หลังจากที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการขาดทุนในการจำนำข้าวมาหลายวัน วันนี้ขอชวนคุยเรื่องอนาคตดีกว่า
ผมว่าตอนนี้ทุกคนน่าจะเห็นตรงกันระดับนึงว่า การช่วยเหลือชาวนาที่ดี ก็คือการช่วยให้ชาวนา "ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต"
อย่างสมมติว่า ตอนนี้ต้นทุนการผลิตของชาวนาคนนึง อยู่ที่ 8,000 บาทต่อตัน (เท่าที่รัฐบาลอ้างถึง)
แล้วขอสมมติต่อว่า ตัวเลข 8,000 บาท นั่นก็อาจจะมาจาก มีต้นทุนการปลูกที่ 4,000 บาทต่อไร่ โดยได้ผลผลิตไร่ละ 500 กก.
การช่วยชาวนาที่ผ่านมา จะไม่ได้ให้ความสนใจตรงที่ว่า จ่ายไปเท่าไหร่ แต่จะเน้นไปที่ว่า ทำให้ชาวนาได้เงินมากขึ้นกว่าที่รับตามกลไกปกติ
ทั้ง ๆ ที่ว่า ถ้าสมมติเราสามารถลดต้นทุนการปลูก จากไร่ละ 4,000 ลงเหลือ 3,500 บาท ได้ โดยได้ผลผลิตเท่าเดิม ต้นทุนการผลิตของชาวนาคนนี้ ก็จะเป็น 7,000 บาทต่อตัน
หรือถ้าต้นทุนการปลูกไม่ลด แต่สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เป็น 600 กก.ได้ ต้นทุนกการผลิตของชาวนา ก็จะลดเหลือ 6,667 บาท
หรือถ้าทำได้ทั้งสองอย่าง คือลดต้นทุนได้ด้วย และเพิ่มผลผลิตได้ด้วย อันนี้ก็ยิ่งทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงได้มากขึ้น
ซึ่งถ้าขายได้ราคาเดิม จากที่ขาดทุน หรือไม่มีกำไร ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นมีกำไรได้ โดยที่รัฐไม่ต้องช่วยอุดหนุนด้านราคาอีกต่อไป
ซึ่งแนวทางที่ควรทำเพื่อให้การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต สามารถมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น จริง ๆ แล้ว ทางรัฐบาลก็ได้ทำมาอยู่แล้ว คือเรื่องการจัดระบบการปลูกข้าว ซึ่งตามแนวทางที่ทำ ก็จะสามารถช่วยให้ชาวนาได้ลดต้นทุนได้ เพราะสามารถตัดวงจรชีวิตศัตรูพืชได้ ทำให้ใช้ยาน้อยลง มีการจัดระเบียบเรื่องการใช้น้ำ ทำให้มีน้ำใช้ได้ตามวงรอบที่ต้องการ ก็จะประหยัดค่าน้ำมันเครื่องสูบน้ำได้
และถ้าทำตามขั้นตอนที่ทางราชการแนะนำ ไม่ปลูกแบบต่อเนื่อง มีการพักดิน ก็จะสามารถให้ผลผลิตได้ปริมาณมากขึ้น ในการใช้ปุ๋ยเท่าเดิม หรือน้อยกว่าเดิม
ในเรื่องการจัดระบบการปลูกข้าวนั้น ตอนแรกผมเข้าใจว่าเคยตั้งเป็นกระทู้ไปแล้ว แต่ลองย้อน ๆ ไปหาดู กลับไม่เจอ ก็คงยังไม่ได้ตั้ง แต่วันนี้ยังไม่อยากคุยประเด็นนี้ ใครสนใจก็ลองค้นหาข้อมูลดูนะครับ เพราะคิดว่า ประเด็นนี้ อาจจะเป็นประเด็นที่วัดใจรัฐบาลนี้ ว่าที่บอกว่า จะมีการทำโน้นทำนี่ นั้นจะทำอะไรกันแน่ ให้การสนับสนุนเรื่องนี้ขนาดไหน
เพราะเท่าที่ตามข่าว มีแต่ข้าราชการที่ยังพูดถึง แต่นักการเมือง รัฐมนตรี ไม่น่าจะเคยได้ยินใครพูดถึง การสนับสนุนการทดลองจัดระบบการปลูกข้าวเลย
ก็ขอเรียบเรียงข้อมูลดูสักพัก อาจจะตั้งกระทู้ชวนคุยเรื่องจัดระบบการปลูกข้าว ดูความเป็นมา และความคืบหน้าดู
ส่วนประเด็นที่อยากจะคุยในวันนี้จะอยู่ในจุดที่ว่า ถ้าหากรัฐบาลทำได้สำเร็จ คือช่วยให้ชาวนาลดต้นทุนได้ เพิ่มผลผลิตได้จริง ปัญหาอะไรที่รัฐบาลควรคิดควบคู่ไป เพื่อไม่ให้สร้างปัญหาใหม่เกิดขึ้นมาอีก
ทุกวันนี้ คนในโลกนี้มีความต้องการใช้ข้าวรวมประมาณ 450 ล้านตัน โดยส่วนที่เป็นการค้าขายนั้นจะอยู่ไม่ถึง 10% คือประมาณ 35 ล้านตัน
ซึ่งการค้าขายนั้น มาจากกำลังการผลิตของบางประเทศไม่พอ ต้องนำเข้าจากประเทศที่กำลังการผลิตเหลือ
ซึ่งในรอบสองปีนี้ ที่ประเทศไทยใช้นโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ด สาเหตุนึงที่ทำให้ไทยขายข้าวได้น้อยลง อาจจะเป็นเพราะประเทศที่นำเข้าข้าว เริ่มนำเข้าน้อยลง เนื่องจากสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศได้
โดยตรงนี้ จากที่การค้าข้าวในโลก ที่อยู่ในปริมาณ 35 ล้านตัน ก็จะลดลงมาต่ำกว่านั้น เพราะคนซื้อ ซื้อน้อยลง
แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศที่ขายข้าว กลับมีปริมาณเพิ่มขึ้น ทั้งจากพม่า กัมพูชา
ดังนั้นเมื่อมองสถานการณ์ของไทย ถ้ารัฐบาลคิดว่า ภารกิจสำคัญของรัฐบาลอย่างนึง คือการช่วยให้ชาวนาอยู่ดีกินดีขึ้น
ตอนนี้ถ้าสามารถช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ทำให้ขายข้าวในราคาตลาดแล้ว ยังพอมีส่วนต่างมาดำรงชีวิตได้ก็ตาม
ซึ่งจากปริมาณการค้าข้าว ที่มีแนวโน้มจะลดลง แต่ไทยจะผลิตข้าวได้มากขึ้น และอาจจะส่งออกได้น้อยลง ก็จะทำให้มีส่วนต่างมีข้าวเหลือในประเทศมากขึ้น
เหมือนกับตอนนี้ที่มีข้าวในสต็อกของรัฐอยู่ 10 กว่าล้านตัน
สมมติว่า รัฐบาลสามารถเคลียร์กองนี้ได้ แต่ในอนาคต ถ้าหากมีข้าวเหลืออยู่ทุกปี ปีละ 5-6 ล้านตันข้าวสาร มันคงไม่ดีแน่ เพราะถึงจะตัดราคาขายแข่งกับประเทศอื่น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะมีตลาดเหลือไม่มากเท่าไหร่
ดังนั้นจุดนี้ ผมว่ารัฐบาลควรจะวางแผนเรื่องนี้ควบคู่ไป คือถ้าหากวางแผนจะช่วยให้ชาวนาอยู่ได้ นอกจากช่วยเรื่องต้นทุนที่ทำให้ปลูกแล้วอยู่ได้ ก็ต้องมองต่อไปว่า ปลูกออกมาแล้วต้องระบายออกไปได้ด้วย
ถ้าหากมองอนาคตแล้ว ขายได้น้อยกว่าที่ผลิตแน่ ๆ คงต้องมองว่า เราควรจะลดพื้นที่การปลูกข้าวลงหรือไม่ อาจจะสนับสนุนให้ชาวนาที่มีพื้นที่ปลูกมาก แบ่งพื้นที่ไปทำอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่ปลูกแต่ข้าว
เพราะบางทีอาจจะมองว่า การส่งออกข้าวอาจจะไม่ใช่วิธีการหารายได้ให้ประเทศที่ยั่งยืน เพราะยิ่งขายมากเหมือนทุกวันนี้ ก็เป็นการช่วยชาวโลก ไม่ใช่ช่วยชาวไทย
เพราะยิ่งขายมาก ประเทศก็ขาดทุนมาก
ดังนั้นถ้าหากมองว่า เราไม่มุ่งเน้นการขายข้าว แต่จะเน้นผลิตให้พอกินในประเทศ กับมีสต๊อกเหลือเพื่อความมั่นคงทางอาหารก็พอ
ก็คงต้องมองว่า พื้นที่ไหนปลูกข้าวแล้วไม่คุ้มค่า ก็ควรจะวางแผนผลักดัน ให้เปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น ที่มีความเหมาะสมมากกว่า
เพราะปัจจุบันไทยมีพื้นที่ปลูกข้าว 70 กว่าล้านไร่ ผลิตได้ 35 ล้านตัน
ถ้าในอนาคต ปลูกในพื้นที่เท่าเดิม แต่ผลผลิตเพิ่มขึ้น อาจจะเป็น 40 ล้านตัน หรือ 45 ล้านตัน
มันคงสร้างปัญหาใหม่ ที่สุดท้ายคงทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากทำลายทิ้ง
เพราะยอดขาย จะมีจำกัดจำนวนนึง ไม่ได้มากขึ้นเท่าไหร่
จะเก็บก็เก็บไม่ได้นาน และยิ่งเก็บก็มีค่าใช้จ่าย
ถ้าปลูกแล้วเก็บไปเก็บมา ต้องทำลายทิ้ง สู้ไม่เริ่มปลูกตั้งแต่ต้นเลยน่าจะดีกว่า
มองอนาคต การช่วยเหลือชาวนาไทย
ผมว่าตอนนี้ทุกคนน่าจะเห็นตรงกันระดับนึงว่า การช่วยเหลือชาวนาที่ดี ก็คือการช่วยให้ชาวนา "ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต"
อย่างสมมติว่า ตอนนี้ต้นทุนการผลิตของชาวนาคนนึง อยู่ที่ 8,000 บาทต่อตัน (เท่าที่รัฐบาลอ้างถึง)
แล้วขอสมมติต่อว่า ตัวเลข 8,000 บาท นั่นก็อาจจะมาจาก มีต้นทุนการปลูกที่ 4,000 บาทต่อไร่ โดยได้ผลผลิตไร่ละ 500 กก.
การช่วยชาวนาที่ผ่านมา จะไม่ได้ให้ความสนใจตรงที่ว่า จ่ายไปเท่าไหร่ แต่จะเน้นไปที่ว่า ทำให้ชาวนาได้เงินมากขึ้นกว่าที่รับตามกลไกปกติ
ทั้ง ๆ ที่ว่า ถ้าสมมติเราสามารถลดต้นทุนการปลูก จากไร่ละ 4,000 ลงเหลือ 3,500 บาท ได้ โดยได้ผลผลิตเท่าเดิม ต้นทุนการผลิตของชาวนาคนนี้ ก็จะเป็น 7,000 บาทต่อตัน
หรือถ้าต้นทุนการปลูกไม่ลด แต่สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เป็น 600 กก.ได้ ต้นทุนกการผลิตของชาวนา ก็จะลดเหลือ 6,667 บาท
หรือถ้าทำได้ทั้งสองอย่าง คือลดต้นทุนได้ด้วย และเพิ่มผลผลิตได้ด้วย อันนี้ก็ยิ่งทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงได้มากขึ้น
ซึ่งถ้าขายได้ราคาเดิม จากที่ขาดทุน หรือไม่มีกำไร ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นมีกำไรได้ โดยที่รัฐไม่ต้องช่วยอุดหนุนด้านราคาอีกต่อไป
ซึ่งแนวทางที่ควรทำเพื่อให้การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต สามารถมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น จริง ๆ แล้ว ทางรัฐบาลก็ได้ทำมาอยู่แล้ว คือเรื่องการจัดระบบการปลูกข้าว ซึ่งตามแนวทางที่ทำ ก็จะสามารถช่วยให้ชาวนาได้ลดต้นทุนได้ เพราะสามารถตัดวงจรชีวิตศัตรูพืชได้ ทำให้ใช้ยาน้อยลง มีการจัดระเบียบเรื่องการใช้น้ำ ทำให้มีน้ำใช้ได้ตามวงรอบที่ต้องการ ก็จะประหยัดค่าน้ำมันเครื่องสูบน้ำได้
และถ้าทำตามขั้นตอนที่ทางราชการแนะนำ ไม่ปลูกแบบต่อเนื่อง มีการพักดิน ก็จะสามารถให้ผลผลิตได้ปริมาณมากขึ้น ในการใช้ปุ๋ยเท่าเดิม หรือน้อยกว่าเดิม
ในเรื่องการจัดระบบการปลูกข้าวนั้น ตอนแรกผมเข้าใจว่าเคยตั้งเป็นกระทู้ไปแล้ว แต่ลองย้อน ๆ ไปหาดู กลับไม่เจอ ก็คงยังไม่ได้ตั้ง แต่วันนี้ยังไม่อยากคุยประเด็นนี้ ใครสนใจก็ลองค้นหาข้อมูลดูนะครับ เพราะคิดว่า ประเด็นนี้ อาจจะเป็นประเด็นที่วัดใจรัฐบาลนี้ ว่าที่บอกว่า จะมีการทำโน้นทำนี่ นั้นจะทำอะไรกันแน่ ให้การสนับสนุนเรื่องนี้ขนาดไหน
เพราะเท่าที่ตามข่าว มีแต่ข้าราชการที่ยังพูดถึง แต่นักการเมือง รัฐมนตรี ไม่น่าจะเคยได้ยินใครพูดถึง การสนับสนุนการทดลองจัดระบบการปลูกข้าวเลย
ก็ขอเรียบเรียงข้อมูลดูสักพัก อาจจะตั้งกระทู้ชวนคุยเรื่องจัดระบบการปลูกข้าว ดูความเป็นมา และความคืบหน้าดู
ส่วนประเด็นที่อยากจะคุยในวันนี้จะอยู่ในจุดที่ว่า ถ้าหากรัฐบาลทำได้สำเร็จ คือช่วยให้ชาวนาลดต้นทุนได้ เพิ่มผลผลิตได้จริง ปัญหาอะไรที่รัฐบาลควรคิดควบคู่ไป เพื่อไม่ให้สร้างปัญหาใหม่เกิดขึ้นมาอีก
ทุกวันนี้ คนในโลกนี้มีความต้องการใช้ข้าวรวมประมาณ 450 ล้านตัน โดยส่วนที่เป็นการค้าขายนั้นจะอยู่ไม่ถึง 10% คือประมาณ 35 ล้านตัน
ซึ่งการค้าขายนั้น มาจากกำลังการผลิตของบางประเทศไม่พอ ต้องนำเข้าจากประเทศที่กำลังการผลิตเหลือ
ซึ่งในรอบสองปีนี้ ที่ประเทศไทยใช้นโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ด สาเหตุนึงที่ทำให้ไทยขายข้าวได้น้อยลง อาจจะเป็นเพราะประเทศที่นำเข้าข้าว เริ่มนำเข้าน้อยลง เนื่องจากสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศได้
โดยตรงนี้ จากที่การค้าข้าวในโลก ที่อยู่ในปริมาณ 35 ล้านตัน ก็จะลดลงมาต่ำกว่านั้น เพราะคนซื้อ ซื้อน้อยลง
แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศที่ขายข้าว กลับมีปริมาณเพิ่มขึ้น ทั้งจากพม่า กัมพูชา
ดังนั้นเมื่อมองสถานการณ์ของไทย ถ้ารัฐบาลคิดว่า ภารกิจสำคัญของรัฐบาลอย่างนึง คือการช่วยให้ชาวนาอยู่ดีกินดีขึ้น
ตอนนี้ถ้าสามารถช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ทำให้ขายข้าวในราคาตลาดแล้ว ยังพอมีส่วนต่างมาดำรงชีวิตได้ก็ตาม
ซึ่งจากปริมาณการค้าข้าว ที่มีแนวโน้มจะลดลง แต่ไทยจะผลิตข้าวได้มากขึ้น และอาจจะส่งออกได้น้อยลง ก็จะทำให้มีส่วนต่างมีข้าวเหลือในประเทศมากขึ้น
เหมือนกับตอนนี้ที่มีข้าวในสต็อกของรัฐอยู่ 10 กว่าล้านตัน
สมมติว่า รัฐบาลสามารถเคลียร์กองนี้ได้ แต่ในอนาคต ถ้าหากมีข้าวเหลืออยู่ทุกปี ปีละ 5-6 ล้านตันข้าวสาร มันคงไม่ดีแน่ เพราะถึงจะตัดราคาขายแข่งกับประเทศอื่น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะมีตลาดเหลือไม่มากเท่าไหร่
ดังนั้นจุดนี้ ผมว่ารัฐบาลควรจะวางแผนเรื่องนี้ควบคู่ไป คือถ้าหากวางแผนจะช่วยให้ชาวนาอยู่ได้ นอกจากช่วยเรื่องต้นทุนที่ทำให้ปลูกแล้วอยู่ได้ ก็ต้องมองต่อไปว่า ปลูกออกมาแล้วต้องระบายออกไปได้ด้วย
ถ้าหากมองอนาคตแล้ว ขายได้น้อยกว่าที่ผลิตแน่ ๆ คงต้องมองว่า เราควรจะลดพื้นที่การปลูกข้าวลงหรือไม่ อาจจะสนับสนุนให้ชาวนาที่มีพื้นที่ปลูกมาก แบ่งพื้นที่ไปทำอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่ปลูกแต่ข้าว
เพราะบางทีอาจจะมองว่า การส่งออกข้าวอาจจะไม่ใช่วิธีการหารายได้ให้ประเทศที่ยั่งยืน เพราะยิ่งขายมากเหมือนทุกวันนี้ ก็เป็นการช่วยชาวโลก ไม่ใช่ช่วยชาวไทย
เพราะยิ่งขายมาก ประเทศก็ขาดทุนมาก
ดังนั้นถ้าหากมองว่า เราไม่มุ่งเน้นการขายข้าว แต่จะเน้นผลิตให้พอกินในประเทศ กับมีสต๊อกเหลือเพื่อความมั่นคงทางอาหารก็พอ
ก็คงต้องมองว่า พื้นที่ไหนปลูกข้าวแล้วไม่คุ้มค่า ก็ควรจะวางแผนผลักดัน ให้เปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น ที่มีความเหมาะสมมากกว่า
เพราะปัจจุบันไทยมีพื้นที่ปลูกข้าว 70 กว่าล้านไร่ ผลิตได้ 35 ล้านตัน
ถ้าในอนาคต ปลูกในพื้นที่เท่าเดิม แต่ผลผลิตเพิ่มขึ้น อาจจะเป็น 40 ล้านตัน หรือ 45 ล้านตัน
มันคงสร้างปัญหาใหม่ ที่สุดท้ายคงทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากทำลายทิ้ง
เพราะยอดขาย จะมีจำกัดจำนวนนึง ไม่ได้มากขึ้นเท่าไหร่
จะเก็บก็เก็บไม่ได้นาน และยิ่งเก็บก็มีค่าใช้จ่าย
ถ้าปลูกแล้วเก็บไปเก็บมา ต้องทำลายทิ้ง สู้ไม่เริ่มปลูกตั้งแต่ต้นเลยน่าจะดีกว่า