“มะนิลา”เมืองน่าแวะ

ถึงจะวนเวียนกับมะนิลาอยู่หลายรอบ แต่ทุกรอบก็ต้องไปแวะที่อินทรามูรอส เพราะนี่คือสถานที่ที่ช่วยพาทุกคนย้อนไปหาอดีตประเทศฟิลิปปินส์และเมืองมะนิลาได้ดีที่สุด
               มะนิลาในภาพจำคือ การจราจรที่ติดเป็นตังเม   บนท้องถนนเต็มไปด้วยรถจิ๊ปนีย์ที่แต่งสีสันแสบทรวง ที่แม้ว่าเวลาจะเคลื่อนไปนานแค่ไหนก็ยังเป็นขวัญใจชาวฟิลิปปินส์อย่างไม่ตกยุค และยังมีผู้คนหน้าตาละม้ายคล้ายชาวสยามเดินกันเกลื่อนเมือง
               นั่นแหละมะนิลา 3-4 รอบของฉัน วนเวียนอยู่กับภาพเหล่านี้   
               ถึงจะวนเวียนกับมะนิลาอยู่หลายรอบ  แต่ทุกรอบก็ต้องไปแวะที่อินทรามูรอส  เพราะนี่คือสถานที่ที่ช่วยพาทุกคนย้อนไปหาอดีตประเทศฟิลิปปินส์และเมืองมะนิลาได้ดีที่สุด
               ภายใต้กำแพงหินเป็นเมืองย่อมๆที่มีทุกสิ่งอย่างที่พวกสเปนเคยสร้างไว้  ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ซานออกุสติน  วิหารแห่งเมืองมะนิลา  ป้อมซานติอาโก โรงเรียน สถานที่ราชการ และบ้านเรือนของพวกสเปนที่เรียกว่าคาซ่ามะนิลา
               ช่วงที่สเปนเข้ามาครอบครอง ใช้อินทรามูรอสเป็นศูนย์กลางทั้งการปกครอง การศึกษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์หลายหน้าของฟิลิปปินส์เกิดขึ้นภายใต้กำแพงแห่งนี้
               และแม้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  กำแพงหินที่ล้อมรอบอินทรามูรอสจะพังทะลายลงเพราะแรงระเบิด และถูกทิ้งร้างอยู่นานมาก แต่หลังจากนั้นก็มีการบูรณะฟื้นฟู และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์ผ่านสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้
               โบสถ์ซาน ออกุสติน (San Augustin Church)ตั้งอยู่ใจกลางย่านอินทรามูรอส  แต่ละวันที่นี่ต้องรับนักท่องเที่ยวไม่ใช่น้อย   เพราะความที่เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สุดของฟิลิปปินส์อายุกว่า 400 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับครั้งไม่ถ้วน  ถูกไฟไหม้ 2 ครั้ง เจอแผ่นดินไหวเขย่าโบสถ์มาแล้ว 7 ครั้ง  แถมยังรอดพ้นจากการโดนถล่มในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  โบสถ์แห่งนี้จึงมากมายไปด้วยประวัติศาสตร์ ไม่น่าแปลกที่ถูกยกให้เป็นมรดกโลก
               นอกจากยังรักษาความเก่าแก่ไว้อวดแขกเหรื่อได้   ภายในโบสถ์ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาและศิลปะ  ที่ล้วนแต่มีความน่าสนใจรออยู่ด้านใน
               ตรงข้ามกับโบสถ์ซาน ออกุสตินเป็นจุดที่เรียกว่าคาซา มะนิลา ตรงนี้ถือเป็นย่านที่พักอาศัยของพวกชาวสเปนในอดีต ซึ่งถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ตามซอกซอยแถวนี้จะมีแต่อาคารโบราณที่กลิ่นอายของสเปน    มีพิพิธภัณธ์ที่แสดงวิถีชีวิตของพวกสเปนในช่วงเข้ามาลงหลักปักฐานในมะนิลา ทั้งห้องหับ เฟอร์นิเจอร์ และภาพวาด
               เดินเลยขึ้นไปจากย่านคาซา มะนิลาเป็นวิหารแห่งมะนิลา สิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่มาก นี่ก็อายุ 400 กว่าปีเหมือนกัน  แต่มาเสียหายอย่างหนักตอนโดนระเบิดบอมบ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จากนั้นจึงมีการสร้างขึ้นใหม่ช่วงกลางศตวรรษที่ 20
               ด้านในของวิหารตกแต่งประดับประดาด้วยกระจกแก้วอย่างงดงาม และมีรูปปั้นที่สลักจากหินอ่อนอย่างปราณีตเป็นรูปพระแม่มารีอุ้มพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขน   สำหรับชาวเมืองมะนิลานี่คือรูปปั้นที่พวกเขาศรัทธา     ภายในมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงประวัติความเป็นมาของโบสถ์ตั้งแต่ก่อสร้างจนถึงปัจจุบัน มีรูปภาพฝาผนังและประติมากรรมที่แสนวิจิตร        
               อีกหนึ่งไฮไลท์ของอินทรามูรอสคือป้อมซานติอาโกที่อยู่ไม่ไกลจากวิหารแห่งมะนิ ลา   นี่คือป้อมปราการที่ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำพาซิกซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของมะนิลา    น่าเสียดายที่ป้อมแห่งนี้ ถูกปล่อยให้รกร้างมานานโข  แต่เมื่อปี 1950 ถูกบูรณะขึ้นใหม่และปี  1979 ทางการจึงเปิดให้ผู้คนได้เข้ามาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติผ่านป้อมแห่งนี้
               ป้อมซานติเอโกเก็บงำเรื่องราวในอดีตของฟิลิปปินส์ไว้มากมาย ด้วยความที่เคยถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการทางทหารของทั้งสเปน ญี่ปุ่น อังกฤษและอเมริกา จึงมีบางสิ่งบางอย่างทิ้งไว้เป็นร่องรอยแห่งอดีตให้คนรุ่นหลังไว้ดูต่างหน้า
               พอเดินผ่านโค้งประตูเข้าสู่ด้านในของป้อม ก็จะมีจุดที่มีเคยใช้ขังนักโทษการเมือง รวมถึง ดร.โฮเซ  ไรซัลที่เคยใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอยู่ที่นี่ ก่อนถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าในปี 1896   นอกจากนี้ยังมีอาคารเก่าแก่ที่ใช้เป็นจุดเก็บสินค้าในยุคอาณานิคม    ใกล้ ๆ กันเป็นสวนสวยงาม มีรถม้าตกแต่งสวยงามจอดเรียงรายรอให้บริการนักท่องเที่ยว
                คงไม่ใช่มะนิลาเที่ยวสุดท้าย  เพราะเมืองแบบนี้  แวะมาเที่ยวได้เรื่อยๆ เพราะถึงยังไงมะนิลาก็เป็นประตูไปสู่เกาะแก่งน้อยใหญ่ของฟิลิปปินส์อีกกว่า 7 พันเกาะ

เครดิตจาก คมชัดลึก




แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่