ถึงพันทิป: ไม่มีแท็ก Rebel Moon
รีวิวนี้ถูกเขียนขึ้นที่:
https://uaymemo.com/2023/12/24/rebel-moon-part-one-a-child-of-fire/
ก่อนที่หนังจะได้ฉายเน็ตฟิกหนึ่งสัปดาห์ ได้มีการฉายหนังให้กับนักวิจารณ์ ผลตอบรับออกมาไม่ดีนัก ในบางช่องยูทูป ถึงขั้นสาดเสียเทเสีย ผมอ่านคำวิจารณ์ตามบล๊อกและดูตามช่องยูทูปด้วยความรู้สึกในหัวว่า “มันแย่ขนาดนั้นเลยฤา (ฟ่ะ)”
ขอออกตัวก่อนว่าหนังหลายเรื่องของแซ็ค สไนเดอร์ค่อนข้างจะถูกจริตผม หนังที่คนส่วนใหญ่ชอบอย่าง 300 หรือ Watchmen หนังกลางๆอย่าง Man of Steel รวมไปถึงหนังที่หลายคนไม่ชอบอย่าง Sucker Punch หรือ Army of The Dead หนังเหล่านี้ผมถือว่าดูเพลิน แต่ก็มีหนังที่ไม่ชอบด้วยอย่าง Batman v Superman: Dawn of Justice หรือ Justice League ทั้งต้นฉบับและฉบับสไนเดอร์คัท ที่ผมค่อนข้างจะสับเละอยู่พอสมควร
สำหรับ Rebel Moon ผมจัดให้อยู่กลางๆ ค่อนไปทางชอบ เรื่องราวของจักรวาลที่มีผู้ปกครองเป็นจักรวรรดิที่โหดร้ายในชื่อ Motherworld อยู่มาวันหนึ่ง นายพล Atticus Noble (Ed Skrein) ได้รุกรานดาวที่แสนสงบสุขที่ชื่อว่า Veldt หญิงสาวที่มีอดีตลึกลับนามว่า Kora (Sofia Boutella) จึงตัดสินใจรวบรวมผู้คนที่มีความสามารถ ออกปกป้องชาวเมืองให้รอดพ้นจากการรุกราน
หนังดึงองค์ประกอบจากหนังไซไฟและหนังแนวคนเถื่อนเอาไว้รวมกัน สภาพแวดล้อมมีความคล้าย Star Wars แต่ดิบเถื่อนกว่า บางช่วงบางตอนทำให้นึกไปถึงบอร์ดเกมส์อย่าง Warhammer 40k องค์ประกอบฉาก เสื้อผ้าหน้าผม อาวุธ ยานรบ ทำออกมาได้ดีและมีเอกลักษณ์ จะมีติดใจอยู่บ้างคือฉากหลังที่เห็นอยู่ไกลๆ มันดูไม่ค่อยธรรมชาติเท่าไร มันถูกประดิษฐ์ให้สวย ถ้าใครดูหนังของแซ็คบ่อยๆน่าจะพอนึกออก
หนังจงใจเน้นไปที่ตัวละคร Kora เป็นหลัก และด้วยเวลาที่จำกัด หนังจึงเล่าประวัติคณะกบฎอย่างย่อแค่จากปากของตัวละครตัวหนึ่งและได้โชว์ความเก่งกาจอย่างละนิด จุดนี้เองที่กลายเป็นจุดอ่อนของหนัง มันทำให้ผู้ชมไม่ได้รู้สึกเอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้ เหมือนมีให้มันครบๆไปอย่างนั้น ผมเข้าใจว่าแซ็คคงอยากให้ภาคนี้เป็นภาคของ Kora ก็เลยเน้นไปที่เธอเป็นหลัก แล้วคงจะเล่าประวัติคณะกบฎนี้ในภาคถัดไป หรือ ทำเป็นภาคแยก หรือ เล่าละเอีอดขึ้นในฉบับสไนเดอร์คัทที่จะได้ดูปีหน้า แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้เป็นข้อแก้ต่างในจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้ได้
ฉากแอ็กชั่นทำได้ดีในสไตล์แซ็ค อาวุธแต่ละชิ้นดูอันตรายและอัดหนัก แตกต่างจากหนังไซไฟอวกาศทั่วไปที่อาวุธดูเหมือนของเล่นเสียมากกว่า นักแสดงทุกคนมีสภาพร่างกายที่เหมาะสมกับบท โดยเฉพาะ Sofia Boutella ผมชอบกล้ามหลังของเธอ ฉากสโลว์ซึ่งเป็นเหมือนลายเซ็นของแซ็คใส่เข้ามาไม่มากเมื่อเทียบกับหนังเรื่องอื่นของแซ็ค แต่กระนั้นก็มีหลายฉากที่ผมรู้สึกว่าไม่สโลว์จะดูดีกว่า
สรุปคือหนังดูได้เพลินสำหรับผม ไม่ได้ว้าว ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นแย่อย่างที่นักวิจารณ์ในเน็ตว่ากัน หนังยังมีความน่าสนใจพอที่จะติดตามในภาคต่อไป หวังว่าแซ็คจะเอาข้อติชมเหล่านี้ไปแก้ไข ผมขอให้คะแนนระหว่าง 3.5 ถึง 4 จากเต็ม 5
[CR] Rebel Moon: Part One - A Child of Fire: โดนด่าในเน็ต พอมาดูเอง...ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนิ
รีวิวนี้ถูกเขียนขึ้นที่: https://uaymemo.com/2023/12/24/rebel-moon-part-one-a-child-of-fire/
ก่อนที่หนังจะได้ฉายเน็ตฟิกหนึ่งสัปดาห์ ได้มีการฉายหนังให้กับนักวิจารณ์ ผลตอบรับออกมาไม่ดีนัก ในบางช่องยูทูป ถึงขั้นสาดเสียเทเสีย ผมอ่านคำวิจารณ์ตามบล๊อกและดูตามช่องยูทูปด้วยความรู้สึกในหัวว่า “มันแย่ขนาดนั้นเลยฤา (ฟ่ะ)”
ขอออกตัวก่อนว่าหนังหลายเรื่องของแซ็ค สไนเดอร์ค่อนข้างจะถูกจริตผม หนังที่คนส่วนใหญ่ชอบอย่าง 300 หรือ Watchmen หนังกลางๆอย่าง Man of Steel รวมไปถึงหนังที่หลายคนไม่ชอบอย่าง Sucker Punch หรือ Army of The Dead หนังเหล่านี้ผมถือว่าดูเพลิน แต่ก็มีหนังที่ไม่ชอบด้วยอย่าง Batman v Superman: Dawn of Justice หรือ Justice League ทั้งต้นฉบับและฉบับสไนเดอร์คัท ที่ผมค่อนข้างจะสับเละอยู่พอสมควร
สำหรับ Rebel Moon ผมจัดให้อยู่กลางๆ ค่อนไปทางชอบ เรื่องราวของจักรวาลที่มีผู้ปกครองเป็นจักรวรรดิที่โหดร้ายในชื่อ Motherworld อยู่มาวันหนึ่ง นายพล Atticus Noble (Ed Skrein) ได้รุกรานดาวที่แสนสงบสุขที่ชื่อว่า Veldt หญิงสาวที่มีอดีตลึกลับนามว่า Kora (Sofia Boutella) จึงตัดสินใจรวบรวมผู้คนที่มีความสามารถ ออกปกป้องชาวเมืองให้รอดพ้นจากการรุกราน
หนังดึงองค์ประกอบจากหนังไซไฟและหนังแนวคนเถื่อนเอาไว้รวมกัน สภาพแวดล้อมมีความคล้าย Star Wars แต่ดิบเถื่อนกว่า บางช่วงบางตอนทำให้นึกไปถึงบอร์ดเกมส์อย่าง Warhammer 40k องค์ประกอบฉาก เสื้อผ้าหน้าผม อาวุธ ยานรบ ทำออกมาได้ดีและมีเอกลักษณ์ จะมีติดใจอยู่บ้างคือฉากหลังที่เห็นอยู่ไกลๆ มันดูไม่ค่อยธรรมชาติเท่าไร มันถูกประดิษฐ์ให้สวย ถ้าใครดูหนังของแซ็คบ่อยๆน่าจะพอนึกออก
หนังจงใจเน้นไปที่ตัวละคร Kora เป็นหลัก และด้วยเวลาที่จำกัด หนังจึงเล่าประวัติคณะกบฎอย่างย่อแค่จากปากของตัวละครตัวหนึ่งและได้โชว์ความเก่งกาจอย่างละนิด จุดนี้เองที่กลายเป็นจุดอ่อนของหนัง มันทำให้ผู้ชมไม่ได้รู้สึกเอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้ เหมือนมีให้มันครบๆไปอย่างนั้น ผมเข้าใจว่าแซ็คคงอยากให้ภาคนี้เป็นภาคของ Kora ก็เลยเน้นไปที่เธอเป็นหลัก แล้วคงจะเล่าประวัติคณะกบฎนี้ในภาคถัดไป หรือ ทำเป็นภาคแยก หรือ เล่าละเอีอดขึ้นในฉบับสไนเดอร์คัทที่จะได้ดูปีหน้า แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้เป็นข้อแก้ต่างในจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้ได้
ฉากแอ็กชั่นทำได้ดีในสไตล์แซ็ค อาวุธแต่ละชิ้นดูอันตรายและอัดหนัก แตกต่างจากหนังไซไฟอวกาศทั่วไปที่อาวุธดูเหมือนของเล่นเสียมากกว่า นักแสดงทุกคนมีสภาพร่างกายที่เหมาะสมกับบท โดยเฉพาะ Sofia Boutella ผมชอบกล้ามหลังของเธอ ฉากสโลว์ซึ่งเป็นเหมือนลายเซ็นของแซ็คใส่เข้ามาไม่มากเมื่อเทียบกับหนังเรื่องอื่นของแซ็ค แต่กระนั้นก็มีหลายฉากที่ผมรู้สึกว่าไม่สโลว์จะดูดีกว่า
สรุปคือหนังดูได้เพลินสำหรับผม ไม่ได้ว้าว ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นแย่อย่างที่นักวิจารณ์ในเน็ตว่ากัน หนังยังมีความน่าสนใจพอที่จะติดตามในภาคต่อไป หวังว่าแซ็คจะเอาข้อติชมเหล่านี้ไปแก้ไข ผมขอให้คะแนนระหว่าง 3.5 ถึง 4 จากเต็ม 5
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้