หมดมุข โดย ฐากูร บุนปาน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1370431157&grpid=&catid=02&subcatid=0207
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 (มติชนรายวัน 5 มิ.ย.2556)
ถ้าเป็นภาพยนตร์ที่เข้าฉายตามโรงหนัง ก็น่าสงสัยอยู่ว่าหนังเรื่อง "หน้ากากขาว" ที่เพิ่งเปิดแสดงไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
คงขาดทุนย่อยยับ
เพราะขณะเทียบกับเมื่อช่วงที่พยายามโปรโมตกันอยู่ในโลกไซเบอร์นั้น ซึ่งดูเหมือนว่าจะคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
จนทำเอาคนจำนวนไม่น้อยมั่นใจ (หรืออีกฝ่ายก็กังวลใจ) ว่า
หน้ากากขาวจะเป็นชนวนตั้งต้นของขบวนการต่อต้านรัฐบาลอย่างเอาจริงเอาจัง
ที่ไหนได้
พอถึงวันนัดชุมนุมกันจริงๆ มีคนมาร่วมขบวนไม่ถึงพันคน ถึงสื่อในฝ่ายที่รักใคร่อุ้มชูกันพยายามใช้มุมกล้องเข้าช่วยอย่างไร
ก็ปฏิเสธความจริงที่เห็นอยู่กับตาไม่ได้
แต่เอาเถิดเรื่องคนชุมนุมมากน้อยเท่าไหร่นั้นยกประโยชน์ให้
เพราะพลังของการชุมนุมหรือการแสดงออกทางการเมืองนั้น นอกจากขึ้นอยู่กับ "ปริมาณ" แล้ว ยังต้องขึ้นกับ "คุณภาพ"
คือเนื้อหาของประเด็นที่เสนอหรือข้อเรียกร้องทั้งหลายด้วย
ว่ามีหลักการ เหตุผล ข้อเท็จจริงรองรับหรือไม่
เป็นประเด็นที่คนส่วนใหญ่รับฟังรับชมแล้วเกิดอารมณ์ร่วมด้วยหรือไม่
นี่แป้กเรื่องแรกแล้วยังแป้กเรื่องสองตามมาอีก
จะจุดไฟติดขึ้นมาได้อย่างไรยังสงสัย
ประเภทชุมนุมกันโดยใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย แต่ไปเรียกร้องให้ทหารออกมายึดอำนาจ
แป้กตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว
อาจจะต้องกลับไปตรวจสอบทบทวนตัวเองให้มากๆ ด้วย ว่าที่คึกคักกันเหลือหลายในโลกไซเบอร์นั้น
เอาเข้าจริงมีคนอยู่แค่กลุ่มเดียวหยิบมือเดียวหรือไม่
แต่เพราะในโลกไซเบอร์ไม่ต้องแสดงตัวตน หรือจะแปลงกายเพิ่มจำนวนเป็นกี่คนก็ได้
ปั่นกันไปมา จนกระทั่งสะกดจิตตัวเองได้ว่ากลายเป็นกระแสไปนั่น
ฉะนั้น คราวหน้าถ้าจะมาใหม่ ทำการบ้านให้ละเอียดกว่านี้สักหน่อย
เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันก็เหมือนมวยประมาท อุตส่าห์ลดการ์ด-เปิดหน้าล่อเป้าตลอดอยู่แล้ว
ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหากฎหมายปรองดอง/กฎหมายนิรโทษขัดกันเองในตัวอย่างนี้หรือ
ไม่อย่างนั้นการแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะตะกุกตะกัก ไปคนละทางสองทางอย่างนี้หรือ
ไม่อย่างนั้นเวลาถูกจี้เรื่องจำนำข้าวเข้าไปมากๆ ก็ต้องสวมวิญญาณ "คนใบ้กินบอระเพ็ด"
ขมปากแต่พูดไม่ได้อย่างนี้หรือ
ฯลฯ
มีเรื่องมีประเด็นให้หยิบจับขึ้นมาเคลื่อนไหวตั้งเยอะแยะมากมาย ผ่าไปเลือกเรื่องที่ชูขึ้นมาแล้วตัดกำลังตัวเอง
แบบนี้เคลื่อนไหวไปถึงชาติหน้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้
เริ่มต้นจากข้อเท็จจริงตรงหน้าง่ายๆ ก่อน ไม่หลอกตัวเองก่อน เข้าใจความเป็นไปของโลกของสังคมก่อน
ไม่งั้นออกมาอีกทีหนหน้า แล้วชูป้ายว่าจะมากันเป็นล้าน จะยิ่งเป็นหัวข้อของการอำครั้งใหญ่
เหมือนมวยชกแพ้แล้วยังถูกหัวเราะเยาะน่ะ
เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจเชียว
หมดมุข
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1370431157&grpid=&catid=02&subcatid=0207
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 (มติชนรายวัน 5 มิ.ย.2556)
ถ้าเป็นภาพยนตร์ที่เข้าฉายตามโรงหนัง ก็น่าสงสัยอยู่ว่าหนังเรื่อง "หน้ากากขาว" ที่เพิ่งเปิดแสดงไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
คงขาดทุนย่อยยับ
เพราะขณะเทียบกับเมื่อช่วงที่พยายามโปรโมตกันอยู่ในโลกไซเบอร์นั้น ซึ่งดูเหมือนว่าจะคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
จนทำเอาคนจำนวนไม่น้อยมั่นใจ (หรืออีกฝ่ายก็กังวลใจ) ว่า
หน้ากากขาวจะเป็นชนวนตั้งต้นของขบวนการต่อต้านรัฐบาลอย่างเอาจริงเอาจัง
ที่ไหนได้
พอถึงวันนัดชุมนุมกันจริงๆ มีคนมาร่วมขบวนไม่ถึงพันคน ถึงสื่อในฝ่ายที่รักใคร่อุ้มชูกันพยายามใช้มุมกล้องเข้าช่วยอย่างไร
ก็ปฏิเสธความจริงที่เห็นอยู่กับตาไม่ได้
แต่เอาเถิดเรื่องคนชุมนุมมากน้อยเท่าไหร่นั้นยกประโยชน์ให้
เพราะพลังของการชุมนุมหรือการแสดงออกทางการเมืองนั้น นอกจากขึ้นอยู่กับ "ปริมาณ" แล้ว ยังต้องขึ้นกับ "คุณภาพ"
คือเนื้อหาของประเด็นที่เสนอหรือข้อเรียกร้องทั้งหลายด้วย
ว่ามีหลักการ เหตุผล ข้อเท็จจริงรองรับหรือไม่
เป็นประเด็นที่คนส่วนใหญ่รับฟังรับชมแล้วเกิดอารมณ์ร่วมด้วยหรือไม่
นี่แป้กเรื่องแรกแล้วยังแป้กเรื่องสองตามมาอีก
จะจุดไฟติดขึ้นมาได้อย่างไรยังสงสัย
ประเภทชุมนุมกันโดยใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย แต่ไปเรียกร้องให้ทหารออกมายึดอำนาจ
แป้กตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว
อาจจะต้องกลับไปตรวจสอบทบทวนตัวเองให้มากๆ ด้วย ว่าที่คึกคักกันเหลือหลายในโลกไซเบอร์นั้น
เอาเข้าจริงมีคนอยู่แค่กลุ่มเดียวหยิบมือเดียวหรือไม่
แต่เพราะในโลกไซเบอร์ไม่ต้องแสดงตัวตน หรือจะแปลงกายเพิ่มจำนวนเป็นกี่คนก็ได้
ปั่นกันไปมา จนกระทั่งสะกดจิตตัวเองได้ว่ากลายเป็นกระแสไปนั่น
ฉะนั้น คราวหน้าถ้าจะมาใหม่ ทำการบ้านให้ละเอียดกว่านี้สักหน่อย
เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันก็เหมือนมวยประมาท อุตส่าห์ลดการ์ด-เปิดหน้าล่อเป้าตลอดอยู่แล้ว
ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหากฎหมายปรองดอง/กฎหมายนิรโทษขัดกันเองในตัวอย่างนี้หรือ
ไม่อย่างนั้นการแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะตะกุกตะกัก ไปคนละทางสองทางอย่างนี้หรือ
ไม่อย่างนั้นเวลาถูกจี้เรื่องจำนำข้าวเข้าไปมากๆ ก็ต้องสวมวิญญาณ "คนใบ้กินบอระเพ็ด"
ขมปากแต่พูดไม่ได้อย่างนี้หรือ
ฯลฯ
มีเรื่องมีประเด็นให้หยิบจับขึ้นมาเคลื่อนไหวตั้งเยอะแยะมากมาย ผ่าไปเลือกเรื่องที่ชูขึ้นมาแล้วตัดกำลังตัวเอง
แบบนี้เคลื่อนไหวไปถึงชาติหน้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้
เริ่มต้นจากข้อเท็จจริงตรงหน้าง่ายๆ ก่อน ไม่หลอกตัวเองก่อน เข้าใจความเป็นไปของโลกของสังคมก่อน
ไม่งั้นออกมาอีกทีหนหน้า แล้วชูป้ายว่าจะมากันเป็นล้าน จะยิ่งเป็นหัวข้อของการอำครั้งใหญ่
เหมือนมวยชกแพ้แล้วยังถูกหัวเราะเยาะน่ะ
เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจเชียว