ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในอดีตกาลที่ผ่านมา ซูเปอร์ฮีโร่ตัวแรกๆที่คนไทยรู้จัก แน่นอนว่าจะต้องมีซูเปอร์ฮีโร่ผ้าคลุมสีแดงตัวนี้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เนื่องด้วยท่าทางที่สง่างาม ความแข็งแกร่งที่เหลือล้น ทำให้เด็กๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่หลายคนใฝ่ฝันที่จะเป็นดังเช่นซูเปอร์ฮีโร่ตัวนี้ จนเขาได้โลดแล่นอยู่ในใจพวกเรามาเนิ่นนานนับจากนั้น แต่เมื่อหนังที่กล่าวถึงเขามีออกฉายไม่มากนัก และหนังจอใหญ่เรื่องสุดท้ายในปี 1987 ก็ทำออกมาได้แย่ อีกทั้งเราก็เริ่มรู้จักซูเปอร์ฮีโร่รายอื่นๆกันมากขึ้น จนต้นตำรับในไทยเจ้าแรกๆอย่างซูเปอร์แมนเริ่มจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ก่อนที่เขาจะกลับมาอีกครั้งกับผลงานจอใหญ่เมื่อปี 2006 ในโปรเจคภาคต่อซูเปอร์แมนเรื่องที่ 5 อย่าง
Superman Returns ของผู้กำกับ
ไบรอัน ซิงเกอร์ พร้อมกับความหวังในการดึงความทรงจำที่ดีในครั้งอดีตให้หวนกลับคืนมา
แต่ว่าการมาใน
Superman Returns ถือว่าน่าผิดหวัง เพราะถึงแม้เนื้อเรื่องจะดูเข้มข้น แต่ว่าหนังมีบทสนทนาที่ยืดเยื้อ ประกอบการไม่มีฉากเด่นดึงดูดสายตา ไม่มีตัวร้ายที่มีเล่ห์เหลี่ยมจนยากจะเอาชนะ นั่นจึงทำให้โครงเรื่องที่แม้จะเข้มข้น แต่ไม่ตอบโจทย์คนดูได้ครบทุกกลุ่ม พูดง่ายๆก็คือ โครงเรื่องดี แต่ทำออกมาไม่สนุก พลาดท่าในการเริ่มต้นเรื่องราวครั้งใหม่ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ความหวังยังไม่หมดลงแค่นั้น เพราะดีซีคอมมิคส์ต้นสังกัดหวังจะนำซูเปอร์แมนกลับไปยังจุดกำเนิดอีกครั้ง เพื่อจะนำซูเปอร์แมนไปรวมกลุ่มกับซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆในค่าย อย่างที่มาร์เวลค่ายคู่แข่งได้ทำสำเร็จมาแล้วใน
The Avengers
การกลับมาครั้งใหม่ใน
Man of Steel เป็นความหวังอย่างแรงกล้าที่จะรีบู๊ทเรื่องราวซูเปอร์แมนใหม่ทั้งหมด ลบความผิดหวังเดิมๆให้หมดไป และเพิ่มความนับถือให้กับซูเปอร์ฮีโร่ผ้าคลุมสีแดงตัวนี้อีกครั้ง ค่ายต้นสังกัดอย่างดีซีคอมมิคส์กับพันธมิตรยักษ์ใหญ่วอร์เนอร์บราเธอร์ส ให้ความสำคัญกับโปรเจคครั้งใหม่นี้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผู้กำกับของโปรเจคเป็น
แซ็ค สไนเดอร์ ที่มอบแอ๊กชั่นอันน่าประทับใจในหนังสงคราม
300 ซึ่งพอเลือกผู้กำกับให้เป็นสไนเดอร์แล้ว ก็เริ่มมีการเลือกนักแสดงนำของโปรเจค โดยวอร์เนอร์กล่าวว่าโปรเจคใหม่นี้จะเป็น
‘โปรเจครีบู๊ทขาวสะอาด’ ความหมายก็คือ จะไม่มีเรื่องราวหรือนักแสดงคนใดที่เกี่ยวข้องจากโปรเจคก่อนหน้าเลย ซึ่งเป็นผลให้
แบรนดอน เราท์ ผู้รับบทซูเปอร์แมนใน
Superman Returns ที่สนใจจะกลับมาเล่น ไม่ได้รับเลือกให้มารับบทซูเปอร์แมนในภาคใหม่นี้
นอกจากได้ผู้กำกับหน้าใหม่ และนักแสดงกลุ่มใหม่ยกทีม วอร์เนอร์ยังดึงตัว
คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับแบทแมนไตรภาค โปรเจคซูเปอร์ฮีโร่ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของค่ายดีซีคอมมิคส์ ให้มาช่วยในส่วนของงานเขียนบท ร่วมกับมือเขียนบทที่วางเอาไว้ก่อนแล้วอย่าง
เดวิด เอส โกเยอร์ และโนแลนก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมงานสร้างทั้งหมด ในนามของผู้อำนวยการสร้างของโปรเจค ทำให้เห็นว่าต้นสังกัดอย่างดีซีและวอร์เนอร์ เอาจริงเอาจังและคาดหวังกับโปรเจคใหม่นี้อย่างมาก เพราะเมื่อหนังประสบความสำเร็จ โปรเจค
Justice League ที่จะมีซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆในค่ายมารวมกลุ่มกัน จะลืมตาอ้าปากได้ซะที หลังจากที่รอมาเป็นเวลานาน
เนื้อเรื่อง
Man of Steel ที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาอย่างละเมียดละไม เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่อยู่บนดาวคริปตอน เป็นการปูเนื้อเรื่องที่เข้มแข็งขึ้น คนดูจะได้รู้จักพ่อแม่ที่แท้จริงของซูเปอร์แมน และเหตุผลว่าทำไมซูเปอร์แมนถึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์โลก ซึ่งการเล่าเรื่องราวในตอนต้นทำได้กระชับฉับไว ด้วยการไม่ใส่รายละเอียดของตัวละครมากมายให้เยิ่นเย้อ และมาพร้อมกับฉากแอ๊กชั่นที่ตื่นตา ดนตรีประกอบที่ฮึกเหิม เห็นแค่นี้ก็ทำให้คนดูรู้สึกได้ว่า ความสำเร็จของ
Man of Steel อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
เมื่อเรื่องราวบนดาวคริปตอนผ่านไป ‘คาลเอล’ ลูกชายตัวน้อยของโจเอลผู้เป็นพ่อ (
รัสเซลล์ โครว) และลาร่าผู้เป็นแม่ (
อเยเล็ต ซูเรอร์) ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเคนท์ในนาม ‘คลาร์ก’ ที่มีโจนาธานเป็นพ่อ (
เควิน คอสต์เนอร์) และมีมาร์ธ่าเป็นแม่ (
ไดแอน เลน) โดยหนังเล่าเรื่องราวในอดีตตัดสลับกับเรื่องราวในปัจจุบัน ทำให้คนดูได้เห็นความเป็นมาของคลาร์กตั้งแต่ตอนเด็กและเหตุกาณ์ที่เกี่ยวข้องในตอนโตไปพร้อมๆกัน เป็นการเล่าเรื่องราวที่ไม่ทำให้คนดูเกิดอาการเบื่อ เพราะเรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างน่าสนใจ
หนังใช้ระยะเวลาไม่นานในการนำเข้าสู่ความเป็นซูเปอร์แมนของคลาร์ก (
เฮนรี่ คาวิลล์) ซึ่งพอคลาร์กได้รู้แหล่งกำเนิดของตัวเอง และได้พบกับนักข่าวสาวโลอิส เลน (
เอมี่ อดัมส์) ที่ต่อมากลายเป็นคนรักของซูเปอร์แมน ตัวร้ายของเรื่อง นายพลซอด (
ไมเคิล แชนน่อน) ก็เริ่มออกโรงอย่างเป็นทางการ ในฉากเปิดตัวที่น่าขนลุกอย่างที่เราได้เห็นในเวอร์ชั่นหนึ่งของตัวอย่างหนัง ที่มีคำพูดขึ้นบนจอโทรทัศน์ว่า
“You are not alone” ในส่วนนี้คือการสร้างจุดเด่นให้กับตัวร้ายของเรื่อง เพราะหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่โดนใจคนดูส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับตัวร้ายที่เปิดตัวได้อย่างน่าขนลุกและน่าเกรงขามด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาจนถึงจุดนี้ หนังก็ไม่มัวเล่าเรื่องอย่างยืดยาดอีกต่อไป จึงใส่ความสนุกเข้ามาเต็มพิกัด ด้วยฉากแอ๊กชั่นที่ทรงพลัง ฉากสเกลใหญ่ที่สุดของซูเปอร์ฮีโร่ดีซีนับตั้งแต่มีการสร้างกันออกมา โดยซูเปอร์แมนของเรามาพร้อมชุดแต่งกายที่ออกแบบมาใหม่ ไม่ใส่กางเกงในสีแดงไว้ข้างนอกอย่างที่เคยเห็น แต่เป็นบอดี้สูทสีน้ำเงินดำรัดรูปที่เป็นส่วนเดียวกันทั้งชุด อย่างไรก็ตามผ้าคลุมสีแดงตามต้นฉบับก็ยังคงมีอยู่ เป็นการตัดสีกับบอดี้สูทเพื่อแสดงความแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม พร้อมตัวอักษร S ปักกลางลำตัว โดยตัวอักษร S เป็นสัญลักษณ์ที่ชาวคริปโตเนี่ยนให้ความหมายว่า
‘ความหวัง’
หนังนำเสนอฉากแอ๊กชั่นสเกลใหญ่มโหฬารอย่างจุใจคนดู ความสนุกส่วนหนึ่งอยู่ที่ตัวร้ายของเรื่องที่ไม่ได้มาเพียงแค่หนึ่งราย แต่มีพรรคพวกติดตามมาต่อสู้ด้วย เช่น ฟาโอร่า (
อานเจ ทรอเออร์) นายทหารหญิงตัวฉกาจ ภรรยาของนายพลซอด ที่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง ซึ่งทำให้เรื่องราวมีสีสันและดูสนุก และอีกส่วนอยู่ที่การต่อสู้อันยิ่งใหญ่หลายฉากต่อเนื่องกัน พอสู้กันจบในฉากหนึ่ง ก็จะมีตามมาในอีกหลายฉาก เป็นการใส่ความสนุกเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน เติมเต็มความตื่นเต้นที่ขาดหายไปจาก
Superman Returns ได้อย่างถึงขีดสุด
อย่างไรก็ตาม แม้เนื้อเรื่องจะมีการปูพื้นฐานที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดจากภาคก่อนๆ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ซะทีเดียว เพราะในหลายๆส่วนยังขาดความเกี่ยวเนื่องกัน หรือพูดง่ายๆก็คือ เนื้อเรื่องยังไม่สมูทในแบบที่เคยเห็นจากไตรภาค
Batman ของผู้กำกับ
คริสโตเฟอร์ โนแลน หรือจาก
The Avengers ของผู้กำกับ
จอสส์ วีดอน แต่ถ้าพูดกันถึงความมันส์แบบเต็มพิกัด
Man of Steel ตอบโจทย์ได้เหนือกว่าทั้งสองเรื่องที่กล่าวมา
ในส่วนของระบบ 3 มิติ หนังยังทำได้ไม่สมศักดิ์ศรี สามมิติของหนังยังไม่ชัดเจน การใส่เข้ามาก็ไม่ได้เสริมให้หนังดูสนุกขึ้นแต่อย่างใด แนะนำว่าดูระบบ 2 มิติก็เพียงพอ แต่เลือกโรงที่มีจอใหญ่ๆ เพื่อซึบซับความสนุกของฉากแอ๊กชั่นได้อย่างเต็มอรรถรส
สิ่งที่
Man of Steel เป็น คือการเริ่มต้นใหม่ของโปรเจคที่เป็น
‘ความหวัง’ ของสตูดิโอ และเป็น
‘ความหวัง’ ของคนดูทั้งหลาย ตามที่สัญลักษณ์ตัว S ของชาวคริปโตเนี่ยนได้ให้ความหมายไว้ สุดท้ายนี้ แม้ว่าหนังจะไม่สนุกสนานเฮฮาอย่างใน
The Avengers ของวีดอน หรือลึกซึ้งคมคายอย่างในไตรภาค
Batman ของโนแลน แต่การที่
Man of Steel ตกอยู่ระหว่างกลางของสองเส้นทางนี้ ไม่ได้หมายความว่าหนังไม่ได้มอบอะไรให้กับคนดูเลย มันขึ้นอยู่กับว่าคนดูอยากได้อะไรจากหนังเรื่องนี้ เพราะเมื่อคุณรู้ว่าคุณอยากได้อะไรจากหนัง คำตอบของคำถามนั้นก็จะเปิดเผยออกมา เมื่อคุณได้สัมผัสด้วยตาของคุณเอง…
ระดับคะแนนหลัก B
ความสนุก A-
Movie Review === Man of Steel === บุรุษเหล็กที่โลกรอคอย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในอดีตกาลที่ผ่านมา ซูเปอร์ฮีโร่ตัวแรกๆที่คนไทยรู้จัก แน่นอนว่าจะต้องมีซูเปอร์ฮีโร่ผ้าคลุมสีแดงตัวนี้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เนื่องด้วยท่าทางที่สง่างาม ความแข็งแกร่งที่เหลือล้น ทำให้เด็กๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่หลายคนใฝ่ฝันที่จะเป็นดังเช่นซูเปอร์ฮีโร่ตัวนี้ จนเขาได้โลดแล่นอยู่ในใจพวกเรามาเนิ่นนานนับจากนั้น แต่เมื่อหนังที่กล่าวถึงเขามีออกฉายไม่มากนัก และหนังจอใหญ่เรื่องสุดท้ายในปี 1987 ก็ทำออกมาได้แย่ อีกทั้งเราก็เริ่มรู้จักซูเปอร์ฮีโร่รายอื่นๆกันมากขึ้น จนต้นตำรับในไทยเจ้าแรกๆอย่างซูเปอร์แมนเริ่มจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ก่อนที่เขาจะกลับมาอีกครั้งกับผลงานจอใหญ่เมื่อปี 2006 ในโปรเจคภาคต่อซูเปอร์แมนเรื่องที่ 5 อย่าง Superman Returns ของผู้กำกับไบรอัน ซิงเกอร์ พร้อมกับความหวังในการดึงความทรงจำที่ดีในครั้งอดีตให้หวนกลับคืนมา
แต่ว่าการมาใน Superman Returns ถือว่าน่าผิดหวัง เพราะถึงแม้เนื้อเรื่องจะดูเข้มข้น แต่ว่าหนังมีบทสนทนาที่ยืดเยื้อ ประกอบการไม่มีฉากเด่นดึงดูดสายตา ไม่มีตัวร้ายที่มีเล่ห์เหลี่ยมจนยากจะเอาชนะ นั่นจึงทำให้โครงเรื่องที่แม้จะเข้มข้น แต่ไม่ตอบโจทย์คนดูได้ครบทุกกลุ่ม พูดง่ายๆก็คือ โครงเรื่องดี แต่ทำออกมาไม่สนุก พลาดท่าในการเริ่มต้นเรื่องราวครั้งใหม่ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ความหวังยังไม่หมดลงแค่นั้น เพราะดีซีคอมมิคส์ต้นสังกัดหวังจะนำซูเปอร์แมนกลับไปยังจุดกำเนิดอีกครั้ง เพื่อจะนำซูเปอร์แมนไปรวมกลุ่มกับซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆในค่าย อย่างที่มาร์เวลค่ายคู่แข่งได้ทำสำเร็จมาแล้วใน The Avengers
การกลับมาครั้งใหม่ใน Man of Steel เป็นความหวังอย่างแรงกล้าที่จะรีบู๊ทเรื่องราวซูเปอร์แมนใหม่ทั้งหมด ลบความผิดหวังเดิมๆให้หมดไป และเพิ่มความนับถือให้กับซูเปอร์ฮีโร่ผ้าคลุมสีแดงตัวนี้อีกครั้ง ค่ายต้นสังกัดอย่างดีซีคอมมิคส์กับพันธมิตรยักษ์ใหญ่วอร์เนอร์บราเธอร์ส ให้ความสำคัญกับโปรเจคครั้งใหม่นี้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผู้กำกับของโปรเจคเป็น แซ็ค สไนเดอร์ ที่มอบแอ๊กชั่นอันน่าประทับใจในหนังสงคราม 300 ซึ่งพอเลือกผู้กำกับให้เป็นสไนเดอร์แล้ว ก็เริ่มมีการเลือกนักแสดงนำของโปรเจค โดยวอร์เนอร์กล่าวว่าโปรเจคใหม่นี้จะเป็น ‘โปรเจครีบู๊ทขาวสะอาด’ ความหมายก็คือ จะไม่มีเรื่องราวหรือนักแสดงคนใดที่เกี่ยวข้องจากโปรเจคก่อนหน้าเลย ซึ่งเป็นผลให้ แบรนดอน เราท์ ผู้รับบทซูเปอร์แมนใน Superman Returns ที่สนใจจะกลับมาเล่น ไม่ได้รับเลือกให้มารับบทซูเปอร์แมนในภาคใหม่นี้
นอกจากได้ผู้กำกับหน้าใหม่ และนักแสดงกลุ่มใหม่ยกทีม วอร์เนอร์ยังดึงตัว คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับแบทแมนไตรภาค โปรเจคซูเปอร์ฮีโร่ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของค่ายดีซีคอมมิคส์ ให้มาช่วยในส่วนของงานเขียนบท ร่วมกับมือเขียนบทที่วางเอาไว้ก่อนแล้วอย่าง เดวิด เอส โกเยอร์ และโนแลนก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมงานสร้างทั้งหมด ในนามของผู้อำนวยการสร้างของโปรเจค ทำให้เห็นว่าต้นสังกัดอย่างดีซีและวอร์เนอร์ เอาจริงเอาจังและคาดหวังกับโปรเจคใหม่นี้อย่างมาก เพราะเมื่อหนังประสบความสำเร็จ โปรเจค Justice League ที่จะมีซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆในค่ายมารวมกลุ่มกัน จะลืมตาอ้าปากได้ซะที หลังจากที่รอมาเป็นเวลานาน
เนื้อเรื่อง Man of Steel ที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาอย่างละเมียดละไม เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่อยู่บนดาวคริปตอน เป็นการปูเนื้อเรื่องที่เข้มแข็งขึ้น คนดูจะได้รู้จักพ่อแม่ที่แท้จริงของซูเปอร์แมน และเหตุผลว่าทำไมซูเปอร์แมนถึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์โลก ซึ่งการเล่าเรื่องราวในตอนต้นทำได้กระชับฉับไว ด้วยการไม่ใส่รายละเอียดของตัวละครมากมายให้เยิ่นเย้อ และมาพร้อมกับฉากแอ๊กชั่นที่ตื่นตา ดนตรีประกอบที่ฮึกเหิม เห็นแค่นี้ก็ทำให้คนดูรู้สึกได้ว่า ความสำเร็จของ Man of Steel อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
เมื่อเรื่องราวบนดาวคริปตอนผ่านไป ‘คาลเอล’ ลูกชายตัวน้อยของโจเอลผู้เป็นพ่อ (รัสเซลล์ โครว) และลาร่าผู้เป็นแม่ (อเยเล็ต ซูเรอร์) ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเคนท์ในนาม ‘คลาร์ก’ ที่มีโจนาธานเป็นพ่อ (เควิน คอสต์เนอร์) และมีมาร์ธ่าเป็นแม่ (ไดแอน เลน) โดยหนังเล่าเรื่องราวในอดีตตัดสลับกับเรื่องราวในปัจจุบัน ทำให้คนดูได้เห็นความเป็นมาของคลาร์กตั้งแต่ตอนเด็กและเหตุกาณ์ที่เกี่ยวข้องในตอนโตไปพร้อมๆกัน เป็นการเล่าเรื่องราวที่ไม่ทำให้คนดูเกิดอาการเบื่อ เพราะเรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างน่าสนใจ
หนังใช้ระยะเวลาไม่นานในการนำเข้าสู่ความเป็นซูเปอร์แมนของคลาร์ก (เฮนรี่ คาวิลล์) ซึ่งพอคลาร์กได้รู้แหล่งกำเนิดของตัวเอง และได้พบกับนักข่าวสาวโลอิส เลน (เอมี่ อดัมส์) ที่ต่อมากลายเป็นคนรักของซูเปอร์แมน ตัวร้ายของเรื่อง นายพลซอด (ไมเคิล แชนน่อน) ก็เริ่มออกโรงอย่างเป็นทางการ ในฉากเปิดตัวที่น่าขนลุกอย่างที่เราได้เห็นในเวอร์ชั่นหนึ่งของตัวอย่างหนัง ที่มีคำพูดขึ้นบนจอโทรทัศน์ว่า “You are not alone” ในส่วนนี้คือการสร้างจุดเด่นให้กับตัวร้ายของเรื่อง เพราะหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่โดนใจคนดูส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับตัวร้ายที่เปิดตัวได้อย่างน่าขนลุกและน่าเกรงขามด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาจนถึงจุดนี้ หนังก็ไม่มัวเล่าเรื่องอย่างยืดยาดอีกต่อไป จึงใส่ความสนุกเข้ามาเต็มพิกัด ด้วยฉากแอ๊กชั่นที่ทรงพลัง ฉากสเกลใหญ่ที่สุดของซูเปอร์ฮีโร่ดีซีนับตั้งแต่มีการสร้างกันออกมา โดยซูเปอร์แมนของเรามาพร้อมชุดแต่งกายที่ออกแบบมาใหม่ ไม่ใส่กางเกงในสีแดงไว้ข้างนอกอย่างที่เคยเห็น แต่เป็นบอดี้สูทสีน้ำเงินดำรัดรูปที่เป็นส่วนเดียวกันทั้งชุด อย่างไรก็ตามผ้าคลุมสีแดงตามต้นฉบับก็ยังคงมีอยู่ เป็นการตัดสีกับบอดี้สูทเพื่อแสดงความแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม พร้อมตัวอักษร S ปักกลางลำตัว โดยตัวอักษร S เป็นสัญลักษณ์ที่ชาวคริปโตเนี่ยนให้ความหมายว่า ‘ความหวัง’
หนังนำเสนอฉากแอ๊กชั่นสเกลใหญ่มโหฬารอย่างจุใจคนดู ความสนุกส่วนหนึ่งอยู่ที่ตัวร้ายของเรื่องที่ไม่ได้มาเพียงแค่หนึ่งราย แต่มีพรรคพวกติดตามมาต่อสู้ด้วย เช่น ฟาโอร่า (อานเจ ทรอเออร์) นายทหารหญิงตัวฉกาจ ภรรยาของนายพลซอด ที่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง ซึ่งทำให้เรื่องราวมีสีสันและดูสนุก และอีกส่วนอยู่ที่การต่อสู้อันยิ่งใหญ่หลายฉากต่อเนื่องกัน พอสู้กันจบในฉากหนึ่ง ก็จะมีตามมาในอีกหลายฉาก เป็นการใส่ความสนุกเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน เติมเต็มความตื่นเต้นที่ขาดหายไปจาก Superman Returns ได้อย่างถึงขีดสุด
อย่างไรก็ตาม แม้เนื้อเรื่องจะมีการปูพื้นฐานที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดจากภาคก่อนๆ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ซะทีเดียว เพราะในหลายๆส่วนยังขาดความเกี่ยวเนื่องกัน หรือพูดง่ายๆก็คือ เนื้อเรื่องยังไม่สมูทในแบบที่เคยเห็นจากไตรภาค Batman ของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน หรือจาก The Avengers ของผู้กำกับจอสส์ วีดอน แต่ถ้าพูดกันถึงความมันส์แบบเต็มพิกัด Man of Steel ตอบโจทย์ได้เหนือกว่าทั้งสองเรื่องที่กล่าวมา
ในส่วนของระบบ 3 มิติ หนังยังทำได้ไม่สมศักดิ์ศรี สามมิติของหนังยังไม่ชัดเจน การใส่เข้ามาก็ไม่ได้เสริมให้หนังดูสนุกขึ้นแต่อย่างใด แนะนำว่าดูระบบ 2 มิติก็เพียงพอ แต่เลือกโรงที่มีจอใหญ่ๆ เพื่อซึบซับความสนุกของฉากแอ๊กชั่นได้อย่างเต็มอรรถรส
สิ่งที่ Man of Steel เป็น คือการเริ่มต้นใหม่ของโปรเจคที่เป็น ‘ความหวัง’ ของสตูดิโอ และเป็น ‘ความหวัง’ ของคนดูทั้งหลาย ตามที่สัญลักษณ์ตัว S ของชาวคริปโตเนี่ยนได้ให้ความหมายไว้ สุดท้ายนี้ แม้ว่าหนังจะไม่สนุกสนานเฮฮาอย่างใน The Avengers ของวีดอน หรือลึกซึ้งคมคายอย่างในไตรภาค Batman ของโนแลน แต่การที่ Man of Steel ตกอยู่ระหว่างกลางของสองเส้นทางนี้ ไม่ได้หมายความว่าหนังไม่ได้มอบอะไรให้กับคนดูเลย มันขึ้นอยู่กับว่าคนดูอยากได้อะไรจากหนังเรื่องนี้ เพราะเมื่อคุณรู้ว่าคุณอยากได้อะไรจากหนัง คำตอบของคำถามนั้นก็จะเปิดเผยออกมา เมื่อคุณได้สัมผัสด้วยตาของคุณเอง…
ระดับคะแนนหลัก B
ความสนุก A-