"ประชาธิปไตยไทยๆ" ...... "ซูม" .... ไทยรัฐออนไลน์

กระทู้สนทนา
ผมต้องขอขอบคุณสถาบันปรีดี พนมยงค์ ที่กรุณาส่งจดหมายมาแจ้งให้ผมทราบ
มาหลายวันแล้วว่า วันนี้ (24 มิถุนายน 2556) ทางสถาบันฯ จะจัดให้มี
การแสดงปาฐกถาและการอภิปรายที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่เวลา 14.00 น.

เริ่มจากปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ชีวประวัติของพลเมืองไทย : กำเนิด, พัฒนาการ,
และอุปสรรคกับภาระกิจการปกป้องประชาธิปไตย (2475-ปัจจุบัน)” โดย ดร.ณัฐพล ใจจริง
และการอภิปรายในหัวข้อ “80 ปี เค้าโครงการเศรษฐกิจฯ” โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร,
ดร.ผาสุก พงษไพจิตร, คุณสันติสุข โสภณสิริ, อาจารย์ สฤณี อาชวานันทกุล, ดร.อนุสรรณ์
ธรรมใจ ฯลฯ

ขอเชิญเข้ารับฟังได้โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ที่หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ เลขที่ 65/1 ถนนสุขุมวิท 55 (ซอยทองหล่อ)
ตามเวลาที่แจ้งไว้ข้างต้น

ที่ผมเอ่ยคำว่าขอบคุณทางสถาบันฯเอาไว้ตั้งแต่ประโยคแรกของข้อเขียนวันนี้
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะถ้าจะว่าไปผมเองก็เกือบจะลืมไปแล้วเหมือนกันว่าวันนี้ 24
มิถุนายนนั้นมีความสำคัญอย่างไร

เพราะโลกเราทุกวันนี้มีความสำคัญเยอะเหลือเกิน
ได้รับแจ้งอยู่ตลอดว่าวันนั้นเป็นวันสำคัญของเรื่องนี้ วันโน้นของเรื่องโน้น
จนเกือบจะเรียกได้ว่าทั้ง 365 วัน เป็นวันสำคัญทั้งหมด และเกือบลืมวันนี้ซะสนิท

จนกระทั่งมาอ่านเจอจดหมายของสถาบันปรีดีฯนี่แหละครับ
ที่ทำให้รำลึกได้ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบ 81 ปี
ของการเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย

หากเทียบกับอายุขัยของมนุษย์เราแล้ว บุคคลที่มีอายุผ่านหลัก 80 ปี
ถือว่าเป็นผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์

เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและเปี่ยมไปด้วยบารมี สามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยวหรือเป็นหลัก
ในการรวมใจและความเคารพรักใคร่ของลูกๆหลานๆในครอบครัวได้อย่างดียิ่ง

แต่น่าเสียดายที่ระบอบประชาธิปไตยของเรามิได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
มีการสะดุดเป็นช่วงๆ และบางช่วงก็ยาวนานพอสมควร

เมื่อเปรียบกับมนุษย์เราจึงเหมือนกับผู้ที่โชคร้ายมีโรคแทรกซ้อนอยู่เสมอๆ
เดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่

พออายุย่าง 80 ปี จึงดูเหมือนคนป่วยกระเสาะกระแสะ
กลายเป็นผู้สูงอายุที่สร้างความห่วงใยให้แก่ลูกๆหลานๆเสียมากกว่า
ที่จะเป็นหลักของครอบครัวดังตัวอย่างที่กล่าวไว้

แต่โดยที่ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่พิสูจน์แล้วว่า ดีที่สุดในโลก  ดังนั้น
ไม่ว่าจะป่วยกระเสาะกระแสะแค่ไหน เราก็จะต้องช่วยกันบำรุงรักษาให้ยั่งยืนต่อไป

ช่วยกันเพาะบ่ม ช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำนุบำรุงให้มีความแข็งแรง
กระฉับกระเฉงเคียงคู่ประเทศไทยของเราต่อไปในอนาคต

วิธีเพาะบ่มและทำนุบำรุงที่สำคัญที่สุด จะต้องเริ่มมาจากตัวเรานี่แหละครับ
ผมหมายถึงเราทุกคนที่เป็นคนไทยนี่แหละครับ

เหตุที่ประชาธิปไตยบ้านเราล้มลุกคลุกคลานบ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็มาจากความใจร้อน
ของคนไทย ความเอาแต่ใจตัวเอง คิดว่าตัวเองถูกอยู่เสมอ ไม่ค่อยฟังคนอื่น
ไม่ค่อยยอมรับความเห็นของคนอื่นๆ

เราก็จะต้องปรับตัวเองให้ใจเย็นมากขึ้น รับฟังคนอื่นมากขึ้น
ยอมรับความเห็นของคนอื่นๆมากขึ้น

ลึกลงไปอีกระดับหนึ่ง เนื่องจากพี่น้องหลายๆส่วนของบ้านเรายังยากจนอยู่
การเล่าเรียนยังไม่มากนัก
ใครเขาเอาเงินมาหว่านโปรยมาซื้อเสียงท่าน...ท่านก็ขายให้ด้วยความเต็มใจ

ทำให้เราได้นักการเมืองคนแล้วคนเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า
ที่เป็นปัญหาอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของเราในปัจจุบัน

ผมตระหนักดีว่าการแก้ปัญหาในประเด็นหลังนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ก็น่าจะแก้ได้
โดยใช้เวลาในการให้ความรู้ให้แก่พี่น้องของเรากลุ่มนี้ไปเรื่อยๆ
ผ่านการศึกษาทั้งในระบบโรงเรียน และนอกระบบโรงเรียน

สักวันหนึ่งท่านจะรู้จะเข้าใจและลุกขึ้นมาปฏิเสธนักการเมืองที่เป็น
อุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตยด้วยตัวท่านเอง

รวมความแล้วขอให้อดทนอดกลั้นต่อไป มุ่งมั่นพัฒนาระบบประชาธิปไตยต่อไปว่างั้นเถอะ

วิชาอื่นๆอาจใช้วิธี “โตแล้วเรียนลัด” ได้ แต่วิชาประชาธิปไตยเรียนลัดยาก
เพราะต้องขึ้นกับการปฏิบัติและความรู้สึกนึกคิดของประชาชนด้วย

ก็ไม่เป็นไร...ขอให้ทำใจและตั้งใจกันซะใหม่...พร้อมกับเดินหน้าต่อไป...อย่าใจร้อน
อย่าไปเรียกร้องระบอบอื่นๆมาทำให้ประชา- ธิปไตยของเราสะดุดซะอีกก็แล้วกัน.


“ซูม”

http://www.thairath.co.th/column/pol/hehapatee/352916

ชอบมากค่ะ "โตแล้วเรียนลัด" ก็เลยจะพัฒนาประชาธิปไตย  ผ่านการรัฐประหาร  ทำมาแล้ว
ทุก 10  ถึง 15  ปี  แต่ทำไปแล้ว  ประชาธิปไตย  พัฒนาไปแค่ไหน  ก็คงจะรู้กันดี  ....
นานๆ  "ซูม" จะแตะเรื่องแบบนี้ที   โดนใจ  จริงๆค่ะ  
นึกถึง อ.จ.วรเจตน์  ใช้อีกแบบค่ะ  ประชาธิปไตย  ไม่ใข่อาหารจานด่วน  ค่ะ  ต้องพัฒนาผ่าน
การเลือกการตั้ง ให้ประชาชน  ลองผิดลองถูก
    ยิ้ม

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่