18 มิ.ย.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัวที่ใช้ username ว่า Thirachai Phuvanatnaranubala เกี่ยวกับคำแถลงของนายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีตัวเลขการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวว่ามีการขาดทุนประมาณ 1.36 แสนล้านบาท โดยประเมินถึงการทำบัญชีของรัฐบาลที่อ้างถึงสต็อกข้าว
“ตามมาตรฐานบัญชีทั่วไป การตรวจนับสต๊อก ต้องกระทำทุกครั้งที่มีการปิดบัญชี และต้องทำพร้อมกันทั่วประเทศ โดยห้ามเคลื่อนย้ายข้าวในวันนั้น เพื่อป้องกันการเวียนเทียนสต๊อกจากโรงสีแห่งหนึ่ง ไปโรงสีอีกแห่งหนึ่ง ...หากตรวจนับแล้ว ปรากฏว่ามีข้าวหายไป สมมุติว่าข้าวที่ตรวจนับจริง ถ้าหากมีอยู่น้อยกว่าตัวเลขที่ใช้ ขาดทุนก็จะมากกว่า 1.36 แสนล้านบาท”
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการตีราคาสต๊อกข้าวโดยใช้ราคาตลาด ณ วันปิดบัญชี แต่ราคาตลาด ณ วันปิดบัญชีนั้น เป็นราคาของข้าวที่มีมาตรฐานดีตามที่ตลาดกำหนด ถ้าหากว่าคุณภาพข้าวด้อยลง ราคาที่ใช้คำนวณจะต้องลดลง ให้สอดคล้องกับสภาพจริงของสต๊อกข้าวด้วย ถ้าสภาพของข้าว มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานตลาด ขาดทุนก็จะสูงกว่า 1.36 แสนล้านขึ้นไปอีก
นายธีระชัย ชี้ว่า ในการขายข้าวในส็อกนั้น ต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 3-4 ปี จึงจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นอีกมาก ที่ยังต้องหักออกจากมูลค่าสต๊อก ซึ่งจะทำให้ขาดทุนสูงกว่า 1.36 แสนล้านแน่นอน แต่ข้าวที่จะใช้ขายใน 3-4 ปีนั้น เป็นเฉพาะข้าวที่รับจำนำในปีที่หนึ่ง ดังนั้นข้าวที่รับจำนำในปีที่สอง จะต้องรอคิวข้าวปีที่หนึ่งให้ขายหมดไปก่อน จะต้องรอไปอีกกี่ปี
อดีต รมว.คลัง โพสต์สรุปไว้ในตอนท้ายว่า ตัวเลข 2.6 แสนล้านบาทที่ปรากฎตามสื่อต่างๆ นั้น เป็นตัวเลขที่อนุกรรมการปิดบัญชีประเมินไว้ 1 ปี 6 เดือน หรือ 3 ฤดูการผลิต ไม่ใช่ตัวเลขที่รัฐบาลพูดถึง ซึ่งเป็นตัวเลขขาดทุนสะสมจนล่าสุด ไม่ว่าจะสำหรับสามงวด หรือต่อไปจะสำหรับสี่งวด เป็นตัวเลขที่แสดงภาระของรัฐ ต่อฐานะด้านการคลัง และบริษัทประเมินเครดิตและนักวิเคราะห์สากล จะติดตามตัวเลขทำนองนี้
http://www.naewna.com/politic/56148
'ธีระชัย'ชี้'ปู'สามวาสองศอก มูดี้ส์จี้ติดข้าวเจ๊ง2.6แสนล.แน่
“ตามมาตรฐานบัญชีทั่วไป การตรวจนับสต๊อก ต้องกระทำทุกครั้งที่มีการปิดบัญชี และต้องทำพร้อมกันทั่วประเทศ โดยห้ามเคลื่อนย้ายข้าวในวันนั้น เพื่อป้องกันการเวียนเทียนสต๊อกจากโรงสีแห่งหนึ่ง ไปโรงสีอีกแห่งหนึ่ง ...หากตรวจนับแล้ว ปรากฏว่ามีข้าวหายไป สมมุติว่าข้าวที่ตรวจนับจริง ถ้าหากมีอยู่น้อยกว่าตัวเลขที่ใช้ ขาดทุนก็จะมากกว่า 1.36 แสนล้านบาท”
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการตีราคาสต๊อกข้าวโดยใช้ราคาตลาด ณ วันปิดบัญชี แต่ราคาตลาด ณ วันปิดบัญชีนั้น เป็นราคาของข้าวที่มีมาตรฐานดีตามที่ตลาดกำหนด ถ้าหากว่าคุณภาพข้าวด้อยลง ราคาที่ใช้คำนวณจะต้องลดลง ให้สอดคล้องกับสภาพจริงของสต๊อกข้าวด้วย ถ้าสภาพของข้าว มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานตลาด ขาดทุนก็จะสูงกว่า 1.36 แสนล้านขึ้นไปอีก
นายธีระชัย ชี้ว่า ในการขายข้าวในส็อกนั้น ต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 3-4 ปี จึงจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นอีกมาก ที่ยังต้องหักออกจากมูลค่าสต๊อก ซึ่งจะทำให้ขาดทุนสูงกว่า 1.36 แสนล้านแน่นอน แต่ข้าวที่จะใช้ขายใน 3-4 ปีนั้น เป็นเฉพาะข้าวที่รับจำนำในปีที่หนึ่ง ดังนั้นข้าวที่รับจำนำในปีที่สอง จะต้องรอคิวข้าวปีที่หนึ่งให้ขายหมดไปก่อน จะต้องรอไปอีกกี่ปี
อดีต รมว.คลัง โพสต์สรุปไว้ในตอนท้ายว่า ตัวเลข 2.6 แสนล้านบาทที่ปรากฎตามสื่อต่างๆ นั้น เป็นตัวเลขที่อนุกรรมการปิดบัญชีประเมินไว้ 1 ปี 6 เดือน หรือ 3 ฤดูการผลิต ไม่ใช่ตัวเลขที่รัฐบาลพูดถึง ซึ่งเป็นตัวเลขขาดทุนสะสมจนล่าสุด ไม่ว่าจะสำหรับสามงวด หรือต่อไปจะสำหรับสี่งวด เป็นตัวเลขที่แสดงภาระของรัฐ ต่อฐานะด้านการคลัง และบริษัทประเมินเครดิตและนักวิเคราะห์สากล จะติดตามตัวเลขทำนองนี้
http://www.naewna.com/politic/56148