โครงการปั๊มลูกเพื่อชาติโดย รมว สาธารณสุข: เป้าหมาย ญ ไทยมีลูกเฉลี่ย 2.1 คน

กระทู้คำถาม
คิดอย่างไรกับโครงการนี้  ท่านจะเข้าร่วมปั๊มลูกเพื่อชาติหรือไม่?

จาก
http://www.thaipost.net/x-cite/160513/73601

เนื้อความ
  ไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ เผยผู้มีอายุ 80 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13 ในปี 53 ขณะที่อัตราการเกิดลดลง สธ.เล็งแก้ปัญหาด้วยการจัดทำโครงการปั๊มลูกเพื่อชาติ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างคน 2 วัย นำร่องใน 6 จังหวัดรวมทั้ง กทม.


    ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ วันที่ 15 พฤษภาคมนี้ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวระหว่างการเปิดประชุมระดับชาติ โครงการพัฒนารูปแบบบริการระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพิง รวมทั้งกลุ่มอายุอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลประเทศญี่ปุ่นและไทย ว่า ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุเร็วที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน จากรายงานการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ล่าสุดในปี 2554 พบว่ามีประชากรสูงอายุประมาณร้อยละ 12 ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 9 ล้านคน และพบว่าผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มจากร้อยละ 10 ของประชากรสูงอายุทั้งหมดในปี 2543 เป็นร้อยละ 13 ในปี 2553 โดยอัตราเกิดของไทยลดลง หญิงวัยเจริญพันธุ์ไทยอายุ 15-49 ปี 1 คนมีบุตรเฉลี่ย 1.5 คน ทำให้โครงสร้างประชากรไทยอยู่ในสภาวะไม่สมดุล สัดส่วนระหว่างผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กับเด็กอายุ 0-14 ปี ลดลงอย่างรวดเร็วจาก 1 : 2.56 ในปี 2543 เป็น 1 : 1.49 ในปี 2553
    นพ.ประดิษฐกล่าวว่า ในการรับมือกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุของไทยได้มียุทธศาสตร์ระดับชาติ โดยบูรณาการร่วมกันทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และชุมชน มี 2 มาตรการ คือมาตรการระยะสั้นเน้นการจัดบริการ การดูแลระยะยาวโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ส่วนในระยะยาวได้มียุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยการเพิ่มจำนวนบุตรเฉลี่ยของหญิงไทยให้สูงขึ้นจาก 1.5 เป็น 2.1 เพื่อให้โครงสร้างประชากรมีความสมดุล ลดภาระครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ และเน้นการส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจของผู้สูงอายุ ให้ผู้สูงอายุมีศักยภาพในการเพิ่มผลผลิต (Productivity) ยาวนานมากขึ้น เรื่องนี้ได้มอบหมายให้ นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้อำนวยการโครงการ (Project Director) และนายแพทย์ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้จัดการโครงการ (Project Manager)
    ด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ. กล่าวว่า การดูแลผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และอาสาสมัคร โดยเฉพาะผู้สูงอายุกลุ่มที่ต้องพึ่งพิง ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว ซึ่งกลุ่มนี้มีประมาณ 1 ล้านคน มี 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ต้องพึ่งพาคนอื่นเมื่อออกนอกบ้าน มีประมาณร้อยละ 10 หรือประมาณ 900,000 คน และประเภทนอนติดเตียง ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ มีประมาณร้อยละ 1 หรือประมาณ 90,000 คน ซึ่งคนกลุ่มนี้มักจะไม่ต้องการการดูแลทางการแพทย์ แต่ต้องการการดูแลต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน หรือตลอดอายุขัย จากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งปัจจุบันพบว่าเป็นภาระที่หนักของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะครอบครัวขนาดเล็ก ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงต้องเตรียมความพร้อมด้านระบบบริการผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพิง 2 กลุ่มนี้ โดยร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งภาครัฐ เอกชน จัดระบบดูแลหลายด้านไปพร้อมๆ กัน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม มีระยะเวลาดำเนินการระหว่าง พ.ศ.2556-2560
    นพ.ณรงค์กล่าวว่า โครงการดังกล่าวนำร่องดำเนินการ 6 แห่ง ได้แก่ ขอนแก่น เชียงราย สุราษฎร์ธานี นนทบุรี นครราชสีมา และกรุงเทพมหานคร โดยเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการพัฒนารูปแบบบริหารจัดการระบบบริการสุขภาพและสวัสดิการสังคมเชิงบูรณาการสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย ได้ร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่น ระยะเวลาดำเนินการระหว่าง พ.ศ.2550-2553 ในพื้นที่เดิม เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่กับครอบครัว ชุมชน อย่างอบอุ่นตลอดไป หากสำเร็จไทยจะเป็นศูนย์การเรียนรู้เรื่องการจัดระบบการดูแลผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพิงให้แก่ประเทศอาเซียนด้วย.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่