สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
เรียนคุณผู้อ่านทุกท่าน
เรากำลังจะตั้งกระทู้สอนทำไอติมในห้องก้นครัว (เราเรียนมาจากน้าที่เปิดร้านไอติมโฮมเมดอยู่ในอิตาลี, เรียนจาก อ.ชื่อดัีงที่เปิดสอนในไทย
และเรียนจากคุณป้าแถวบ้านที่ขายไอติมกะทิโบราณ โดยใช้เครื่องปั่นแบบโบราณ)
เราจะสอนให้ทุกรสที่ทำเป็น รีวิวเครื่องแบบต่างๆ ให้ดู ว่าแต่ละเครื่องให้เนื้อไอติมแบบไหน จำเป็นหรือไม่ที่ต้องซื้อของแพง
ดังนั้นใครที่คิดจะไปเรียน หรือกำลังจะซื้อเครื่อง กรุณารอกระทู้เราก่อน จะรีบถ่ายรูปและนำมาโพสภายในสัปดาห์นี้อย่างช้าก็สัปดาห์หน้า
ต้องบอกก่อนว่าเราไม่มีผลประโยชน์ใดๆ นะคะ เราไม่ใช่โรงเรียนสอนทำไอติม ไม่ได้ขายวัตถุดิบ ไม่ได้ขายเครื่อง แต่ทำเพราะหลงรักไอติม
จริงๆ เราอยากอุทิศส่วนกุศลจากการเผยแพร่ความรู้ในครั้งนี้ให้กับคนที่เรารัก และให้กับตัวเองที่กำลังป่วย หมอสั่งให้เราหยุดงานซึ่งเรา
ยินดีหยุดทำงานอื่นๆ แต่ไม่อยากหยุดทำไอติม
ใครที่อยากดูกระทู้สอนทำไอติมและรีวิวเครื่องทำไอติมของเรา ให้มาลงชื่อไว้ในกระทู้นี้ก็ได้ค่ะ พอเราตั้งกระทู้จะได้หลังไมค์ไปตาม
เรากำลังจะตั้งกระทู้สอนทำไอติมในห้องก้นครัว (เราเรียนมาจากน้าที่เปิดร้านไอติมโฮมเมดอยู่ในอิตาลี, เรียนจาก อ.ชื่อดัีงที่เปิดสอนในไทย
และเรียนจากคุณป้าแถวบ้านที่ขายไอติมกะทิโบราณ โดยใช้เครื่องปั่นแบบโบราณ)
เราจะสอนให้ทุกรสที่ทำเป็น รีวิวเครื่องแบบต่างๆ ให้ดู ว่าแต่ละเครื่องให้เนื้อไอติมแบบไหน จำเป็นหรือไม่ที่ต้องซื้อของแพง
ดังนั้นใครที่คิดจะไปเรียน หรือกำลังจะซื้อเครื่อง กรุณารอกระทู้เราก่อน จะรีบถ่ายรูปและนำมาโพสภายในสัปดาห์นี้อย่างช้าก็สัปดาห์หน้า
ต้องบอกก่อนว่าเราไม่มีผลประโยชน์ใดๆ นะคะ เราไม่ใช่โรงเรียนสอนทำไอติม ไม่ได้ขายวัตถุดิบ ไม่ได้ขายเครื่อง แต่ทำเพราะหลงรักไอติม
จริงๆ เราอยากอุทิศส่วนกุศลจากการเผยแพร่ความรู้ในครั้งนี้ให้กับคนที่เรารัก และให้กับตัวเองที่กำลังป่วย หมอสั่งให้เราหยุดงานซึ่งเรา
ยินดีหยุดทำงานอื่นๆ แต่ไม่อยากหยุดทำไอติม
ใครที่อยากดูกระทู้สอนทำไอติมและรีวิวเครื่องทำไอติมของเรา ให้มาลงชื่อไว้ในกระทู้นี้ก็ได้ค่ะ พอเราตั้งกระทู้จะได้หลังไมค์ไปตาม
ความคิดเห็นที่ 16
น้องบีใช้บ้านตัวเองเป็นที่ทำไอติม แล้วยกไปขายหน้าโรงเรียนใหญ่ใกล้บ้าน
พอโรงเรียนเลิกปุ๊บ เด็กๆ ก็กรูกันออกมาหาของกิน สิ่งที่เราและน้องบีคาดไว้ก็เป็นจริง คือมีรถของไอติมเนสเล่และวอลล์ ขับมาจอดเทียบ
ไอติมของน้องบีเป็นของโนเนม แถมขายลูกละ 15 บาทเท่าของมียี่ห้อ แล้วใครจะซื้อ...
กลยุทธ์ที่เราเตรีัยมกันไว้คือเรามีป้ายใหญ่ๆ เขียนว่า "ชิมฟรีค่ะ" เราให้น้องบีเตรียมช้อนพลาสติกอันเล็กๆ (ขายเป็นห่อใหญ่ๆ ที่แมคโคร)
ไว้เพื่อตักให้เด็กชิม และมีถังไปเล็กๆ ไว้ทิ้งช้อนให้เห็นว่าเราไม่ได้ใช้ซ้ำ (แต่เอากลับมาล้างน้ำยาล้างจานให้สะอาดเพื่อใช้ในวันต่อไป)
พอเด็กๆ เข้ามาเมียงมอง พี่บีก็เรียกมาิชิม สิ่งที่เกิดขึ้นคือทุกคนชิมแล้วซื้อ แล้วก็ไปบอกต่อๆ กันว่าไอติมเจ้าใหม่หน้าโรงเรียนอร่อยมาก
ผ่านไปไม่นานน้องบีต้องเพิ่มถังไอติมเป็น 2 เป็น 3 จนถึงสี่ถังสี่รส มีแม่กับน้ามาช่วยกันตัก ได้กำไรวันละ 1500 บาท ใช้เวลาขายประมาณ
ไม่ถึงชั่วโมง
พอโรงเรียนแรกอยู่ตัว เธอก็ไปจองที่หน้าโรงเรียนอื่น ส่วนที่เก่านั้นจ้างคนขายสองคน เป็นคนที่บ้านอยู่แถวๆ นั้น ให้คนละ 150 บาท
พอที่ใหม่อยู่ตัว ก็จ้างคนมาขาย แล้วตัวเองกับแม่และน้าก็ย้ายไปที่ใหม่ ทำเช่นนี้จนได้พื้นที่ขายหน้าโรงเรียนใหญ่ครบทุกโรงเรียน
ต่อมาขยายไปยังตลาดนัด แรกๆ ก็ขายเอง พออยู่ตัวก็หาจ้างคนที่ทำงานอยู่ในตลาดนั่นแหละมา่ขาย ตัวเองก็ย้่ายไปขายตลาดนัดอื่น
หลังๆ ติดป้ายที่ตู้ไอติมว่ารับทำส่งด้วย
สรุปตอนนี้บ้านนางทำไอติมเป็นล่ำเป็นสัน พ่อแม่ไม่ต้องทำก่อสร้างแล้ว แต่นางไม่คิดจะเปิดร้านเพราะมองว่าการนั่งเฝ้าร้านทั้งวันเป็น
เรื่องน่าเบื่อ ไหนจะต้องรับใช้เอาใจลูกค้า ฯลฯ
ที่สำคัญคือน้องบีไม่เคยคิดจะซื้อเครื่องปั่นไอติมราคาเป็นแสนเลย เพราะรู้ว่าเครื่องราคาเป็นแสนกับราคาเจ็ดพัน ให้ไอศกรีมเนื้อใกล้
เคียงกันมาก (ถ้าคุณทำเป็น) นางเพียงแต่ซื้อเครื่องราคาเจ็ดพันเพิ่มอีกสองเครื่อง รวมทั้งหมดมี 3 เครื่อง สามเครื่องนี้กำลังผลิต 15
กิโลกรัม ต่อ 15 นาที!!
พอโรงเรียนเลิกปุ๊บ เด็กๆ ก็กรูกันออกมาหาของกิน สิ่งที่เราและน้องบีคาดไว้ก็เป็นจริง คือมีรถของไอติมเนสเล่และวอลล์ ขับมาจอดเทียบ
ไอติมของน้องบีเป็นของโนเนม แถมขายลูกละ 15 บาทเท่าของมียี่ห้อ แล้วใครจะซื้อ...
กลยุทธ์ที่เราเตรีัยมกันไว้คือเรามีป้ายใหญ่ๆ เขียนว่า "ชิมฟรีค่ะ" เราให้น้องบีเตรียมช้อนพลาสติกอันเล็กๆ (ขายเป็นห่อใหญ่ๆ ที่แมคโคร)
ไว้เพื่อตักให้เด็กชิม และมีถังไปเล็กๆ ไว้ทิ้งช้อนให้เห็นว่าเราไม่ได้ใช้ซ้ำ (แต่เอากลับมาล้างน้ำยาล้างจานให้สะอาดเพื่อใช้ในวันต่อไป)
พอเด็กๆ เข้ามาเมียงมอง พี่บีก็เรียกมาิชิม สิ่งที่เกิดขึ้นคือทุกคนชิมแล้วซื้อ แล้วก็ไปบอกต่อๆ กันว่าไอติมเจ้าใหม่หน้าโรงเรียนอร่อยมาก
ผ่านไปไม่นานน้องบีต้องเพิ่มถังไอติมเป็น 2 เป็น 3 จนถึงสี่ถังสี่รส มีแม่กับน้ามาช่วยกันตัก ได้กำไรวันละ 1500 บาท ใช้เวลาขายประมาณ
ไม่ถึงชั่วโมง
พอโรงเรียนแรกอยู่ตัว เธอก็ไปจองที่หน้าโรงเรียนอื่น ส่วนที่เก่านั้นจ้างคนขายสองคน เป็นคนที่บ้านอยู่แถวๆ นั้น ให้คนละ 150 บาท
พอที่ใหม่อยู่ตัว ก็จ้างคนมาขาย แล้วตัวเองกับแม่และน้าก็ย้ายไปที่ใหม่ ทำเช่นนี้จนได้พื้นที่ขายหน้าโรงเรียนใหญ่ครบทุกโรงเรียน
ต่อมาขยายไปยังตลาดนัด แรกๆ ก็ขายเอง พออยู่ตัวก็หาจ้างคนที่ทำงานอยู่ในตลาดนั่นแหละมา่ขาย ตัวเองก็ย้่ายไปขายตลาดนัดอื่น
หลังๆ ติดป้ายที่ตู้ไอติมว่ารับทำส่งด้วย
สรุปตอนนี้บ้านนางทำไอติมเป็นล่ำเป็นสัน พ่อแม่ไม่ต้องทำก่อสร้างแล้ว แต่นางไม่คิดจะเปิดร้านเพราะมองว่าการนั่งเฝ้าร้านทั้งวันเป็น
เรื่องน่าเบื่อ ไหนจะต้องรับใช้เอาใจลูกค้า ฯลฯ
ที่สำคัญคือน้องบีไม่เคยคิดจะซื้อเครื่องปั่นไอติมราคาเป็นแสนเลย เพราะรู้ว่าเครื่องราคาเป็นแสนกับราคาเจ็ดพัน ให้ไอศกรีมเนื้อใกล้
เคียงกันมาก (ถ้าคุณทำเป็น) นางเพียงแต่ซื้อเครื่องราคาเจ็ดพันเพิ่มอีกสองเครื่อง รวมทั้งหมดมี 3 เครื่อง สามเครื่องนี้กำลังผลิต 15
กิโลกรัม ต่อ 15 นาที!!
ความคิดเห็นที่ 3
ตอนนี้่ทำอยู่ค่ะ ที่ต่างจังหวัดเหมือนกัน ปัญหาหลักๆ มีดังนี้นะคะ (เรากำลังจะทำลายความฝัน จขกท. หรือเปล่านี่)
ปัญหาคือคน ตจว. ส่วนมากมีทัศนคติที่ว่า ไอติมวอลล์และเ่นสเล่คือของมียี่ห้อ ส่วนไอติมโฮมเมดนั้นเป็นของบ้านๆ
ต่อให้ส่วนผสมของเราเลิศขนาดไหน เนื้อไอติมเทพขนาดไหน ไอติมเราก็คือของไม่มียี่ห้อ
โดยสรุปก็คือคนยังไม่รู้จักว่าไอติมโอมเมดนั้นคือไอติมที่ส่วนผสมดีและเนื้อดีเป็นพิเศษ ทัศนะแบบนี้ทำให้เราขายแพง
กว่าวอลล์ หรือเนสเล่ไม่ได้ (ในขณะที่ต้นทุนเราสูงกว่ามาก)
เรามีร้านอาหาร มีโรงเรียน และมีร้านไอติมในห้างโลตัส เป็นของตัวเอง ฟังดูแล้วมันเอื้อต่อธุรกิจไอศกรีมมากๆ เลยใช่ไหม
แต่ความเป็นจริงคือเราได้แต่ความสนุกเท่านั้นแหละค่ะ การทำไอศกรีมเป็น "การละเล่น" อย่างหนึ่งของเราเท่านั้น
มันไม่สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะเราไม่สามารถขายแพงได้
เรามีร้านไอติมอยู่ในศูนย์อาหารของห้างโลตัส วางตู้ไอติมของเนสเล่ ขายอยู่ก้อนละ 15 บาท เราเอาไอติมโฮมเมดไปวาง
แทรกในตู้เนสเล่ ปักป้ายว่าเป็นโฮมเมดให้ชิมฟรี (ให้ชิมเป็นช้อนเล็กๆ) พนักงานตักให้ชิมแล้วลูกค้าทุกคนก็อุทานว่าอร่อยจัง
แต่พอพนักงานแจ้งว่าลูกละ 25 บาท ลูกค้ากว่าครึ่งก็เปลี่ยนใจกินเนสเล่ลูกละ 15 บาทแทน
ถามว่าทำไมขายลูกละ 15 บาทเท่าเนสเล่ไม่ได้ เหตุผลก็ต้นทุนมันสูง มีคนที่อยากทำธุรกิจไอติมโฮมเมดจำนวนมากยังเข้าใจ
ผิดว่าทำไอติมเองจะได้ราคาถูกกว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ไอติมโฮมเมดคือไอติมเนื้อดี ส่วนผสมดี เป็นไอติมต้นทุนสูง
สุดท้ายเราก็ต้องขายลูกละ 15 บาท ถามว่ามีกำไรไหม ก็มีพอสมควรเพราะเป็นการขายเอาปริมาณ คือกำไรต่อชิ้นน้อย แต่
ขายได้มากชิ้น ซึ่งต้องไม่ลืมว่าเราเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ขายดีอยู่แล้ว และเป็นเจ้าของโรงเรียนซึ่งไอติมมันเป็นของโปรด
ของเด็กๆ
มีน้องสองคนมาขอเรียนกับเรา และไปเปิดธุรกิจของตัวเอง คนนึงรุ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งร่วง เราจะเล่าให้ฟังเพื่อเป็นบทเรียนกับ
คนที่อยากทำธุรกิจนี้นะคะ
ปัญหาคือคน ตจว. ส่วนมากมีทัศนคติที่ว่า ไอติมวอลล์และเ่นสเล่คือของมียี่ห้อ ส่วนไอติมโฮมเมดนั้นเป็นของบ้านๆ
ต่อให้ส่วนผสมของเราเลิศขนาดไหน เนื้อไอติมเทพขนาดไหน ไอติมเราก็คือของไม่มียี่ห้อ
โดยสรุปก็คือคนยังไม่รู้จักว่าไอติมโอมเมดนั้นคือไอติมที่ส่วนผสมดีและเนื้อดีเป็นพิเศษ ทัศนะแบบนี้ทำให้เราขายแพง
กว่าวอลล์ หรือเนสเล่ไม่ได้ (ในขณะที่ต้นทุนเราสูงกว่ามาก)
เรามีร้านอาหาร มีโรงเรียน และมีร้านไอติมในห้างโลตัส เป็นของตัวเอง ฟังดูแล้วมันเอื้อต่อธุรกิจไอศกรีมมากๆ เลยใช่ไหม
แต่ความเป็นจริงคือเราได้แต่ความสนุกเท่านั้นแหละค่ะ การทำไอศกรีมเป็น "การละเล่น" อย่างหนึ่งของเราเท่านั้น
มันไม่สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะเราไม่สามารถขายแพงได้
เรามีร้านไอติมอยู่ในศูนย์อาหารของห้างโลตัส วางตู้ไอติมของเนสเล่ ขายอยู่ก้อนละ 15 บาท เราเอาไอติมโฮมเมดไปวาง
แทรกในตู้เนสเล่ ปักป้ายว่าเป็นโฮมเมดให้ชิมฟรี (ให้ชิมเป็นช้อนเล็กๆ) พนักงานตักให้ชิมแล้วลูกค้าทุกคนก็อุทานว่าอร่อยจัง
แต่พอพนักงานแจ้งว่าลูกละ 25 บาท ลูกค้ากว่าครึ่งก็เปลี่ยนใจกินเนสเล่ลูกละ 15 บาทแทน
ถามว่าทำไมขายลูกละ 15 บาทเท่าเนสเล่ไม่ได้ เหตุผลก็ต้นทุนมันสูง มีคนที่อยากทำธุรกิจไอติมโฮมเมดจำนวนมากยังเข้าใจ
ผิดว่าทำไอติมเองจะได้ราคาถูกกว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ไอติมโฮมเมดคือไอติมเนื้อดี ส่วนผสมดี เป็นไอติมต้นทุนสูง
สุดท้ายเราก็ต้องขายลูกละ 15 บาท ถามว่ามีกำไรไหม ก็มีพอสมควรเพราะเป็นการขายเอาปริมาณ คือกำไรต่อชิ้นน้อย แต่
ขายได้มากชิ้น ซึ่งต้องไม่ลืมว่าเราเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ขายดีอยู่แล้ว และเป็นเจ้าของโรงเรียนซึ่งไอติมมันเป็นของโปรด
ของเด็กๆ
มีน้องสองคนมาขอเรียนกับเรา และไปเปิดธุรกิจของตัวเอง คนนึงรุ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งร่วง เราจะเล่าให้ฟังเพื่อเป็นบทเรียนกับ
คนที่อยากทำธุรกิจนี้นะคะ
ความคิดเห็นที่ 4
น้องสองคนนี้สมมติว่าชื่อน้องเอ กับน้องบี เอาคนที่ทำแล้วร่วงก่อนนะคะ เธอคือน้องเอค่ะ
น้องเอเป็นเด็กเรียนจบใหม่ พอแม่เป็นครูมีฐานนะดีพอสมควรแต่ไม่ถึงกับร่ำรวย น้องเอเรียนจบก็อยากมีกิจการเป็นของตัวเอง
พอมาเห็นเราทำไอติมก็อยากทำบ้าง เราก็เลยสอนให้ฟรีด้วยความเต็มใจ เราเป็นคนชอบให้ความรู้กับคน และเรามีที่ขายของ
ตัวเองอยู่แล้วก็เลยไม่ได้คิดว่าน้องเอจะมาเป็นคู่แข่ง
น้องเอเรียนจบปุ๊บก็อยากเปิดร้าน มีไอเดียแต่งร้านบรรเจิดมาก เราก็พยายามทัดทานว่าอย่าเลย ก็เล่าปัญหาให้ฟังอย่างที่อธิบาย
ไว้ใน คห. 3 แต่น้องเอเธอไม่เชื่อ เธอว่าเธอทำได้ ของมันอร่อยเสียอย่างยังไงคนก็ต้องกิน
สุดท้ายเธอไปเช่าร้านในตลาด ค่าเช่าเดือนละ 3,000 จากนั้นก็ลงมือตกแต่ง ด้วยความเป็นห่วงเราก็ไปช่วยนางแต่งร้าน ทำตัว
เป็น "มารสกัดฝัน" คือพยายามทัดทานไม่ให้น้องซื้อของแพงเกินไป แต่นางฟังที่ไหน นางถือคติว่าทำแล้วต้องเอาให้ดีไปเลย
สุดท้่ายซื้อตู้ไอติมราคาเหยียบแสน ซื้อเครื่องปั่นราคาห้าหมื่น (ตอนแรกจะซื้อเครื่องละแสนกว่าบาทแต่เราโทร.ไปล็อบบี้ผู้ปกครอง
นางเสียก่อน) สิริรวมค่าแต่งร้าน ค่าอุปกรณ์ทั้งหมดปาเข้าไปเหยียบสี่แสน
ในที่สุดร้านนางก็เปิดขาย วันแรกคนตรึมเพราะเป็นญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงมาอุดหนุน วันต่อๆ มาคนเริ่มหาย เพราะร้านเป็นกระจก
ติดแอร์ ชาวบ้านไม่กล้าเข้าเพราะหรูเกิน แต่ข้อดีคือคนที่เข้าไปกินล้วนติดใจในรสชาติของไอศกรีม มีคำชมว่าร้านนี้ไอติมอร่อย
ไม่มีเสียงบ่นว่าราคาแพงเพราะนางขายลูกละ 15 บาท (ซึ่งกำไรน้อยมากๆ)
น้องเอกะว่าพอคนรู้จักร้านมากๆ เิริ่มขายดีมากๆ นางจะขอปรับราคาขึ้นเป็นลูกละ 25 บาท ซึ่งตอนนั้นลูกค้าน่าจะไม่หนีหายเพราะ
ติดใจในรสชาติแล้ว แต่... วันนั้นไม่เคยมาถึง ร้านยังคงมีคนเข้าประปรายทั้งๆ ที่ขายราคาถูกและรสชาติก็ดีมากๆ
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เราวิเคราะห์ว่าคนไทยยังไม่มีความนิยมในการกินไอศกรีมมากพอ เคยมีผลวิจัยว่าคนไทยเราบริโภคไอศกรีม
ต่ำกว่าคนยุโรป คนเมกัน หลายเท่าตัว และถึงแม้เราจะอยู่ต่างจังหวัด แต่ชีวิตพวกเราก็ไม่ได้ "ชิล" พอที่จะนั่งละเลียดไอติมใน
ร้านสวยๆ เราไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะตรงไปร้านไอศกรีมเพื่อไปนั่งกิน (ยกเว้นเวลาไปห้าง อันนั้นต้องการไปเสียเงินอยู่แล้ว)
สรุปก็คือน้องเอ นั่งตบยุงอยู่ในร้าน กิจการไม่มีกำไร ไม่เห็นทางที่จะคืนทุนได้เลย
ส่วนน้องบี นางมาเรียนทำไอติมกับเราเหมือนกัน ทำได้อร่อยไม่ต่างจากน้องเอ แต่นางรุ่งมาก นางทำอย่างไรเดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาเล่า
นะคะ ตอนนี้ตาจะปิดแล้ว
น้องเอเป็นเด็กเรียนจบใหม่ พอแม่เป็นครูมีฐานนะดีพอสมควรแต่ไม่ถึงกับร่ำรวย น้องเอเรียนจบก็อยากมีกิจการเป็นของตัวเอง
พอมาเห็นเราทำไอติมก็อยากทำบ้าง เราก็เลยสอนให้ฟรีด้วยความเต็มใจ เราเป็นคนชอบให้ความรู้กับคน และเรามีที่ขายของ
ตัวเองอยู่แล้วก็เลยไม่ได้คิดว่าน้องเอจะมาเป็นคู่แข่ง
น้องเอเรียนจบปุ๊บก็อยากเปิดร้าน มีไอเดียแต่งร้านบรรเจิดมาก เราก็พยายามทัดทานว่าอย่าเลย ก็เล่าปัญหาให้ฟังอย่างที่อธิบาย
ไว้ใน คห. 3 แต่น้องเอเธอไม่เชื่อ เธอว่าเธอทำได้ ของมันอร่อยเสียอย่างยังไงคนก็ต้องกิน
สุดท้ายเธอไปเช่าร้านในตลาด ค่าเช่าเดือนละ 3,000 จากนั้นก็ลงมือตกแต่ง ด้วยความเป็นห่วงเราก็ไปช่วยนางแต่งร้าน ทำตัว
เป็น "มารสกัดฝัน" คือพยายามทัดทานไม่ให้น้องซื้อของแพงเกินไป แต่นางฟังที่ไหน นางถือคติว่าทำแล้วต้องเอาให้ดีไปเลย
สุดท้่ายซื้อตู้ไอติมราคาเหยียบแสน ซื้อเครื่องปั่นราคาห้าหมื่น (ตอนแรกจะซื้อเครื่องละแสนกว่าบาทแต่เราโทร.ไปล็อบบี้ผู้ปกครอง
นางเสียก่อน) สิริรวมค่าแต่งร้าน ค่าอุปกรณ์ทั้งหมดปาเข้าไปเหยียบสี่แสน
ในที่สุดร้านนางก็เปิดขาย วันแรกคนตรึมเพราะเป็นญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงมาอุดหนุน วันต่อๆ มาคนเริ่มหาย เพราะร้านเป็นกระจก
ติดแอร์ ชาวบ้านไม่กล้าเข้าเพราะหรูเกิน แต่ข้อดีคือคนที่เข้าไปกินล้วนติดใจในรสชาติของไอศกรีม มีคำชมว่าร้านนี้ไอติมอร่อย
ไม่มีเสียงบ่นว่าราคาแพงเพราะนางขายลูกละ 15 บาท (ซึ่งกำไรน้อยมากๆ)
น้องเอกะว่าพอคนรู้จักร้านมากๆ เิริ่มขายดีมากๆ นางจะขอปรับราคาขึ้นเป็นลูกละ 25 บาท ซึ่งตอนนั้นลูกค้าน่าจะไม่หนีหายเพราะ
ติดใจในรสชาติแล้ว แต่... วันนั้นไม่เคยมาถึง ร้านยังคงมีคนเข้าประปรายทั้งๆ ที่ขายราคาถูกและรสชาติก็ดีมากๆ
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เราวิเคราะห์ว่าคนไทยยังไม่มีความนิยมในการกินไอศกรีมมากพอ เคยมีผลวิจัยว่าคนไทยเราบริโภคไอศกรีม
ต่ำกว่าคนยุโรป คนเมกัน หลายเท่าตัว และถึงแม้เราจะอยู่ต่างจังหวัด แต่ชีวิตพวกเราก็ไม่ได้ "ชิล" พอที่จะนั่งละเลียดไอติมใน
ร้านสวยๆ เราไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะตรงไปร้านไอศกรีมเพื่อไปนั่งกิน (ยกเว้นเวลาไปห้าง อันนั้นต้องการไปเสียเงินอยู่แล้ว)
สรุปก็คือน้องเอ นั่งตบยุงอยู่ในร้าน กิจการไม่มีกำไร ไม่เห็นทางที่จะคืนทุนได้เลย
ส่วนน้องบี นางมาเรียนทำไอติมกับเราเหมือนกัน ทำได้อร่อยไม่ต่างจากน้องเอ แต่นางรุ่งมาก นางทำอย่างไรเดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาเล่า
นะคะ ตอนนี้ตาจะปิดแล้ว
แสดงความคิดเห็น
สนใจทำธุรกิจ ร้านไอศกรีม โฮมเมด แต่มือใหม่มาก ขอคำแนะนำครับ
เป็นโฮมเมด ที่มีรสผลไม้ หรือรสชาติพื้นบ้าน หลากหลาย คล้ายไอติมหม้อไฟที่ยศเสครับ
ไม่ทราบว่าพี่ๆที่มีประสบการณ์พอจะนำให้ผมเริ่มต้นจากไหนดีครับ คือตั้งใจจะทำธุรกิจตัวนี้
โดยจะเริ่มจากศึกษาข้อมูล และลงเรียนคอร์สทำไอศกรีมครับ มีที่ไหนพอแนะนำมั้ย
นอกจากนี้พวกอุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่รวมค่าตกแต่งร้านอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ครับ
ผมน้อมรับทุกความคิดเห็น ขอเพียงแนะนำมาได้ทุกรูปแบบครับ
จุดเด่นผมคิดว่า จะทำจะทำแบบ ไอติมหม้อไฟ เพียงแต่ขอไอเดียเค้ามาแต่ไม่ลอกนะครับ อยากขายให้ได้ทีละหลายๆก้อนแบบมีกิมมิก
นอกจากนี้จะพยายามให้มีรสชาติแปลกๆ เช่น กระทิงแดง มะเฟือง แตงโม อะไรแบบนี้อ่ะครับ ไม่ทราบว่าโอเคมั้ย
แนะนำด้วยครับ