เมื่อพ่อฉันเป็นโรคตับแข็งและการอยู่เป็นภาระต่อลูกหลานของพ่อ

สมัยตอนพวกเรายังวัยเด็ก มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อไม่ดีนัก บ้านเรามีกันอยู่ 6 คนคือพ่อแม่ พี่ชาย 1 คน พี่สาว 2 คน ส่วนเป็นลูกสาวเราเป็นคนสุดท้อง


ตอนพวกเราเด็กๆ ไม่มีใครสนิทกับพ่อเลย นอกจากพี่สาวคนกลาง พ่อรักพี่สาวคนกลางที่สุดในบรรดาลูกๆ ทุกคน (คนโตเป็นผู้ชายแต่ไม่รัก งงป่ะ? ลูกคนจีนนะเนี่ย!)
พ่อทำงานและไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัว วันหยุดจะดูทีวีและอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่คุยเล่นกับลูกๆ และทะเลาะเสียงดังกับแม่บ่อยๆ เหมือนกันที่เกลียดกันแต่ต้องทนอยู่ด้วยกัน
พอโตขึ้น เรากับพ่อก็มีปัญหาหนักมากขึ้นตามวัย ทะเลาะกันบ่อยมากๆ ทั้งที่เนื้อหาไม่มีมีอะไรเลย เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งทั้งสิ้น ลูกๆ ทุกคนถ้าใครเถียง
หรือขึ้นเสียงกับพ่อถือเป็นคนก้าวร้าวอกตัญญู พวกเราทะยอยโดนพ่อไล่ออกจากบ้านกันหมดยกเว้นพี่สาวคนกลาง โดยมีพี่สาวคนรองนำร่อง
โดนไล่ออกจากบ้านก่อน ต่อมาพี่ชาย ต่อมาก็เรา ออกไปอยู่ข้างนอกไปรอดบ้างไม่รอดบ้าง


นั่นคือเรื่องราวในวัยเด็กและวัยรุ่นของพี่น้องบ้านเรา (จริงๆ มีเยอะแต่ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องเอาพ่อตัวเองมาว่า) พอโตขึ้นทำงานได้ ก็ไม่ได้มีใครถือสาอะไรกับพ่อ กลับมาหาพ่อแม่และให้เงินใช้ และพาไปทานอาหารนอกบ้านดีๆ บ้างบางโอกาส แต่เรานี่บ่อยหน่อย ว่างเป็นต้องพาพ่อไปทานอาหารนอกบ้านดีๆ เพราะไม่ค่อยมีเวลาให้เขา ไม่ได้อยู่บ้านเพราะแยกตัวไปอยู่ที่อื่น (ตั้งแต่โดนไล่ออกจากบ้านนั่นแหล่ะ) เวลาเห็นพ่อกินข้าวแล้วหัวเราะชอบใจ เคาะช้อนไปแล้วพูดไปว่า "อร่อยชั้นหนึ่งเลย" หัวใจมันฟู มีความสุขบอกไม่ถูก


และแล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ดราม่าก็เกิดขึ้นเมื่อพ่อเราจู่ๆ ท้องบวมโตอย่างกับแตงโมและแข็งเป๋ง ไม่อึ แน่นท้องและอึดอัด เราพาพ่อไปหาหมอที่รพ.รามาฯ ก็ไปตรวจ 2 รอบจนได้รู้ว่าเป็นโรคตับแข็ง หมอบอกพ่ออย่างตรงไปตรงมาว่าพ่อเป็นโรคตับแข็งอยู่ที่ระยะ 3 แล้วและไม่มีทางใดเลยที่จะรักษาให้หาย พ่อจะอยู่ได้อีกไม่นาน ฯลฯ สาระพัดคำพูดที่บ่อนทำลายจิตใจ จนพี่สาวคนรอง ต้องส่งสายตาพิฆาตใส่หมอ หมอจึงเปลี่ยนมาให้กำลังใจพ่อว่า ถ้ารักษาตัวดีๆ หาหมอบ่อยๆ ก็อยู่ได้อีกนาน จากตอนแรกพ่อหน้าจ๋อยมากก็ค่อยๆ พยักหน้ามีแรงขึ้นหน่อย


ตั้งแต่รู้ว่าพ่อป่วย เราเซริ์ทหาข้อมูลโรคตับแข็งแล้วเรียบเรียงปริ๊นซ์ออกมา 2 ชุด (ให้พ่อ 1 ชุดเก็บไว้อ่านเองอีก 1 ชุด)

คนเป็นโรคตับแข็ง ห้ามกินของเค็ม อาหารรสจัด ของดอง กะทิ กินเผ็ดได้บ้าง กินหวานได้ไม่เป็นไร ควรกินไข่ขาวกับเต้าหูหรือน้ำเต้าหู้เยอะๆ เพราะผู้ป่วยโรคนี้จะขาดโปรตีนและอ่อนเพลียง่าย ไม่ควรกินอาหารที่มีโปรตีนจากสัตว์มากเพราะจะมีผลกระทบทำให้ผู้ป่วยสมองเสื่อม ควรแบ่งอาหารออกเป็นหลายๆ มื้อต่อวัน แต่ละมื้อทานน้อยๆ เพราะคนป่วยโรคนี้จะเบื่ออาหารและซึมเศร้า อ่อนเพลียง่ายฯลฯ (นี่พิมพ์สดไม่ต้องเปิดหนังสืออ่านเลยนะจำได้ขึ้นใจเลยอิอิ)


เราบอกพ่อว่าถ้าวันไหนไม่อ่อนเพลียให้ลุกขึ้นมาออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ บ้าง อย่าหยุดออกกำลังกายไปเลย โชคดีที่ก่อนพ่อป่วยพ่อเป็นคนที่ออกกำลังกายทุกๆ เช้า แต่พอรู้ตัวว่าป่วยก็หมดอาลัยตายอยากในชีวิตไม่ออกกำลังกายใดๆ อีกเลย อ้างว่าเวียนหัวไม่มีแรง เราและพี่ๆ ทุกคนให้กำลังใจพ่อ หาอาหารดีๆ ที่ผู้ป่วยโรคนี้ควรกินมาให้สารพัดสารเพ พาออกไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ๆ ที่เขาอยากไปบ้าง เคยพาไป 3 ชุกเพราะแกให้เหตุผลว่าอยากเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่เคยทำงานด้วยกันในสมัยหนุ่มๆ ก็พาแกไป เดินหากันอยู่นานจนสืบถามจากคนแถวนั้นว่าเพื่อนเก่าคนนนี้ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว (งานงอกอีกกรู พ่อรู้ข่าวจ๋อยอีก เรากับพี่สาวคนรองและแฟนเลยต้องเล่นตลกกันอยู่พักนึงให้แกผ่อนคลายขึ้น)


ตอนพ่อป่วยแรกๆ ต้องไปหาหมอบ่อยๆ เรากับแฟนต้องตื่นแต่เช้าจากนนทบุรีไปพระราม 2 เพื่อพาพ่อไปหาหมอที่รพ. รามา รถช่วงเช้าติดแค่ไหนคงไม่ต้องพูด ถามว่าเหนื่อยไหม...เหนื่อยสัสๆ ตอบเลย เหนื่อย เพลีย ง่วง แต่เจอพ่อต้องแอ๊คถีบ "เฮ่! ว่าไงลุง เตรียมอึมาให้หมอตรวจป่ะเนี่ย?" "โอ้โห! ใส่กระติกมาอย่างไฮโซ ใครไม่รู้ขอกินนึกว่าข้างในเป็นเป๊ปซี่ทำไงเนี่ย?5555" พอบ่อยๆ เข้าดราม่าภาค 2 เริ่มเกิด


สิ่งที่เรากลัวที่สุดของผู้ป่วยสูงอายุที่เจอปัญหากันซ้ำซากคือเกรงใจลูกหลาน ไม่อยากไปหาหมอ เปลืองเงิน เสียเวลา ฯลฯ ซึ่งตั้งแต่วันแรกที่ตรวจพบโรคเราเคยบอกพ่อแล้วว่าไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายเลยเท่าไหร่ก็รักษาไปลูกรวย! (รวยกะผีน่ะสิ!) รีบรักษาตั้งแต่เป็นแต่เนิ่นๆ นะ อย่ารอให้เป็นหนักมันทรมาน นอนไอซียู รอถึงเวลานั้นจะยิ่งลำบาก ซึ่งพ่อก็ให้ความร่วมมือดี ไม่กินอาหารต้องห้าม (ให้เห็นเลย) เวลาหมอนัดก็ยอมมา ตอนแรกงอแงบ้างตามเหตุผลข้างต้น และอีกอย่างคือโดนเจาะเลือดทุกครั้งที่มาหาหมอแกบอกแกทรมานมาก เราไม่สนใจบังคับให้มา เราเลิกกินเค็มเป็นเพื่อนพ่อด้วย เขาจะได้มีเพื่อนกินของจืดๆ เวลาแกบ่นว่าอาหารไม่อร่อย จะได้ไม่ต้องมาอ้างว่าพวกยิ้มไม่เข้าใจหรอกว่าที่เขากินอยู่เนี่ยมันไม่อร่อยแค่ไหนที่ต้องฝืนกินเข้าไป


ในขณะที่เราเริ่มเบาใจว่าพ่อเรานั้นมีกำลังใจเข้มแข็งดี วันหนึ่งพี่ชายก็โทรมาบอกว่าวันนี้พ่อโทรไประบายให้ฟัง (พี่ชายก็ผลัดเวรพาพ่อไปส่งโรงพยาบาลบ้างบางโอกาส ลูกๆ ทุกคนช่วยกันผลัดเวรไป) พ่อบอกพี่ชายว่าน้อยใจในโชคชะตา แกไม่เคยกินเหล้าสูบบุหรี่ ผู้หญิงก็ไม่เที่ยวดูแลสุขภาพดีมาตลอด สวรรค์ไม่ยุติธรรมกับแกเลย ต้องมาป่วยแบบนี้เป็นภาระให้ลูกหลานต้องมาดูแล ต้องมาเสียงานเสียการเสียเงินรักษาแก แล้วยิ่งพวกลูกๆ ดีกับแกอย่างนี้ คิดย้อนกลับไปแกยิ่งละอายใจ แกไม่อยากมีชีวิตอยู่อีก อยากตายไปให้พ้นๆ อยากไปอยู่กับแม่แล้ว (แม่เราเสียไปเกือบ 4 ปีแล้วค่ะ).....ฟังพี่ชายเล่าในสิ่งที่เราไม่อยากให้อยู่ในความคิดพ่อมาตลอดบัดนี้มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เราพูด เราทำมามันไม่เป็นผลเลย โคตรเสียใจเลยค่ะ เล่าให้พี่สาวฟังร้องไห้ ร้องๆๆๆๆๆ ไม่รู้จะทำยังไง คนป่วยที่แก่ และรักษาไม่หาย สิ่งที่ทำให้อยู่ได้คือกำลังใจที่เข้มแข็ง เราพยายามทำให้พ่อเข้มแข็ง สุดท้ายเขาก็อ่อนแอ ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ พี่สาวไม่ได้พูดอะไรกับเรามากมายเพราะกำลังมีปัญหาส่วนตัวกับครอบครัวมันเองช่วงนั้น

พอถึงกำหนดนัดพ่อไปหาหมออีกคราวนี้พี่สาวคนรองมาเป็นเพื่อนด้วย เปิดประเด็น "ภาระลูกหลาน" โดยไม่ให้พ่อตั้งตัวเลยค่ะ เงิ้บกันทั้งรถ แมร่งคิดได้

"ป๊า....ป๊าฟังฉายนะ การเป็นภาระให้ลูกหลานน่ะ ก็คือสิ่งที่ป๊ากำลังทำอยู่นี่แหล่ะ การหมดอาลัยตายอยากในชีวิต การไม่ให้ความร่วมมือกับลูกๆ ไม่ยอมไปหาหมอเนี่ยภาระลูกๆ สุดๆ ถ้ารอให้ป่วยหนักกว่านี้ค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อครั้งมันมหาศาล ไม่มีใครมีปัญญารักษาป๊าแน่ๆ และต้องอยู่อย่างทรมาน ไม่รักษาป๊าก็ไม่ได้ก็ต้องรักษาครั้งละแพงๆ กว่านี้มาก ป๊าไม่อยากเป็นภาระลูกๆ ใช่มะ? (พ่อพยักหน้า) ดี! ง่ายๆ เลยป๊า ป๊าต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็ง เชื่อฟังหมอ เชื่อฟังลูกๆ บอก ลูกๆ ทุกคนเต็มใจพาป๊าไปหาหมออยู่แล้ว ไม่มีใครบ่นหรือไม่เต็มใจพาป๊าไปหาหมอเลย ป๊ารีบรักษาตั้งแต่รู้ตัวเนิ่นๆ ไปหาหมอบ่อยหน่อยค่ารักษาครั้งละไม่กี่พันลูกมีปัญญาจ่ายไม่เป็นปัญหา ถ้ารู้จักรักษาตัวเองอาการมันก็จะดีขึ้นแล้วก็มีชีวิตอยู่ได้อีกนานขึ้นด้วย" เราได้ทีรีบสำทับว่า "ป๊าลองนึกย้อนดูนะ ถ้าพวกนาไม่สบายหนักๆ เหมือนป๊า ป๊าก็ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาลูกๆ ใช่ป่ะ? แล้วถ้าพวกนาไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาบ้างอยากตายบ้างป๊าจะรู้สึกยังไง?"



โห! คดีพลิกเลยค่ะ ตั้งแต่วันนั้น บอกให้ไปหาหมอก็ไม่งอแง ไม่กินอาหารที่ไม่ควรกิน ไม่ซึมเศร้า หมั่นออกกำลังกายเท่าที่ทำได้ กินอาหารได้เยอะมาก ครั้งล่าสุดที่ไปหาหมอ หมอยังตกใจค่ะ พ่อเราอาการดีขึ้นมากๆ หมอบอกไม่ต้องมาหาหมอบ่อยๆ แล้ว แต่จะนัดให้ห่างขึ้น


ปัจจุบันอาการโรคตับอักเสบของพ่อเราลดระดับจาก 3 ลงมาเหลือระดับ 2 ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของลูกๆ ที่พาพ่อไปหาหมออย่างมีวินัย และการมีกำลังใจและมีความเข้มงวดในการรักษาตัวเองของพ่อค่ะ....โคตรดีใจเลย


ฝากถึงผู้หลักผู้ใหญ่คุณพ่อคุณแม่คุณตาคุณยายในบ้านค่ะ ตีความคำว่า ภาระลูกหลานใหม่นะคะ แล้วชีวิตจะดีขึ้น เพื่อได้ใช้ชีวิตกับคนที่คุณรักได้นานขึ้น....



หากเรื่องของเราจะเป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยได้มีกำลังใจในการรักษาตัว และกลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น เราก็ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ให้กับคุณแม่สุนันท์ เหลืองอร่าม แม่ของเราที่จากไปนะคะ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่ารอให้เขาจากไปแล้วมาเสียใจที่หลังว่าตอนเขาอยู่ทำไมไม่ทำหให้...ขอบคุณค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่