แม่ผมแก่แล้ว ท่านป่วยเริ่มเหนื่อยมากขึ้น ผมจึงแนะนำท่านไป ตามนี้
ตอนนี้แม่ผมก็อายุ 88 ปีแล้ว ป่วยเป็นอัมพฤตเดินไม่ค่อยได้ ต้องใช้เวอก์เกอร์สีขาเดินได้บ้างเล็กน้อย จึงนอนอยู่กับที่เป็นส่วนมาก ปัญหาที่ตามมาคือท่านถ่ายอุจาระลำบากเพราะท้องผูก และเริ่มเหนื่อยง่ายมากขึ้น ตามวัยของคนชรา ท่านก็บ่นเรื่องสังขารของท่าน เหมือนรอแต่วันตายหมดเวรหมดกรรมจากสังขาร
ตามปกติแล้วท่านก็ เอาหนังสือมาทำวัตรสวดมนตร์เป็นประจำทุกวัน ก็ย่อมได้อ่านได้ทองในส่วนของ คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
และก่อนหน้านั้นท่านก็ได้ตักบาตร์ทำบุญกับพระที่เดินบิณฑบาต มากมายเต็มกำลังของท่าน ก่อนที่ท่านจะล้มป่วย เมื่อท่านป่วยท่านก็พูดว่าท่านได้ทำบุญมากแล้ว
และผมก็เคยแนะนำท่านให้ปฏิบัติดูลมหายใจแบบ พุทธ-โธ เมื่อหลายสิบปี มาแล้ว ท่านก็ทำได้บ้าง และทำมาเรื่อยๆ จนพอเป็นนิสัย และท่านก็ได้เคยไปเีรียนจากอาจารย์ที่สอน พุทธ-โธ มาบ้างครั้งสองครั้ง ผมจึงให้ท่านปฏิบัติต่อไป
แต่ผมก็ได้ใส่เรื่องการพิจารณาให้ท่านที่ละเล็กละน้อย ในบทสวดทำวัตร เพราะมีบท เรื่อง ไตรลักษณ์ เรื่องขันธ์ เป็น อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ชี้เน้นย้ำให้ท่านไปบ้าง
เมื่อถึงเวลาที่ท่านป่วยเช่นนี้ ท่านเริ่มสวดมนตร์ทำวัตรไม่ค่อยได้ ผมก็คอยบอกให้ท่าน พุทธ-โธ บ้าง แต่ก็จะเน้นให้ท่านนึกภาวนว่า..
"คนเรา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา"
ท่องไปเรือยๆ ภาวนาไปเรือยๆ จนเข้าใจ จนวางได้ เพราะเมื่อสังขารมันเป็นเช่นนั้นแล้ว มันก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อใจวางใด้ ก็จะทุกข์ จะเคลียดน้อยลง
ท่านจึงพูดย้อนขึ้นว่า "ลูกนะทำได้ แต่แม่ ยังทำไม่ได้" (เมื่อเดือนที่แล้ว วันวิสาขาที่ผมกลับไปเยียมท่านและพาท่านไปทำสังฆทาน)
และวันนี้เมื่อเวลาที่ผ่านมานี้เองผมได้โทรไปคุยกับท่าน ท่านก็บอกว่าท่านเหนื่อยขึ้นมากแล้ว ผมก็แนะนำท่านในการภาวนาอย่างเดิม คือ..
----------------
"คนเรา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา"
ท่องไปเรือยๆ ภาวนาไปเรือยๆ จนเข้าใจ จนวางได้ เพราะเมื่อสังขารมันเป็นเช่นนั้นแล้ว มันก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อใจวางใด้ ก็จะทุกข์ จะเคลียดน้อยลง
-----------------
ท่านก็บอกว่า ท่านท่องแบบคำพูด ท่านก็เหนื่อยแล้ว
ผมก็บอกว่า ให้ท่องในใจ ภาวนาในใจ ไม่ต้องท่องเป็นคำพูดก็ได้
ท่านก็บอกว่า แม้แต่ท่องในใจ ก็ยังเหนือยเลย
(ผมก็ ยิ้ม กับตัวเอง ในขณะที่โทรคุย เพราะที่ผ่านมานั้นท่านได้ท่องได้ภาวนาบ้างแล้วนั้นเอง)
แล้วแม่ก็บอกว่า "ตอนนี้แม่ก็เหนือยมากแล้ว เพียงแต่คุยโทรศัพย์"
และท่า่ทางท่านเหนือยจริง ๆ ผมจึงขอวางโทรศัพย์เพื่อให้แม่ได้พักผ่อน แต่ผมก็พอใจแล้ว ที่แม่ท่านยังภาวนาอยู่ไม่มากก็น้อย
นี้ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นเรื่องสำคัญทางธรรม สำหรับผู้อุปการีผม นั้นเอง.
แม่ผมแก่แล้ว ท่านป่วยเริ่มเหนื่อยมากง่ายมากขึ้น ผมจึงแนะนำท่านไป ตามนี้
ตอนนี้แม่ผมก็อายุ 88 ปีแล้ว ป่วยเป็นอัมพฤตเดินไม่ค่อยได้ ต้องใช้เวอก์เกอร์สีขาเดินได้บ้างเล็กน้อย จึงนอนอยู่กับที่เป็นส่วนมาก ปัญหาที่ตามมาคือท่านถ่ายอุจาระลำบากเพราะท้องผูก และเริ่มเหนื่อยง่ายมากขึ้น ตามวัยของคนชรา ท่านก็บ่นเรื่องสังขารของท่าน เหมือนรอแต่วันตายหมดเวรหมดกรรมจากสังขาร
ตามปกติแล้วท่านก็ เอาหนังสือมาทำวัตรสวดมนตร์เป็นประจำทุกวัน ก็ย่อมได้อ่านได้ทองในส่วนของ คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
และก่อนหน้านั้นท่านก็ได้ตักบาตร์ทำบุญกับพระที่เดินบิณฑบาต มากมายเต็มกำลังของท่าน ก่อนที่ท่านจะล้มป่วย เมื่อท่านป่วยท่านก็พูดว่าท่านได้ทำบุญมากแล้ว
และผมก็เคยแนะนำท่านให้ปฏิบัติดูลมหายใจแบบ พุทธ-โธ เมื่อหลายสิบปี มาแล้ว ท่านก็ทำได้บ้าง และทำมาเรื่อยๆ จนพอเป็นนิสัย และท่านก็ได้เคยไปเีรียนจากอาจารย์ที่สอน พุทธ-โธ มาบ้างครั้งสองครั้ง ผมจึงให้ท่านปฏิบัติต่อไป
แต่ผมก็ได้ใส่เรื่องการพิจารณาให้ท่านที่ละเล็กละน้อย ในบทสวดทำวัตร เพราะมีบท เรื่อง ไตรลักษณ์ เรื่องขันธ์ เป็น อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ชี้เน้นย้ำให้ท่านไปบ้าง
เมื่อถึงเวลาที่ท่านป่วยเช่นนี้ ท่านเริ่มสวดมนตร์ทำวัตรไม่ค่อยได้ ผมก็คอยบอกให้ท่าน พุทธ-โธ บ้าง แต่ก็จะเน้นให้ท่านนึกภาวนว่า..
"คนเรา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา"
ท่องไปเรือยๆ ภาวนาไปเรือยๆ จนเข้าใจ จนวางได้ เพราะเมื่อสังขารมันเป็นเช่นนั้นแล้ว มันก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อใจวางใด้ ก็จะทุกข์ จะเคลียดน้อยลง
ท่านจึงพูดย้อนขึ้นว่า "ลูกนะทำได้ แต่แม่ ยังทำไม่ได้" (เมื่อเดือนที่แล้ว วันวิสาขาที่ผมกลับไปเยียมท่านและพาท่านไปทำสังฆทาน)
และวันนี้เมื่อเวลาที่ผ่านมานี้เองผมได้โทรไปคุยกับท่าน ท่านก็บอกว่าท่านเหนื่อยขึ้นมากแล้ว ผมก็แนะนำท่านในการภาวนาอย่างเดิม คือ..
----------------
"คนเรา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา"
ท่องไปเรือยๆ ภาวนาไปเรือยๆ จนเข้าใจ จนวางได้ เพราะเมื่อสังขารมันเป็นเช่นนั้นแล้ว มันก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อใจวางใด้ ก็จะทุกข์ จะเคลียดน้อยลง
-----------------
ท่านก็บอกว่า ท่านท่องแบบคำพูด ท่านก็เหนื่อยแล้ว
ผมก็บอกว่า ให้ท่องในใจ ภาวนาในใจ ไม่ต้องท่องเป็นคำพูดก็ได้
ท่านก็บอกว่า แม้แต่ท่องในใจ ก็ยังเหนือยเลย
(ผมก็ ยิ้ม กับตัวเอง ในขณะที่โทรคุย เพราะที่ผ่านมานั้นท่านได้ท่องได้ภาวนาบ้างแล้วนั้นเอง)
แล้วแม่ก็บอกว่า "ตอนนี้แม่ก็เหนือยมากแล้ว เพียงแต่คุยโทรศัพย์"
และท่า่ทางท่านเหนือยจริง ๆ ผมจึงขอวางโทรศัพย์เพื่อให้แม่ได้พักผ่อน แต่ผมก็พอใจแล้ว ที่แม่ท่านยังภาวนาอยู่ไม่มากก็น้อย
นี้ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นเรื่องสำคัญทางธรรม สำหรับผู้อุปการีผม นั้นเอง.