ต้นทาง:
https://uaymemo.com/2024/03/02/review-dune-part-2/
facebook:
https://www.facebook.com/profile.php?id=100092550211883
X:
https://twitter.com/UayMemo
หากมองย้อนกลับไปในรอบสิบปีที่ผ่านมา หนังไซไฟแฟนตาซีที่ผมสามารถนึกได้แทบไม่มีออกมาเลย หรือถ้ามี คุณภาพที่ออกมาก็ไม่ดีนะ ยกตัวอย่างเช่นไตรภาคใหม่สตาร์วอร์ที่บรรดาสาวกหลายคนรวมถึงผมด้วยพากันส่ายหัว แต่แล้วสิ่งที่ทำให้คอหนังไซไฟแฟนตาซีได้ชุ่มชื่นหัวใจก็มาถึง เมื่อมีความพยายามที่จะนำมหากาพย์เรื่อง Dune กลับมาขึ้นจออีกครั้ง Dune Part 1 ได้กระแสตอบรับที่ดีระดับหนึ่ง จนเกิด Dune Part 2 ตามมา และภาคนี้มันได้ยกระดับจากภาคแรกพอสมควรเลยทีเดียว
Dune Part 2 แทบจะเดินเรื่องต่อจาก Dune Part 1 ในทันที พอล อะเทรเดส (Timothée Chalamet) และ เจสซิก้า (Rebecca Ferguson) แม่ของพอล ได้หนีจากการฆ่าล้างตระกูลสำเร็จและได้มาพบกับ เฟรเมน ชนพื้นเมืองทะเลทราย ทั้งสองจะได้เรียนรู้วิถีแห่งทะเลทรายและร่วมต่อสู้กับชาวเฟรเมนเพื่อกอบกู้อิสระภาพให้กับพวกเขา หรือแท้จริงแล้วพวกเขากำลังถูกดึงเข้าสู่สงครามการแย่งชิงอำนาจที่พอลและเจสซิก้าสร้างขึ้น
ความดีงามของหนังที่ยาวเกือบสามชั่วโมงนี้ คือ องค์ประกอบของภาพและเสียง งานภาพโดดเด่นมากในทุกฉากที่ใส่เข้ามา ในความรู้สึกผม ผมสามารถหยิบฉากใดในตอนใดก็ได้ของหนังเรื่องนี้เอามาทำเป็นวอลล์เปเปอร์คอมพิวเตอร์ได้หมด เสียงประกอบหนังก็โดดเด่นไม่แพ้กัน มันส่งเสริมภาพที่เกิดขึ้นในหนัง ทั้งความรัก ความยิ่งใหญ่ ความน่ากลัว รวมไปถึงการใช้ความเงียบ เพื่อบอกให้ผู้ชมรู้ว่าตัวละครกำลังใช้สมาธิในฉากนี้มากเป็นพิเศษ
จังหวะในการเดินเรื่องของหนังในภาคนี้ไม่ต่างจากภาคแรก นั้นคือ เนิบช้า หากใครที่คุ้นเคยกับหนังแอกชันที่ดำเนินเรื่องไวอาจจะพาให้รู้สึกเบื่อได้ โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่อง ที่ผมยอมรับว่ามีนั่งคอตกไปบ้าง ฉะนั้นจึงขอเตือนทุกท่านที่จะเข้าไปชมว่าควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อที่จะได้ดื่มดำกับหนังได้อย่างเต็มที่และอย่าลืมว่าหนังยาวเกือบสามชั่วโมง
นอกจากความเนิบช้าแล้ว สิ่งที่ผมอยากเตือนสำหรับคนที่จะไปดูหนังเรื่องนี้ คือ หนังผจญภัยหรือแฟนตาซีในยุคปัจจุบันมักจะใส่ความตลกลงในการผจญภัย แต่กับเรื่องนี้ไม่ใช่เลย หนังมีความจริงจังและดราม่าสูงมาก ไม่มีตัวละครมาพูดเรื่องตลกหรือทำท่าตลกให้ดู ไม่มีคำว่าตลกเลยแม้แต่น้อย คนที่ดูหนังเพื่อมาหาความตลกจึงไม่น่าจะเหมาะกับหนังเรื่องนี้
Timothée Chalamet และ Rebecca Ferguson คือจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ การได้เห็นตัวละครที่ทั้งสองคนเล่นขยับสถานะทางสังคมจากต่ำไปสูงพร้อมบุคคลิกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผมอดขนลุกไม่ได้ Zendaya ถึงแม้จะโผล่มาในหนังบ่อย แต่ด้วยบทของตัวละครที่ยังไม่มีอะไรให้เล่นมากนัก จะมีก็คงมีแค่ช่วงท้ายเกือบตอนจบของหนัง หวังว่าภาคสาม ตัวละครตัวนี้จะมีบทบาทมากกว่านี้
โดยรวมแล้ว หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่คอไซไฟแฟนตาซี ห้ามพลาดโดยประการทั้งปวง ภาพสวย เสียงดี ดราม่าล้น อาจไม่เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเพราะหนังค่อนข้างยาว และอาจไม่เหมาะสำหรับคนที่จะไปหาเสียงหัวเราะ แต่เหมาะสำหรับคนที่เป็นแฟนนวนิยายเรื่องนี้อยู่แล้ว รวมไปถึง คนที่ต้องการดูหนังแฟนตาซีดราม่าจริงจังที่ใส่ใจกับองค์ประกอบหนังในทุกฉาก
[CR] [Review] Dune Part 2: หนังไซไฟแฟนตาซีที่ดีงามทั้งเนื้อเรื่อง ภาพและเสียง
ต้นทาง: https://uaymemo.com/2024/03/02/review-dune-part-2/
facebook: https://www.facebook.com/profile.php?id=100092550211883
X: https://twitter.com/UayMemo
หากมองย้อนกลับไปในรอบสิบปีที่ผ่านมา หนังไซไฟแฟนตาซีที่ผมสามารถนึกได้แทบไม่มีออกมาเลย หรือถ้ามี คุณภาพที่ออกมาก็ไม่ดีนะ ยกตัวอย่างเช่นไตรภาคใหม่สตาร์วอร์ที่บรรดาสาวกหลายคนรวมถึงผมด้วยพากันส่ายหัว แต่แล้วสิ่งที่ทำให้คอหนังไซไฟแฟนตาซีได้ชุ่มชื่นหัวใจก็มาถึง เมื่อมีความพยายามที่จะนำมหากาพย์เรื่อง Dune กลับมาขึ้นจออีกครั้ง Dune Part 1 ได้กระแสตอบรับที่ดีระดับหนึ่ง จนเกิด Dune Part 2 ตามมา และภาคนี้มันได้ยกระดับจากภาคแรกพอสมควรเลยทีเดียว
Dune Part 2 แทบจะเดินเรื่องต่อจาก Dune Part 1 ในทันที พอล อะเทรเดส (Timothée Chalamet) และ เจสซิก้า (Rebecca Ferguson) แม่ของพอล ได้หนีจากการฆ่าล้างตระกูลสำเร็จและได้มาพบกับ เฟรเมน ชนพื้นเมืองทะเลทราย ทั้งสองจะได้เรียนรู้วิถีแห่งทะเลทรายและร่วมต่อสู้กับชาวเฟรเมนเพื่อกอบกู้อิสระภาพให้กับพวกเขา หรือแท้จริงแล้วพวกเขากำลังถูกดึงเข้าสู่สงครามการแย่งชิงอำนาจที่พอลและเจสซิก้าสร้างขึ้น
ความดีงามของหนังที่ยาวเกือบสามชั่วโมงนี้ คือ องค์ประกอบของภาพและเสียง งานภาพโดดเด่นมากในทุกฉากที่ใส่เข้ามา ในความรู้สึกผม ผมสามารถหยิบฉากใดในตอนใดก็ได้ของหนังเรื่องนี้เอามาทำเป็นวอลล์เปเปอร์คอมพิวเตอร์ได้หมด เสียงประกอบหนังก็โดดเด่นไม่แพ้กัน มันส่งเสริมภาพที่เกิดขึ้นในหนัง ทั้งความรัก ความยิ่งใหญ่ ความน่ากลัว รวมไปถึงการใช้ความเงียบ เพื่อบอกให้ผู้ชมรู้ว่าตัวละครกำลังใช้สมาธิในฉากนี้มากเป็นพิเศษ
จังหวะในการเดินเรื่องของหนังในภาคนี้ไม่ต่างจากภาคแรก นั้นคือ เนิบช้า หากใครที่คุ้นเคยกับหนังแอกชันที่ดำเนินเรื่องไวอาจจะพาให้รู้สึกเบื่อได้ โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่อง ที่ผมยอมรับว่ามีนั่งคอตกไปบ้าง ฉะนั้นจึงขอเตือนทุกท่านที่จะเข้าไปชมว่าควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อที่จะได้ดื่มดำกับหนังได้อย่างเต็มที่และอย่าลืมว่าหนังยาวเกือบสามชั่วโมง
นอกจากความเนิบช้าแล้ว สิ่งที่ผมอยากเตือนสำหรับคนที่จะไปดูหนังเรื่องนี้ คือ หนังผจญภัยหรือแฟนตาซีในยุคปัจจุบันมักจะใส่ความตลกลงในการผจญภัย แต่กับเรื่องนี้ไม่ใช่เลย หนังมีความจริงจังและดราม่าสูงมาก ไม่มีตัวละครมาพูดเรื่องตลกหรือทำท่าตลกให้ดู ไม่มีคำว่าตลกเลยแม้แต่น้อย คนที่ดูหนังเพื่อมาหาความตลกจึงไม่น่าจะเหมาะกับหนังเรื่องนี้
Timothée Chalamet และ Rebecca Ferguson คือจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ การได้เห็นตัวละครที่ทั้งสองคนเล่นขยับสถานะทางสังคมจากต่ำไปสูงพร้อมบุคคลิกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผมอดขนลุกไม่ได้ Zendaya ถึงแม้จะโผล่มาในหนังบ่อย แต่ด้วยบทของตัวละครที่ยังไม่มีอะไรให้เล่นมากนัก จะมีก็คงมีแค่ช่วงท้ายเกือบตอนจบของหนัง หวังว่าภาคสาม ตัวละครตัวนี้จะมีบทบาทมากกว่านี้
โดยรวมแล้ว หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่คอไซไฟแฟนตาซี ห้ามพลาดโดยประการทั้งปวง ภาพสวย เสียงดี ดราม่าล้น อาจไม่เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเพราะหนังค่อนข้างยาว และอาจไม่เหมาะสำหรับคนที่จะไปหาเสียงหัวเราะ แต่เหมาะสำหรับคนที่เป็นแฟนนวนิยายเรื่องนี้อยู่แล้ว รวมไปถึง คนที่ต้องการดูหนังแฟนตาซีดราม่าจริงจังที่ใส่ใจกับองค์ประกอบหนังในทุกฉาก
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้