งเหมือนเดิมว่าใช่ ขอโทษนะ
ดร.แว่นออกอาการนอยด์ (ซึน?) กับสีหน้าเรียบเฉยทั้งๆ ที่พูดเรื่องโหดร้ายของแรนเดล
- ดร.แว่นเลยยิ่งนอยด์เข้าไปใหญ่ ลงเอยเลยตัดบทถามว่าที่จะขอร้องมีแค่นั้นใช่มั้ย แรนเดลก็ตอบว่าไม่ใช่ นั่นน่ะแค่นึกขึ้นมาได้เมื่อกี้ ที่จะขอร้องจริงๆ น่ะคือขอให้ช่วยรักษาให้ต่างหาก ดร.แว่นก็ย้อนว่าแผลบนตัวนายชั้นรักษาให้หมดแล้วนะ ถ้าจะขอให้รักษาคนเจ็บในโรงบาลนี้ละก็ไม่ต้องเลย แรนเดลก็บอกว่าเปล่า ไม่ได้จะขอให้รักษาใครอื่น แต่จะขอให้รักษาตัวเขาเองนี่แหละ
- แรนเดล
"รถหุ้มเกราะของผู้ก่อการร้ายมี 8 คัน เพราะงั้นก็เท่ากับว่าต้องบาดเจ็บ 8 ครั้งใช่มั้ยล่ะ ชั้นจะไล่บี้มันไปทีละคันๆ เอง"
ลูกกะตาของแรนเดลขณะพูดประโยคข้างบนนั่น (หลอนสาดๆ
)
- ดร.แว่นเจอแรนเดลพูดแบบนี้เลยยิ่งนอยด์เข้าไปใหญ่ แต่ก็อธิบายเป็นคำพูดชัดๆ ไม่ได้ว่านอยด์เรื่องอะไร
- ตัดฉากกลับมาช่วงปัจจุบัน ไอ้พวกผู้ก่อการร้ายในรถไม่รู้ว่าเงาหัวตัวเองหายไปแล้ว หันไปคุยกันว่าถ้าแรนเดลคิดจะเดินอาดๆ เอาไฟมาเผาเราแบบชิลๆ จริงละก็ จะเหยียบให้แบนเลย
- แต่ยังไม่ทันที่พวกนั้นจะทำอะไร แรนเดลก็ยิงไฟใส่รถหุ้มเกราะ ไอ้ผู้ก่อการร้ายที่เป็นผบ.ประจำรถก็ตกใจ รีบบอกพลขับให้เลี้ยวหลบเปลวไฟจากเครื่องพ่นไฟไปได้ฉิวเฉียด
- ผู้บัญชาการประจำรถ (คนสั่งการรถถัง) ตกใจว่าทำไมเครื่องพ่นไฟถึงพ่นไฟได้ไกลขนาดนั้น (ดูจากในรูปน่าจะประมาณ 10 กว่าเมตรได้) แต่ก็ไม่ได้ตกใจมาก เพราะถึงจะยิงได้ไกลกว่าที่คิดไว้ แต่ความเร็วของไฟที่พ่นออกมานั้นถือว่าช้ากว่ากระสุนปืนจริงๆ มาก ต่อให้ยิงใส่ซึ่งๆ หน้าก็หักหลบได้สบาย
- ไอ้พวกพลประจำรถคนอื่น (พลสังเกตการณ์, พลขับ, พลปืน) เลยหัวเราะกันเอิ๊กอ๊ากว่างานนี้เราจะแกล้งยั่วให้ไอ้ยักษ์นั่นยิง แล้วดริฟต์หลบไฟของไอ้ยักษ์นั่นแบบนิ่มๆ เทพๆ เหมือนสิงโตโดดลอดบ่วงไฟ แล้วหาจังหวะซิ่งทับมันให้เละไปเลย
ฉากพวกผู้ก่อการร้ายดริฟต์รถหลบไฟจากเครื่องพ่นไฟของแรนเดล
- แต่ผู้บัญชาการประจำรถที่เยือกเย็นกว่าคนอื่นไม่ได้หัวเราะไปด้วย กลับนึกไปถึงรายงานจากฐานใหญ่ผู้ก่อการร้ายว่ามีรถหุ้มเกราะคันหนึ่งเสียหายเพราะไปสู้กับ
"ผู้ชายร่างยักษ์" คนหนึ่งมา (ที่แรนเดลไปเดี่ยวด้วยตอนแรกแล้วโดนตีร่วงกลับมาเมื่อหลายเล่มก่อน)
- ผู้บัญชาการประจำรถวิเคราะห์จากข้อมูลจนได้ข้อสรุปว่า ชายร่างใหญ่ที่สู้กับรถหุ้มเกราะของพวกตัวเองแล้วรอดมาได้คนนั้นก็คือแรนเดลที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่เอง และนึกแปลกใจว่าทั้งที่เคยสู้กันมาก่อนจนน่าจะรู้แล้วว่ารถหุ้มเกราะฝ่ายตนคล่องตัวขนาดไหน แล้วทำไมถึงเลือกอาวุธที่เชื่องช้าแถมยังสะดุดตาอย่างเครื่องพ่นไฟมาสู้กับพวกตัวเอง
- ระหว่างที่ผบ.ประจำรถวิเคราะห์สถานการณ์อยู่ ไอ้พลขับ (ที่อัพยากระตุ้นประสาทเข้าไปเต็มที่) ก็ซิ่งรถดริฟต์ซ้ายป่ายขวา หลบไฟจากเครื่องพ่นไฟของแรนเดลไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างเทพ ไฟของแรนเดลไม่สะกิดโดนรถเลยแม้แต่น้อย
- ดริฟต์หลบได้พักนึง ไอ้พลขับก็เริ่มจับจังหวะยิงของแรนเดลได้ คราวนี้เลยดริฟต์ออกข้างหลบไฟของแรนเดลออกไปด้านข้างที่เปิดโล่งได้แบบนิ่มๆ
- แต่ผบ.ประจำรถสังเกตเห็นว่าระเบิดมือที่แรนเดลห้อยติดเอวไว้หายไปหมด จึงรีบออกคำสั่งให้หักหลบไปยังทิศทางตรงข้ามโดยซิ่งฝ่ากำแพงไฟที่แรนเดลยิงมาขวางไว้ไปเลย อย่าไปตรงทางโล่งๆ เมื่อกี้
- พลขับก็งง แต่ก็รีบหักหลบตามคำสั่งผบ.ประจำรถ เลยรอดจากระเบิดมือที่แรนเดลขว้างไปดักไว้ได้แบบฉิวเฉียด (โดนเข้าที่ท้ายรถนิดหน่อยจนกล้องหลังเสียหาย พลสังเกตการณ์ที่ด้านหลังบาดเจ็บ)
ระเบิดมือที่แรนเดลขว้างดักทางรถหุ้มเกราะหลังดริฟต์หลบไฟได้
- ผบ.ประจำรถบอกว่าเครื่องพ่นไฟเป็นแค่ตัวล่อให้เราแกล้งหลบไปหลบมา ของจริงคือระเบิดมือที่มันกะขว้างมาดักเล่นงาน (ทำลายล้อรถ) เราเมื่อกี้ต่างหาก
- รอดจากระเบิดมือของแรนเดลมาได้ พวกผู้ก่อการร้ายก็กระหยิ่มว่างานนี้ไม่มีทางติดกับดักซ้ำสองอีกแล้ว
- เพิ่งจะกระหยิ่มได้ไม่เท่าไหร่ อยู่ๆ รถหุ้มเกราะของพวกผู้ก่อการร้ายก็เกิดเสียหลักควบคุมไม่ได้ไถลออกนอกเส้นทางวิ่งดื้อๆ
- ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะไฟจากเครื่องพ่นไฟที่แรนเดลยิงสาดไปทั่วเมื่อครู่ไปติดที่ยางรถเข้า (เชื้อเพลิงของเครื่องพ่นไฟที่แรนเดลใช้เป็นเชื้อเพลิงซึ่งมีความหนืดสูงกว่าปกติ (เดาว่าน่าจะคล้ายๆ นาปาล์ม แต่ในเรื่องไม่มีคำเรียกชัดเจน) ไม่เหมือนน้ำมันที่เป็นน้ำ จึงสามารถแปะติดกับสิ่งต่างๆ ได้ง่าย และเมื่อติดไฟขณะแปะกับสิ่งใด ไฟก็จะติดแน่นไปกับสิ่งนั้นชนิดเอาแทบไม่ออก แถมยังดับด้วยน้ำไม่ได้อีก) ยางรถทนความร้อนของไฟที่ทั้งร้อนทั้งดับยากไม่ได้ก็เลยระเบิด ทำให้รถเสียหลักพุ่งไปชนกำแพงด้านข้างโครมใหญ่ก่อนจะจอดสนิท
- ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นแผนทำลายการเคลื่อนไหวที่ว่องไวของรถหุ้นเกราะของแรนเดล โดยแกล้งยิงเครื่องพ่นไฟใส่ ล่อให้รถหุ้มเกราะหักหลบไปทั่วจนย่ามใจว่าแรนเดลยิงไม่มีทางโดน จากนั้นใช้ระเบิดมือขว้างดักรถถังที่หลบออกจากพื้นที่ที่ไม่มีไฟให้หนีกลับเข้าไปหาพื้นดินที่เต็มไปด้วยไฟอีกครั้ง จนนาปาล์มของเครื่องพ่นติดไปกับล้อ ล้อเลยโดนไฟเผาติดต่อกันเป็นเวลานานจนทนไม่ไหวระเบิดหมดทุกล้อ ทำให้รถเสียหลักพุ่งขนกำแพง
- หลังขยับไม่ได้ก็ได้เวลาเชือดนิ่มๆ แรนเดลจัดการยิงไฟใส่รถหุ้มเกราะที่ขยับไม่ได้จนลุกท่วมทั้งคัน (กดยิงแช่ด้วยนะ ไม่ได้ยิงแค่พอลุกๆ แถมตอนยิงยังเดินเทิ่งๆ เข้าหารถที่กำลังถูกเผาเรื่อยๆ แบบไม่กลัวความร้อนของไฟอีก)
- ทีนี้พวกผู้ก่อการร้ายในรถก็เริ่มตาเหลือก เพราะรู้ว่าขืนปล่อยไว้มีหวังโดนย่างสดคารถแน่ ผบ.รถเลยรีบสั่งให้พลปืนยิงปืนใหญ่อัดใส่แรนเดลทันที หวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าถึงยิงไม่โดนเพราะทัศนวิสัยไม่ดี (กล้องหน้าโดนไฟเผาจนแตกหมด แถมเปลวไฟกับความร้อนยังกวนสายตาจนเล็งไม่ได้อีก) แต่แรงระเบิดก็น่าจะขู่แรนเดลจนกลัวล่าถอยไปได้
- กระสุนระเบิดยิงไปโดนพื้นด้านหลังตัวแรนเดล แรงระเบิดทำเอาแรนเดลถึงกับตัวปลิวมาข้างหน้า
- แต่แทนที่จะหยุดยิงแล้วหนีไป แรนเดลกลับลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเครื่องพ่นไฟมาทำท่าจะยิงต่อ
- คราวนี้ผบ.รถที่เยือกเย็นมาตลอดเลยถึงกับสติแตกขึ้นมาทันทีว่าทำไม...ทำไมมันถึงไม่ถอย ทำไมมันถึงไม่กลัว
[Spoil] ตะไกรไชฟักทอง (Pumpkin Scissors) #97 - 99 : "Töten Sie"
งวดห่างหายกันไป 2 เดือนกว่าเลย เพราะเนื้อหาตอนใหม่ยาวมากจนทางนิตยสารต้องตัดแบ่งเป็น 3 ช่วงเพื่อจะได้มีหน้ากระดาษลงพอไม่ไปเบียดเรื่องอื่น แต่เนื้อหาของเรื่องช่วงนี้นั้นมันส์มากจนผมคิดว่าถ้าให้อ่านแบบขาดๆ เกินๆ จะเสียอารมณ์กันเปล่าๆ เลยเก็บเอามาเขียนรวดเดียวหลังเนื้อเรื่องช่วงนี้หมดเลยดีกว่า ซึ่งจะเป็นอะไรนั้น ลงไปติดตามชมกันได้เลยครับ (ใบ้ให้นิดว่างานนี้ใครเกลียดไอ้ผู้ก่อการร้ายในเรื่องนี้กับรถหุ้มเกราะของมันรับรองได้เฮแน่ )
อนึ่ง อ่านไปพลางเปิดเพลงนี้เป็น BGM ไปพลางแล้วโคตรจะได้อารมณ์เลยครับ
- เปิดตอนมาที่ฉากแรนเดลโหมดทหารผีติดเครื่องพ่นไฟยืนประจัญหน้ากับรถหุ้มเกราะคันหนึ่งของผู้ก่อการร้ายอยู่
- ไอ้พวกผู้ก่อการร้ายในรถเห็นแรนเดลถืออาวุธประหลาดไม่เคยเห็นหน้าตามาก็ทำท่างงว่ามันใช้อาวุธอะไร
- พอเห็นว่าอาวุธของแรนเดลเป็นอาวุธยิงไฟได้ก็หัวเราะก๊ากกันใหญ่ทำนองว่าอาวุธไฟกระจอกๆ พรรค์นั้นอย่างเก่งก็ยิงไฟให้ลุกพรึ่บได้แค่สองสามวิ จะทำอะไรรถหุ้มเกราะได้
- ถึงตรงนี้ เรื่องก็ย้อนไปช่วงหลังจากแรนเดลผ่าตัดเสร็จเดินออกมาจากห้อง
- แรนเดลได้ยินคนไข้ตรงอีอาร์ของโรงพยาบาล (ที่บาดเจ็บจากการก่อการร้าย) คุยกันจนพอรู้สถานการณ์ในเมืองคร่าวๆ เลยไปขอดร.แว่นให้ช่วยพาไปเอาอาวุธที่สถาบันเคาป์แลนหน่อย ดร.แว่นก็บอกว่าไปไม่ได้ เพราะพวกที่ฝ่ายพัฒนาอาวุธทางทหารไม่มีทางยอมให้อาวุธที่เก็บไว้ที่นั่นแน่ ถ้าจะมีอะไรที่เอามาใช้ได้ ก็มีแต่เครื่องพ่นไฟของหน่วย 908 ที่อยู่ที่ฝ่ายวิจัยทางการแพทย์ (ได้มาพร้อมกับศพของฮันส์ในเล่ม 2 - 3) เท่านั้นแหละ
เครื่องพ่นไฟของหน่วย 908 HTT อัลท์ชมิต เยเกอร์ อาวุธใหม่ของแรนเดลในตอนนี้
- พูดถึงตรงนี้ ดร.แว่นก็แกล้งแขวะแรนเดลทำนองว่าฆ่าเขาตายไม่พอยังจะปล้นอาวุธเขามาใช้อีกเหรอ แรนเดลก็นิ่งไปพักหนึ่งก็ตอบกลับว่าใช่ ดร.แว่นเลยอึ้งไปประมาณคาดไม่ถึง แล้วก็แขวะต่อว่านี่ตอนนี้เราอยู่ในภาวะสงครามอยู่นะ จะให้ชั้นใช้ให้ลูกน้องที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร (น้องผู้ช่วยผมยาวๆ ตาตี่ๆ คนนั้นแหละ) ขับรถไปในเมืองที่เต็มไปด้วยอันตรายพานายไปสถาบันงั้นเหรอ (ทำนองแขวะแรนเดลว่าจะยอมให้คนอื่นตกอยู่ในอันตรายเพื่อตัวเองงั้นเหรอ เพราะดร.แว่นรู้นิสัยแรนเดลดีว่าเป็นคนใจอ่อน) แรนเดลก็ตอบหน้านิ่งเหมือนเดิมว่าใช่ ขอโทษนะ
ดร.แว่นออกอาการนอยด์ (ซึน?) กับสีหน้าเรียบเฉยทั้งๆ ที่พูดเรื่องโหดร้ายของแรนเดล
- ดร.แว่นเลยยิ่งนอยด์เข้าไปใหญ่ ลงเอยเลยตัดบทถามว่าที่จะขอร้องมีแค่นั้นใช่มั้ย แรนเดลก็ตอบว่าไม่ใช่ นั่นน่ะแค่นึกขึ้นมาได้เมื่อกี้ ที่จะขอร้องจริงๆ น่ะคือขอให้ช่วยรักษาให้ต่างหาก ดร.แว่นก็ย้อนว่าแผลบนตัวนายชั้นรักษาให้หมดแล้วนะ ถ้าจะขอให้รักษาคนเจ็บในโรงบาลนี้ละก็ไม่ต้องเลย แรนเดลก็บอกว่าเปล่า ไม่ได้จะขอให้รักษาใครอื่น แต่จะขอให้รักษาตัวเขาเองนี่แหละ
- แรนเดล "รถหุ้มเกราะของผู้ก่อการร้ายมี 8 คัน เพราะงั้นก็เท่ากับว่าต้องบาดเจ็บ 8 ครั้งใช่มั้ยล่ะ ชั้นจะไล่บี้มันไปทีละคันๆ เอง"
ลูกกะตาของแรนเดลขณะพูดประโยคข้างบนนั่น (หลอนสาดๆ )
- ดร.แว่นเจอแรนเดลพูดแบบนี้เลยยิ่งนอยด์เข้าไปใหญ่ แต่ก็อธิบายเป็นคำพูดชัดๆ ไม่ได้ว่านอยด์เรื่องอะไร
- ตัดฉากกลับมาช่วงปัจจุบัน ไอ้พวกผู้ก่อการร้ายในรถไม่รู้ว่าเงาหัวตัวเองหายไปแล้ว หันไปคุยกันว่าถ้าแรนเดลคิดจะเดินอาดๆ เอาไฟมาเผาเราแบบชิลๆ จริงละก็ จะเหยียบให้แบนเลย
- แต่ยังไม่ทันที่พวกนั้นจะทำอะไร แรนเดลก็ยิงไฟใส่รถหุ้มเกราะ ไอ้ผู้ก่อการร้ายที่เป็นผบ.ประจำรถก็ตกใจ รีบบอกพลขับให้เลี้ยวหลบเปลวไฟจากเครื่องพ่นไฟไปได้ฉิวเฉียด
- ผู้บัญชาการประจำรถ (คนสั่งการรถถัง) ตกใจว่าทำไมเครื่องพ่นไฟถึงพ่นไฟได้ไกลขนาดนั้น (ดูจากในรูปน่าจะประมาณ 10 กว่าเมตรได้) แต่ก็ไม่ได้ตกใจมาก เพราะถึงจะยิงได้ไกลกว่าที่คิดไว้ แต่ความเร็วของไฟที่พ่นออกมานั้นถือว่าช้ากว่ากระสุนปืนจริงๆ มาก ต่อให้ยิงใส่ซึ่งๆ หน้าก็หักหลบได้สบาย
- ไอ้พวกพลประจำรถคนอื่น (พลสังเกตการณ์, พลขับ, พลปืน) เลยหัวเราะกันเอิ๊กอ๊ากว่างานนี้เราจะแกล้งยั่วให้ไอ้ยักษ์นั่นยิง แล้วดริฟต์หลบไฟของไอ้ยักษ์นั่นแบบนิ่มๆ เทพๆ เหมือนสิงโตโดดลอดบ่วงไฟ แล้วหาจังหวะซิ่งทับมันให้เละไปเลย
ฉากพวกผู้ก่อการร้ายดริฟต์รถหลบไฟจากเครื่องพ่นไฟของแรนเดล
- แต่ผู้บัญชาการประจำรถที่เยือกเย็นกว่าคนอื่นไม่ได้หัวเราะไปด้วย กลับนึกไปถึงรายงานจากฐานใหญ่ผู้ก่อการร้ายว่ามีรถหุ้มเกราะคันหนึ่งเสียหายเพราะไปสู้กับ "ผู้ชายร่างยักษ์" คนหนึ่งมา (ที่แรนเดลไปเดี่ยวด้วยตอนแรกแล้วโดนตีร่วงกลับมาเมื่อหลายเล่มก่อน)
- ผู้บัญชาการประจำรถวิเคราะห์จากข้อมูลจนได้ข้อสรุปว่า ชายร่างใหญ่ที่สู้กับรถหุ้มเกราะของพวกตัวเองแล้วรอดมาได้คนนั้นก็คือแรนเดลที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่เอง และนึกแปลกใจว่าทั้งที่เคยสู้กันมาก่อนจนน่าจะรู้แล้วว่ารถหุ้มเกราะฝ่ายตนคล่องตัวขนาดไหน แล้วทำไมถึงเลือกอาวุธที่เชื่องช้าแถมยังสะดุดตาอย่างเครื่องพ่นไฟมาสู้กับพวกตัวเอง
- ระหว่างที่ผบ.ประจำรถวิเคราะห์สถานการณ์อยู่ ไอ้พลขับ (ที่อัพยากระตุ้นประสาทเข้าไปเต็มที่) ก็ซิ่งรถดริฟต์ซ้ายป่ายขวา หลบไฟจากเครื่องพ่นไฟของแรนเดลไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างเทพ ไฟของแรนเดลไม่สะกิดโดนรถเลยแม้แต่น้อย
- ดริฟต์หลบได้พักนึง ไอ้พลขับก็เริ่มจับจังหวะยิงของแรนเดลได้ คราวนี้เลยดริฟต์ออกข้างหลบไฟของแรนเดลออกไปด้านข้างที่เปิดโล่งได้แบบนิ่มๆ
- แต่ผบ.ประจำรถสังเกตเห็นว่าระเบิดมือที่แรนเดลห้อยติดเอวไว้หายไปหมด จึงรีบออกคำสั่งให้หักหลบไปยังทิศทางตรงข้ามโดยซิ่งฝ่ากำแพงไฟที่แรนเดลยิงมาขวางไว้ไปเลย อย่าไปตรงทางโล่งๆ เมื่อกี้
- พลขับก็งง แต่ก็รีบหักหลบตามคำสั่งผบ.ประจำรถ เลยรอดจากระเบิดมือที่แรนเดลขว้างไปดักไว้ได้แบบฉิวเฉียด (โดนเข้าที่ท้ายรถนิดหน่อยจนกล้องหลังเสียหาย พลสังเกตการณ์ที่ด้านหลังบาดเจ็บ)
ระเบิดมือที่แรนเดลขว้างดักทางรถหุ้มเกราะหลังดริฟต์หลบไฟได้
- ผบ.ประจำรถบอกว่าเครื่องพ่นไฟเป็นแค่ตัวล่อให้เราแกล้งหลบไปหลบมา ของจริงคือระเบิดมือที่มันกะขว้างมาดักเล่นงาน (ทำลายล้อรถ) เราเมื่อกี้ต่างหาก
- รอดจากระเบิดมือของแรนเดลมาได้ พวกผู้ก่อการร้ายก็กระหยิ่มว่างานนี้ไม่มีทางติดกับดักซ้ำสองอีกแล้ว
- เพิ่งจะกระหยิ่มได้ไม่เท่าไหร่ อยู่ๆ รถหุ้มเกราะของพวกผู้ก่อการร้ายก็เกิดเสียหลักควบคุมไม่ได้ไถลออกนอกเส้นทางวิ่งดื้อๆ
- ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะไฟจากเครื่องพ่นไฟที่แรนเดลยิงสาดไปทั่วเมื่อครู่ไปติดที่ยางรถเข้า (เชื้อเพลิงของเครื่องพ่นไฟที่แรนเดลใช้เป็นเชื้อเพลิงซึ่งมีความหนืดสูงกว่าปกติ (เดาว่าน่าจะคล้ายๆ นาปาล์ม แต่ในเรื่องไม่มีคำเรียกชัดเจน) ไม่เหมือนน้ำมันที่เป็นน้ำ จึงสามารถแปะติดกับสิ่งต่างๆ ได้ง่าย และเมื่อติดไฟขณะแปะกับสิ่งใด ไฟก็จะติดแน่นไปกับสิ่งนั้นชนิดเอาแทบไม่ออก แถมยังดับด้วยน้ำไม่ได้อีก) ยางรถทนความร้อนของไฟที่ทั้งร้อนทั้งดับยากไม่ได้ก็เลยระเบิด ทำให้รถเสียหลักพุ่งไปชนกำแพงด้านข้างโครมใหญ่ก่อนจะจอดสนิท
- ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นแผนทำลายการเคลื่อนไหวที่ว่องไวของรถหุ้นเกราะของแรนเดล โดยแกล้งยิงเครื่องพ่นไฟใส่ ล่อให้รถหุ้มเกราะหักหลบไปทั่วจนย่ามใจว่าแรนเดลยิงไม่มีทางโดน จากนั้นใช้ระเบิดมือขว้างดักรถถังที่หลบออกจากพื้นที่ที่ไม่มีไฟให้หนีกลับเข้าไปหาพื้นดินที่เต็มไปด้วยไฟอีกครั้ง จนนาปาล์มของเครื่องพ่นติดไปกับล้อ ล้อเลยโดนไฟเผาติดต่อกันเป็นเวลานานจนทนไม่ไหวระเบิดหมดทุกล้อ ทำให้รถเสียหลักพุ่งขนกำแพง
- หลังขยับไม่ได้ก็ได้เวลาเชือดนิ่มๆ แรนเดลจัดการยิงไฟใส่รถหุ้มเกราะที่ขยับไม่ได้จนลุกท่วมทั้งคัน (กดยิงแช่ด้วยนะ ไม่ได้ยิงแค่พอลุกๆ แถมตอนยิงยังเดินเทิ่งๆ เข้าหารถที่กำลังถูกเผาเรื่อยๆ แบบไม่กลัวความร้อนของไฟอีก)
- ทีนี้พวกผู้ก่อการร้ายในรถก็เริ่มตาเหลือก เพราะรู้ว่าขืนปล่อยไว้มีหวังโดนย่างสดคารถแน่ ผบ.รถเลยรีบสั่งให้พลปืนยิงปืนใหญ่อัดใส่แรนเดลทันที หวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าถึงยิงไม่โดนเพราะทัศนวิสัยไม่ดี (กล้องหน้าโดนไฟเผาจนแตกหมด แถมเปลวไฟกับความร้อนยังกวนสายตาจนเล็งไม่ได้อีก) แต่แรงระเบิดก็น่าจะขู่แรนเดลจนกลัวล่าถอยไปได้
- กระสุนระเบิดยิงไปโดนพื้นด้านหลังตัวแรนเดล แรงระเบิดทำเอาแรนเดลถึงกับตัวปลิวมาข้างหน้า
- แต่แทนที่จะหยุดยิงแล้วหนีไป แรนเดลกลับลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเครื่องพ่นไฟมาทำท่าจะยิงต่อ
- คราวนี้ผบ.รถที่เยือกเย็นมาตลอดเลยถึงกับสติแตกขึ้นมาทันทีว่าทำไม...ทำไมมันถึงไม่ถอย ทำไมมันถึงไม่กลัว