[ข้อความในจดหมาย]
|เรียน คุณเคอัส
ขอแสดงความยินดีกับคุณเคอัสว่าที่ทหารระดับ 1 ทางราชสำนักได้มีความปิติเป็นอย่างมากที่จะแจ้งให้ทราบว่าท่านได้รับเลือกให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่มีเกียรตินี้ เนื่องจากจำนวนทหารที่ไม่เพียงพอและศึกบริเวณชายแดนที่มักเกิดการปะทะอยู่มิหยุดหย่อน ทางเราจึงได้ส่งจดหมายฉบับนี้มาขอความร่วมมือให้ท่านรายงานตัวเป็นเพื่อเข้าประจำการโดยด่วน ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงของอาณาจักรรามิสเฟียสืบไป
{หากผ่าฝืนอาจได้รับโทษทางกฎหมาย}
ลงนาม Tatarus Brongser|
‘................ ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย ...................’
ณ หน้ากำแพงปราสาทสูง เสียงในหัวของเคอัสยังคงดังก้องไม่ยอมหาย ตั้งแต่อ่านเนื้อความในจดหมายที่เขียนเรียงกันอย่างสวยงามเมื่อวันก่อน จนกระทั่งมายืนหลับตานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน ทั้งกลิ่นเหงื่อและสาบชาย เขายังคงรู้สึกสะอิดสะเอียนกับมันอย่างสุดจะทน แต่ตอนนี้เจ้าหนุ่มรักสงบของเราก็กำลังอยู่หน้ากำแพงหินขาวที่เดิม เหมือนดั่งฝันร้ายซ้อนฝันโครดร้ายของเจ้าตัวเลยก็ว่าได้
“ไอจดหมายที่ส่งมามันไม่ใช่ขอความร่วมมือแล้วว้อย! นั่นเขาเรียกบังคับกันชัดๆ โธ่!”
ขณะที่มือขวากำลังยีผมตัวเองอย่างหงุดหงิด ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีมือของใครซักคนมาวางลงที่ไหล่เบาๆ
“เอ๋...?”
“ในที่สุดวันที่เรารอคอยก็มาถึงนะเพื่อน…”
เคอัสหันกลับไป ได้เห็นฟริกยื่นนิ่งมองตรงไปสู่พระราชวังอันโอ่อ่าที่อยู่ภายหน้าด้วยความซึ้ง และปิติอย่างมาก
เคอัสมองหน้าเพื่อนร่างยักษ์ค้างอยู่ประมาณ 3-4 วินาที
‘ใครรอวันนี้กับเอ็งฟะ?’
เสียงรอบข้างเงียบหายไปจนได้ยินเสียงของแมลงหน้าร้อนร้องดังงิ๊ดๆ ขึ้นมาชัดเจน มือทั้งสองยกขึ้นตาหน้าตัวเองด้วยความหดหู่
“ฉันรู้ว่าแกก็ดีใจ...แต่เราจะเสียเวลาอยู่ตรงนี้ไม่ได้นะเคอัส ไปกันเถอะ!”
“เฮ้อ...ให้มันได้งี้สิ”
เคอัสบ่นงึมงำ ก่อนจะงุ้มตัวเดินห่อไหล่เคลื่อนร่างช้าๆ เดินตามหลังฟริกที่อกผายไหล่ผึ่งดิ่งล่วงหน้าไป
เมื่อทั้งคู่ก้าวผ่านกำแพงวังเพื่อรายงานตัว(อย่างเลี่ยงไม่ได้) ครั้งนี้พวกเขาต้องเข้าไปลึกกว่าเขตสนามซ้อมเพื่อรับอุปกรณ์ประจำตำแหน่ง เมื่อสองสหายเดินเข้าไปเรื่อยๆ จึงได้พบว่าบรรยากาศรอบตัวปราสาทประดับไปด้วยไม้พุ่มสีสดงดงามถูกตัดตกแต่งเป็นรูปทรงต่างๆ อย่างมีศิลปะ รูปแกะสลักและเครื่องปั้นราคาแพงมากมายถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ มันช่างต่างกับลานโล่งขอบกำแพงปราสาทที่ใช้ฝึกซ้อมราวฟ้ากับเหว
เดินตรงมาจนถึงหน้าตัววัง เสียงรองเท้าหุ้มเหล็กกระทบพื้นกระเบื้องสีครีมก็ดังใกล้เข้ามา
“ไง...ไม่นึกว่าพวกนายจะมาจริงๆ นะเนี่ย”
ทาทาลัสในชุดเต็มยศเดินโบกมือยิ้มมาแต่ไกล ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงที่หน้าประตูปราสาท ด้านหลังของเขาเป็นวังที่สร้างจากอิฐฉาบด้วยปูนขาวไม่ตกแต่งลวดลาย มันดูแข็งแกร่งขัดกับความหรูหราด้านในที่ไม่ว่าจะเป็นภาพศิลปะแขวนผนัง หุ่นเหล็กตั้งโชว์ หรือรูปปั้นสิงสาราสัตว์ลายละเอียดสูง
|“โธ่!!!” เคอัสกระโดดเข้ารวบกลางลำตัวทาทาลัสร่วงลงกับพื้น ก่อนจะกระหน่ำต่อยไม่ยั้งมือ “เอ็งเล่นใช้กฏหมายบังคับกันแบบนี้ใครก็ต้องมากันทั้งนั้นละเฟ้ย!!”|
เคอัสได้กัดฟันจิตนาการในสมองด้วยความหงุดหงิดที่โหมขึ้นเมื่อได้เห็นหน้า แต่เสียงรองเท้ากระทบกันด้านข้างก็ทำให้เขาต้องหันมอง
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ!” ฟริกกล่าวดังและหนักแน่น ก่อนจะหันมาเอ็ดเพื่อนเกลอที่ยืนปล่อยตัวตามสบายอยู่ข้างๆ “เคอัส!! ทำอะไรอยู่รีบทำความเคารพสิ”
“คร๊าบๆ เป็นเกียรติยิ่งคร๊าบ”
ทาทาลัสเร่งฝีเท้าเดินเข้าหาเคอัสที่ทำท่าเคารพอย่างไร้เรี่ยวแรง และหยุดยืนนิ่งจ้องหน้าตาเขม็งคล้ายโกรธจัด ก่อนจะคลายยิ้มหวานออกมา
“จากวันนี้นายทั้ง 2 คนก็จะเป็นทหารเต็มตัวแล้วนะ...ยินดีต้อนรับ”
เมื่อพูดเสร็จทาทาลัสก็พลิกตัวสะบัดปลายผ้าคลุมสีทองเดินกลับไปทันที เคอัสได้แต่จ้องมองแผ่นหลังนั่นอย่างหมั่นไส้ แต่เพียงครู่เดียวเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างผิดปกติ เหล่าทหารทั้งน้อยใหญ่แต่งกายเต็มยศกำลังวิ่งหน้าตั้งกันไปเป็นแถว
“เอ่อ...ลืมบอกไป” ทาทาลัสหันควับ “พวกนายมีเวลาถึง 6 โมงเย็นก่อนองค์หญิงจะกลับมา เครื่องแต่งกายฉันเก็บไว้ที่ห้องเดิมแล้ว รีบแต่งให้เสร็จ เราจะต้องเข้าแถวรับเสร็จองค์หญิงกัน” เมื่อพูดเสร็จก็เดินจากไปอีกครั้ง
“เมื่อกี้...ท่านทาทาลัสว่าไงนะ ?”
ฟริกหน้ามึนๆ หันมาถามสหายผมดำที่ยืนด้านข้าง
“เราต้องรับเสด็จองค์หญิงตอน 6 โมงไง...” เคอัสตอบพลางชะเง้อมองเข้าไปดูตู้นาฬิกาตั้งพื้นที่วางอยู่ในตัวปราสาท “6 โมง.... เหลือเวลาอีก 40 นาทีเองนี่หว่า !?” เมื่อคิดได้เช่นนั้น แน่นอนต่อให้เป็นเด็ก ป.5 ยังรู้เลยว่าต้องทำอะไร พวกเขารีบแจ้นไปยังที่พักทันที มันก็คือไอเรือนจำเก่าตอนฝึกนั่นเอง
...
กางเกง เสื้อยืด สนับแขนและขา เข็มขัดสายคู่สำหรับสะพายดาบ ผ้าคลุมสั้นสีขาว และป้ายชื่อ ฟริกส่องกระจกแต่งตัวอย่างเร่งรีบราวกับนัดแฟนสาวที่จะออกเดทไว้
“ไปกันเถอะเพื่อนยาก”
หนุ่มบึ๊กลุกลี้ลุกลนเดินไปมา เขาดูตื่นเต้นมากกับงานแรกหลังได้เป็นทหารเต็มตัว มันช่างต่างกันเหลือเกินเมื่อเทียบกับเคอัสที่กำลังปิดปากหาว โดยสวมเสื้อยืดชั้นในสีขาวยังไม่ลงมาปิดหัวนมทั้งสองซะด้วยซ้ำ
‘จะอะไรกันนักหนากับอิแค่ไปยืนเด่เหมือนเสาไฟเพื่อให้ลูกคุณหนูเขาปลื้มใจ’
หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนรีบวิ่งไปยังลานหน้าปราสาท
ภาพของการตั้งแถวคู่ขนาน 3 ชั้น ยาวเหยียดมาตั้งแต่กำแพงหน้าที่ไกลประมาณ 500 เมตร ทำให้เคอัสถึงกับกลืนน้ำลายดังอึก เพราะดูเหมือนมันจะไม่ใช่อะไรสบายๆ เหมือนที่คิดเสียแล้ว
“เคอัส ฟริก พวกนายไปยืนตรงนั้น”
ทาทาลัสผู้อยู่บนอานสีแดงตัดกับม้าขาวดูสูงศักดิ์ ชี้นิ้วไปยังท้ายแถวซึ่งอยู่ติดกับประตูปราสาทที่สุด ก่อนจะควบม้าวิ่งขนานกับแถวไปยังหน้ากำแพง
หน้าใหม่ทั้งสองรีบทำตามคำสั่งทันที
เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบ ทหารในเครื่องแบบยืนเรียงกันนิ่งแบ่งตามระดับขั้นจากสูงไปต่ำไล่เรียงมา สีของผ้าคลุมที่ต่างกันไปแต่ละระดับทำให้มันเป็นภาพที่ดูราวกับรูปวาดของศิลปินชื่อดังที่หาชมได้ยาก
และแล้วก็มาถึง เสียงเครื่องเป่าสำเนียงราชวังดังก้อง ก่อนเสียงกลองและเครื่องดนตรีอื่น จะดังโหมตามกันมาเป็นเสียงบรรเลงต้อนรับขบวนเสด็จขององค์หญิง
ดาบสีกับฝักเป็นเสียงดังไล่มาเป็นจังหวะ ทหารแต่ละชุดชักดาบขึ้นพร้อมกันอย่างสวยงามตามเส้นทางที่รถม้าเคลื่อนผ่าน
‘โธ่เอ้ย...ไอแบบนี้เคยซ้อมมาแล้วตอนเป็นทหารฝึกหัดนี่นา ก็แค่รอดูสัญญาณจากคนคุมกองตัวเองแล้วชักดาบพร้อมชาวบ้านเค้า...ไม่ยากๆ’
เคอัสสรุปความเองเสร็จสรรพ
เมื่อคนคุมกองทหารใหม่เริ่มชูมือส่งสัญญาณให้เตรียมตัว เหล่าทหารประจำชุดเอามือจับดาบและปลอกดาบอย่างมั่นเหมาะ เสียงรถม้าควบเข้าใกล้เคอัสมาเรื่อยๆ และทันใดนั้น ผู้คุมกองสะบัดมือลงเป็นสัญญาณแสดงความเคารพ
เสียงดาบสีกับฝัก ท่ายืนที่แน่นิ่ง สายตามองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นไหว เคอัสชูดาบติดเข็มขัดขึ้นฟ้า 45 องศาด้วยมือขวาอย่างสง่างาม ท่อนล่างของเขาเปลือยเห็นกางเกงในสีขาวไม่มีลวดลาย และทันใดนั้นเอง ผ้าม่านสีฟ้าที่กระจกประตูรถม้าเปิดออกอย่างเร็ว เส้นผมสีชมพูสะท้อนกับแสงไฟยามโพล้เพล้ ใบหน้าที่ขาวอมชมพูไร้รอยขีดข่วนกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกำลังจดจ้องลงมา
เป็นจังหวะเดียวกันกับเคอัสที่เพิ่งก้มลงไปคว้ากางเกงที่กองอยู่ปลายขา ทั้งคู่ประสานตากันเหมือนดั่งโรมิโอกับจูเรียด เสียงของเครื่องดนตรีทั้งหลายหยุดลงพอดิบพอดี เหมือนเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะก่อนรอยยิ้มมุมปากอันชั่วร้าย จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าองค์หญิง
‘ชะ...
แล้ว ...’
นั่นคือสิ่งเดียวที่เคอัสคิดได้ในขณะมองรถม้าเคลื่อนที่ต่อไปช้าๆ
…
เมื่อแสงตะวันสาดส่องขึ้นฟ้าบอกถึงอรุณรุ่งอีกครั้ง เสียงผีเท้าเดิมที่คุ้นหูก็กำลังก้าวเข้ามายังห้องขังใต้ดินที่อับชื้น ระหว่างทางที่เดินผ่านพวกทหารยามที่นั่งหาวรีบสะดุ้งตัวขึ้นทำความเคารพจนเกือบจะหัวทิ่มเลยทีเดียว ชายหนุ่มเจ้าของผมยาวสีทองเดินตรงไปเรื่อยๆ ซักพักจึงหยุดยืนที่หน้าห้องขังที่ดูไม่มีอะไรพิเศษ ก่อนจะก้มลงนั่งยองๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่น่าเลยน้า…พ่ออัศวินหน้าใหม่”
“จะมาหัวเราะเยาะฉันรึไง”
เคอัสนั่งกอดเข่าหมดอะไรตายอยากอยู่ในห้องขังที่โล่งโจ้ง มองสวนทาทาลัสที่ยิ้มจนตาแทบปิดกลับไปด้วยหางตา
“ฮ่ะๆ ความจริงฉันหัวเราะไปมากพอแล้วก่อนจะเดินเข้ามานะ โดนจับข้อหาทำกริยาไม่สมควรต่อหน้าราชวงศ์ นายนี่มันเจ๋งเกินคาดจริงๆ ตั้งแต่ฉันเป็นทหารมายังไม่เคยเจอแบบนี้เลยนะ บอกตรงๆ”
“มันเป็นอุบัติเหตุเฟ้ย อุบัติเหตุ!”
“เอาน่า...ฉันรู้แล้ว แต่วันนี้นายจะมามัวนั่งกอดเข่าแบบนี้ไม่ได้”
ทาทาลัสยืนขึ้นก่อนจะหยิบลูกกุญแจออกมาไขประตูห้องขังช้าๆ พลางยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย
“นายกับฉันมีภารกิจลับต้องไปทำกันแล้วละ”
…
‘ไอภารกิจลับมันคืออะไรกันนะ...แต่ยังไงๆ มันก็คงดีกว่าภารกิจนั่งเน่าในห้องขังเห็นๆ ละ’
ขณะที่เคอัสเดินตามหลังทาทาลัสออกมานอกคุกที่สร้างแยกอยู่ติดๆ กับขอบกำแพงวัง ความคิดจากสมองน้อยๆ ก็แล่นไปเรื่อยเปื่อย
เขาเดินออกมามาเรื่อยๆ จนถึงประตูหน้า ก่อนเกิดอาการช๊อคแบบปากค้าง เมื่อสิ่งที่ได้เห็นคือองค์หญิงหัวชมพูในชุดลำลองเหมือนชาวบ้านทั่วไป เธอกำลังยืนเท้าสะเอวทำหน้าตาหงุดหงิด มันเป็นท่าทางที่ชวนให้รู้สึกถึงอารมณ์อันฉุนเฉียวดั่งกาน้ำที่ร้อนจนจะร้องหวีดขึ้นมา
“นายช้ามากทาทาลัส!”
“ก็องค์หญิงบอกให้กระผมไปพาเขาไปด้วยไม่ใช่หรอครับ”
ทาทาลัสเอามือขวาแนบอก โค้งตัวตอบอย่างอ่อนน้อม
“ทาทาลัส...ไปถอดเกราะออกให้เรียบร้อย ครั้งนี้เราต้องไปอย่างไม่สะดุดตาที่สุด”
นิ้วเล็กๆ ชี้สั่ง นายทหารยศใหญ่ถึงกับต้องรีบวิ่งกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดทันที
“เอ่อ...คือนี่เรากำลังจะไปไหน แล้วทำไมฉันต้องไปด้วยละ?”
“นายมีหน้าที่ทำให้ฉันหัวเราะไงละ! เหมือนที่ทำเมื่อวาน...นั้นแหละสำคัญที่สุดเลย ส่วนเราจะไปไหนกันนายไม่ต้องรู้หรอก”
นิ้วชี้ลากมาอยู่ตรงหน้า เคอัสได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วเก็บกดในใจ
'โอ้ววววว!!! แม่เจ้า...พวกที่เรียกว่าชนชั้นสูงมันจะเป็นอย่างนี้กันหมดเลยรึไงฟะ! แล้วสรุปว่านี่ผมมีหน้าที่โชว์กางเกงลิงงั้นเรอะ!?'
จากนั้นทาทาลัสก็วิ่งมาพร้อมกับผมที่ผูกไว้เป็นหางม้าและชุดไปรเวทธรรมดา ก่อนจะค่อยๆ ประคององค์หญิงขึ้นนั่งที่ตู้ด้านหลังของรถม้าที่ทำจากไม้สัก ประดับประดาตกแต่งสวยงาม
“เคอัสนายไปนั่งข้างหน้ากับฟริก เราจะมุ่งไปที่ลูฟแลนด์(LoofLand)กันก่อนโดยผ่านทางป่าแห่งความเงียบ”
ทาทาลัสพูดและชี้ไปยังทิศตะวันออกของเมือง
‘เอ๋...ป่าแห่งความเงียบ ทางนั้นถ้าไม่จำเป็นเขาจะไม่นิยมไปกันไม่หรอ’ เคอัสฉุกคิดทันทีเมื่อได้ยินชื่อเส้นทางที่ผู้คนต่างเล่าขาน ‘ก็ป่านั้นมันมี อากอส(Argost) อยู่นินา...’
ฟริกตีแส้ฟาดลง รถม้าค่อยๆ เริ่มเคลื่อนออกจากหน้ากำแพงปราสาทอย่างช้าๆ มุ่งไปสู่ลูฟแลนด์ดินแดนที่ได้ชื่อว่านครแห่งเสียงระฆัง
[IF] > ตอนที่ 3 : Compliance [อยู่ในโอวาท]
|เรียน คุณเคอัส
ขอแสดงความยินดีกับคุณเคอัสว่าที่ทหารระดับ 1 ทางราชสำนักได้มีความปิติเป็นอย่างมากที่จะแจ้งให้ทราบว่าท่านได้รับเลือกให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่มีเกียรตินี้ เนื่องจากจำนวนทหารที่ไม่เพียงพอและศึกบริเวณชายแดนที่มักเกิดการปะทะอยู่มิหยุดหย่อน ทางเราจึงได้ส่งจดหมายฉบับนี้มาขอความร่วมมือให้ท่านรายงานตัวเป็นเพื่อเข้าประจำการโดยด่วน ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงของอาณาจักรรามิสเฟียสืบไป
{หากผ่าฝืนอาจได้รับโทษทางกฎหมาย}
ลงนาม Tatarus Brongser|
‘................ ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย ...................’
ณ หน้ากำแพงปราสาทสูง เสียงในหัวของเคอัสยังคงดังก้องไม่ยอมหาย ตั้งแต่อ่านเนื้อความในจดหมายที่เขียนเรียงกันอย่างสวยงามเมื่อวันก่อน จนกระทั่งมายืนหลับตานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน ทั้งกลิ่นเหงื่อและสาบชาย เขายังคงรู้สึกสะอิดสะเอียนกับมันอย่างสุดจะทน แต่ตอนนี้เจ้าหนุ่มรักสงบของเราก็กำลังอยู่หน้ากำแพงหินขาวที่เดิม เหมือนดั่งฝันร้ายซ้อนฝันโครดร้ายของเจ้าตัวเลยก็ว่าได้
“ไอจดหมายที่ส่งมามันไม่ใช่ขอความร่วมมือแล้วว้อย! นั่นเขาเรียกบังคับกันชัดๆ โธ่!”
ขณะที่มือขวากำลังยีผมตัวเองอย่างหงุดหงิด ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีมือของใครซักคนมาวางลงที่ไหล่เบาๆ
“เอ๋...?”
“ในที่สุดวันที่เรารอคอยก็มาถึงนะเพื่อน…”
เคอัสหันกลับไป ได้เห็นฟริกยื่นนิ่งมองตรงไปสู่พระราชวังอันโอ่อ่าที่อยู่ภายหน้าด้วยความซึ้ง และปิติอย่างมาก
เคอัสมองหน้าเพื่อนร่างยักษ์ค้างอยู่ประมาณ 3-4 วินาที
‘ใครรอวันนี้กับเอ็งฟะ?’
เสียงรอบข้างเงียบหายไปจนได้ยินเสียงของแมลงหน้าร้อนร้องดังงิ๊ดๆ ขึ้นมาชัดเจน มือทั้งสองยกขึ้นตาหน้าตัวเองด้วยความหดหู่
“ฉันรู้ว่าแกก็ดีใจ...แต่เราจะเสียเวลาอยู่ตรงนี้ไม่ได้นะเคอัส ไปกันเถอะ!”
“เฮ้อ...ให้มันได้งี้สิ”
เคอัสบ่นงึมงำ ก่อนจะงุ้มตัวเดินห่อไหล่เคลื่อนร่างช้าๆ เดินตามหลังฟริกที่อกผายไหล่ผึ่งดิ่งล่วงหน้าไป
เมื่อทั้งคู่ก้าวผ่านกำแพงวังเพื่อรายงานตัว(อย่างเลี่ยงไม่ได้) ครั้งนี้พวกเขาต้องเข้าไปลึกกว่าเขตสนามซ้อมเพื่อรับอุปกรณ์ประจำตำแหน่ง เมื่อสองสหายเดินเข้าไปเรื่อยๆ จึงได้พบว่าบรรยากาศรอบตัวปราสาทประดับไปด้วยไม้พุ่มสีสดงดงามถูกตัดตกแต่งเป็นรูปทรงต่างๆ อย่างมีศิลปะ รูปแกะสลักและเครื่องปั้นราคาแพงมากมายถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ มันช่างต่างกับลานโล่งขอบกำแพงปราสาทที่ใช้ฝึกซ้อมราวฟ้ากับเหว
เดินตรงมาจนถึงหน้าตัววัง เสียงรองเท้าหุ้มเหล็กกระทบพื้นกระเบื้องสีครีมก็ดังใกล้เข้ามา
“ไง...ไม่นึกว่าพวกนายจะมาจริงๆ นะเนี่ย”
ทาทาลัสในชุดเต็มยศเดินโบกมือยิ้มมาแต่ไกล ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงที่หน้าประตูปราสาท ด้านหลังของเขาเป็นวังที่สร้างจากอิฐฉาบด้วยปูนขาวไม่ตกแต่งลวดลาย มันดูแข็งแกร่งขัดกับความหรูหราด้านในที่ไม่ว่าจะเป็นภาพศิลปะแขวนผนัง หุ่นเหล็กตั้งโชว์ หรือรูปปั้นสิงสาราสัตว์ลายละเอียดสูง
|“โธ่!!!” เคอัสกระโดดเข้ารวบกลางลำตัวทาทาลัสร่วงลงกับพื้น ก่อนจะกระหน่ำต่อยไม่ยั้งมือ “เอ็งเล่นใช้กฏหมายบังคับกันแบบนี้ใครก็ต้องมากันทั้งนั้นละเฟ้ย!!”|
เคอัสได้กัดฟันจิตนาการในสมองด้วยความหงุดหงิดที่โหมขึ้นเมื่อได้เห็นหน้า แต่เสียงรองเท้ากระทบกันด้านข้างก็ทำให้เขาต้องหันมอง
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ!” ฟริกกล่าวดังและหนักแน่น ก่อนจะหันมาเอ็ดเพื่อนเกลอที่ยืนปล่อยตัวตามสบายอยู่ข้างๆ “เคอัส!! ทำอะไรอยู่รีบทำความเคารพสิ”
“คร๊าบๆ เป็นเกียรติยิ่งคร๊าบ”
ทาทาลัสเร่งฝีเท้าเดินเข้าหาเคอัสที่ทำท่าเคารพอย่างไร้เรี่ยวแรง และหยุดยืนนิ่งจ้องหน้าตาเขม็งคล้ายโกรธจัด ก่อนจะคลายยิ้มหวานออกมา
“จากวันนี้นายทั้ง 2 คนก็จะเป็นทหารเต็มตัวแล้วนะ...ยินดีต้อนรับ”
เมื่อพูดเสร็จทาทาลัสก็พลิกตัวสะบัดปลายผ้าคลุมสีทองเดินกลับไปทันที เคอัสได้แต่จ้องมองแผ่นหลังนั่นอย่างหมั่นไส้ แต่เพียงครู่เดียวเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างผิดปกติ เหล่าทหารทั้งน้อยใหญ่แต่งกายเต็มยศกำลังวิ่งหน้าตั้งกันไปเป็นแถว
“เอ่อ...ลืมบอกไป” ทาทาลัสหันควับ “พวกนายมีเวลาถึง 6 โมงเย็นก่อนองค์หญิงจะกลับมา เครื่องแต่งกายฉันเก็บไว้ที่ห้องเดิมแล้ว รีบแต่งให้เสร็จ เราจะต้องเข้าแถวรับเสร็จองค์หญิงกัน” เมื่อพูดเสร็จก็เดินจากไปอีกครั้ง
“เมื่อกี้...ท่านทาทาลัสว่าไงนะ ?”
ฟริกหน้ามึนๆ หันมาถามสหายผมดำที่ยืนด้านข้าง
“เราต้องรับเสด็จองค์หญิงตอน 6 โมงไง...” เคอัสตอบพลางชะเง้อมองเข้าไปดูตู้นาฬิกาตั้งพื้นที่วางอยู่ในตัวปราสาท “6 โมง.... เหลือเวลาอีก 40 นาทีเองนี่หว่า !?” เมื่อคิดได้เช่นนั้น แน่นอนต่อให้เป็นเด็ก ป.5 ยังรู้เลยว่าต้องทำอะไร พวกเขารีบแจ้นไปยังที่พักทันที มันก็คือไอเรือนจำเก่าตอนฝึกนั่นเอง
...
กางเกง เสื้อยืด สนับแขนและขา เข็มขัดสายคู่สำหรับสะพายดาบ ผ้าคลุมสั้นสีขาว และป้ายชื่อ ฟริกส่องกระจกแต่งตัวอย่างเร่งรีบราวกับนัดแฟนสาวที่จะออกเดทไว้
“ไปกันเถอะเพื่อนยาก”
หนุ่มบึ๊กลุกลี้ลุกลนเดินไปมา เขาดูตื่นเต้นมากกับงานแรกหลังได้เป็นทหารเต็มตัว มันช่างต่างกันเหลือเกินเมื่อเทียบกับเคอัสที่กำลังปิดปากหาว โดยสวมเสื้อยืดชั้นในสีขาวยังไม่ลงมาปิดหัวนมทั้งสองซะด้วยซ้ำ
‘จะอะไรกันนักหนากับอิแค่ไปยืนเด่เหมือนเสาไฟเพื่อให้ลูกคุณหนูเขาปลื้มใจ’
หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนรีบวิ่งไปยังลานหน้าปราสาท
ภาพของการตั้งแถวคู่ขนาน 3 ชั้น ยาวเหยียดมาตั้งแต่กำแพงหน้าที่ไกลประมาณ 500 เมตร ทำให้เคอัสถึงกับกลืนน้ำลายดังอึก เพราะดูเหมือนมันจะไม่ใช่อะไรสบายๆ เหมือนที่คิดเสียแล้ว
“เคอัส ฟริก พวกนายไปยืนตรงนั้น”
ทาทาลัสผู้อยู่บนอานสีแดงตัดกับม้าขาวดูสูงศักดิ์ ชี้นิ้วไปยังท้ายแถวซึ่งอยู่ติดกับประตูปราสาทที่สุด ก่อนจะควบม้าวิ่งขนานกับแถวไปยังหน้ากำแพง
หน้าใหม่ทั้งสองรีบทำตามคำสั่งทันที
เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบ ทหารในเครื่องแบบยืนเรียงกันนิ่งแบ่งตามระดับขั้นจากสูงไปต่ำไล่เรียงมา สีของผ้าคลุมที่ต่างกันไปแต่ละระดับทำให้มันเป็นภาพที่ดูราวกับรูปวาดของศิลปินชื่อดังที่หาชมได้ยาก
และแล้วก็มาถึง เสียงเครื่องเป่าสำเนียงราชวังดังก้อง ก่อนเสียงกลองและเครื่องดนตรีอื่น จะดังโหมตามกันมาเป็นเสียงบรรเลงต้อนรับขบวนเสด็จขององค์หญิง
ดาบสีกับฝักเป็นเสียงดังไล่มาเป็นจังหวะ ทหารแต่ละชุดชักดาบขึ้นพร้อมกันอย่างสวยงามตามเส้นทางที่รถม้าเคลื่อนผ่าน
‘โธ่เอ้ย...ไอแบบนี้เคยซ้อมมาแล้วตอนเป็นทหารฝึกหัดนี่นา ก็แค่รอดูสัญญาณจากคนคุมกองตัวเองแล้วชักดาบพร้อมชาวบ้านเค้า...ไม่ยากๆ’
เคอัสสรุปความเองเสร็จสรรพ
เมื่อคนคุมกองทหารใหม่เริ่มชูมือส่งสัญญาณให้เตรียมตัว เหล่าทหารประจำชุดเอามือจับดาบและปลอกดาบอย่างมั่นเหมาะ เสียงรถม้าควบเข้าใกล้เคอัสมาเรื่อยๆ และทันใดนั้น ผู้คุมกองสะบัดมือลงเป็นสัญญาณแสดงความเคารพ
เสียงดาบสีกับฝัก ท่ายืนที่แน่นิ่ง สายตามองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นไหว เคอัสชูดาบติดเข็มขัดขึ้นฟ้า 45 องศาด้วยมือขวาอย่างสง่างาม ท่อนล่างของเขาเปลือยเห็นกางเกงในสีขาวไม่มีลวดลาย และทันใดนั้นเอง ผ้าม่านสีฟ้าที่กระจกประตูรถม้าเปิดออกอย่างเร็ว เส้นผมสีชมพูสะท้อนกับแสงไฟยามโพล้เพล้ ใบหน้าที่ขาวอมชมพูไร้รอยขีดข่วนกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกำลังจดจ้องลงมา
เป็นจังหวะเดียวกันกับเคอัสที่เพิ่งก้มลงไปคว้ากางเกงที่กองอยู่ปลายขา ทั้งคู่ประสานตากันเหมือนดั่งโรมิโอกับจูเรียด เสียงของเครื่องดนตรีทั้งหลายหยุดลงพอดิบพอดี เหมือนเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะก่อนรอยยิ้มมุมปากอันชั่วร้าย จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าองค์หญิง
‘ชะ...แล้ว ...’
นั่นคือสิ่งเดียวที่เคอัสคิดได้ในขณะมองรถม้าเคลื่อนที่ต่อไปช้าๆ
…
เมื่อแสงตะวันสาดส่องขึ้นฟ้าบอกถึงอรุณรุ่งอีกครั้ง เสียงผีเท้าเดิมที่คุ้นหูก็กำลังก้าวเข้ามายังห้องขังใต้ดินที่อับชื้น ระหว่างทางที่เดินผ่านพวกทหารยามที่นั่งหาวรีบสะดุ้งตัวขึ้นทำความเคารพจนเกือบจะหัวทิ่มเลยทีเดียว ชายหนุ่มเจ้าของผมยาวสีทองเดินตรงไปเรื่อยๆ ซักพักจึงหยุดยืนที่หน้าห้องขังที่ดูไม่มีอะไรพิเศษ ก่อนจะก้มลงนั่งยองๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่น่าเลยน้า…พ่ออัศวินหน้าใหม่”
“จะมาหัวเราะเยาะฉันรึไง”
เคอัสนั่งกอดเข่าหมดอะไรตายอยากอยู่ในห้องขังที่โล่งโจ้ง มองสวนทาทาลัสที่ยิ้มจนตาแทบปิดกลับไปด้วยหางตา
“ฮ่ะๆ ความจริงฉันหัวเราะไปมากพอแล้วก่อนจะเดินเข้ามานะ โดนจับข้อหาทำกริยาไม่สมควรต่อหน้าราชวงศ์ นายนี่มันเจ๋งเกินคาดจริงๆ ตั้งแต่ฉันเป็นทหารมายังไม่เคยเจอแบบนี้เลยนะ บอกตรงๆ”
“มันเป็นอุบัติเหตุเฟ้ย อุบัติเหตุ!”
“เอาน่า...ฉันรู้แล้ว แต่วันนี้นายจะมามัวนั่งกอดเข่าแบบนี้ไม่ได้”
ทาทาลัสยืนขึ้นก่อนจะหยิบลูกกุญแจออกมาไขประตูห้องขังช้าๆ พลางยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย
“นายกับฉันมีภารกิจลับต้องไปทำกันแล้วละ”
…
‘ไอภารกิจลับมันคืออะไรกันนะ...แต่ยังไงๆ มันก็คงดีกว่าภารกิจนั่งเน่าในห้องขังเห็นๆ ละ’
ขณะที่เคอัสเดินตามหลังทาทาลัสออกมานอกคุกที่สร้างแยกอยู่ติดๆ กับขอบกำแพงวัง ความคิดจากสมองน้อยๆ ก็แล่นไปเรื่อยเปื่อย
เขาเดินออกมามาเรื่อยๆ จนถึงประตูหน้า ก่อนเกิดอาการช๊อคแบบปากค้าง เมื่อสิ่งที่ได้เห็นคือองค์หญิงหัวชมพูในชุดลำลองเหมือนชาวบ้านทั่วไป เธอกำลังยืนเท้าสะเอวทำหน้าตาหงุดหงิด มันเป็นท่าทางที่ชวนให้รู้สึกถึงอารมณ์อันฉุนเฉียวดั่งกาน้ำที่ร้อนจนจะร้องหวีดขึ้นมา
“นายช้ามากทาทาลัส!”
“ก็องค์หญิงบอกให้กระผมไปพาเขาไปด้วยไม่ใช่หรอครับ”
ทาทาลัสเอามือขวาแนบอก โค้งตัวตอบอย่างอ่อนน้อม
“ทาทาลัส...ไปถอดเกราะออกให้เรียบร้อย ครั้งนี้เราต้องไปอย่างไม่สะดุดตาที่สุด”
นิ้วเล็กๆ ชี้สั่ง นายทหารยศใหญ่ถึงกับต้องรีบวิ่งกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดทันที
“เอ่อ...คือนี่เรากำลังจะไปไหน แล้วทำไมฉันต้องไปด้วยละ?”
“นายมีหน้าที่ทำให้ฉันหัวเราะไงละ! เหมือนที่ทำเมื่อวาน...นั้นแหละสำคัญที่สุดเลย ส่วนเราจะไปไหนกันนายไม่ต้องรู้หรอก”
นิ้วชี้ลากมาอยู่ตรงหน้า เคอัสได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วเก็บกดในใจ
'โอ้ววววว!!! แม่เจ้า...พวกที่เรียกว่าชนชั้นสูงมันจะเป็นอย่างนี้กันหมดเลยรึไงฟะ! แล้วสรุปว่านี่ผมมีหน้าที่โชว์กางเกงลิงงั้นเรอะ!?'
จากนั้นทาทาลัสก็วิ่งมาพร้อมกับผมที่ผูกไว้เป็นหางม้าและชุดไปรเวทธรรมดา ก่อนจะค่อยๆ ประคององค์หญิงขึ้นนั่งที่ตู้ด้านหลังของรถม้าที่ทำจากไม้สัก ประดับประดาตกแต่งสวยงาม
“เคอัสนายไปนั่งข้างหน้ากับฟริก เราจะมุ่งไปที่ลูฟแลนด์(LoofLand)กันก่อนโดยผ่านทางป่าแห่งความเงียบ”
ทาทาลัสพูดและชี้ไปยังทิศตะวันออกของเมือง
‘เอ๋...ป่าแห่งความเงียบ ทางนั้นถ้าไม่จำเป็นเขาจะไม่นิยมไปกันไม่หรอ’ เคอัสฉุกคิดทันทีเมื่อได้ยินชื่อเส้นทางที่ผู้คนต่างเล่าขาน ‘ก็ป่านั้นมันมี อากอส(Argost) อยู่นินา...’
ฟริกตีแส้ฟาดลง รถม้าค่อยๆ เริ่มเคลื่อนออกจากหน้ากำแพงปราสาทอย่างช้าๆ มุ่งไปสู่ลูฟแลนด์ดินแดนที่ได้ชื่อว่านครแห่งเสียงระฆัง