สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
คุณต้องเข้าใจการยืดขยายของเวลาเมื่อเคลื่อนที่เข้าใกล้ความเร็วแสงก่อนครับ (time dilation)
ความเร็วแสงเป็นสัมบูรณ์ ไม่ว่าคนสังเกตจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าไหร่ก็ตาม
ที่ 299,792,458 เมตรต่อวินาที (ขอประมาณว่า300,000 km/s และขอใช้คำว่าค่า c)
ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกของมนุษย์มาก เช่น รถคันที่1ขับรถออกจากบ้านด้วยความเร็ว 100km/hr
คันที่2ขับออกไป 90km/hr รถคันที่สองจะเห็นรถคันแรกวิ่งนำไปแค่ที่ 10 km/hr
แต่ แสงที่พุ่งออกจากโลกด้วยความเร็ว 300,000 km/s ถ้าขับจรวดไล่ตามไปที่ 200,000km/s
ถ้าสามัญสำนึกของคนคงนึกว่าคนขับจรวดจะเห็นแสงวิ่งนำที่ 100,000km/s ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด
คนในจรวดก็ยังเห็นแสงวิ่งด้วยความเร็ว 300,000km/s ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเวลาในจรวดเปลี่ยนไป
สิ่งที่ไม่สัมบูรณ์คือเวลาครับ(ความไม่สัมบูรณ์ คือเวลาต่างๆ ในแต่ละจุดของจักรวาลอาจจะไม่แน่นอนและอาจจะไม่เท่ากัน)
เช่น สมมติว่าถ้ามีจรวดที่เคลื่อนที่เร็วมากๆ เช่น 0.9999c เวลาในจรวดจะถูกยืดยาวจนช้ากว่าบนโลก เกือบร้อยเท่าเลยทีเดียว
(สูตร time dilation หาได้ใน google ครับ แล้วก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้จากนาฬิกาของดาวเทียม)
ยิ่งความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสง 0.99999 (infinity) c เวลาในจรวดก็จะถูกยืดออกไปจน
หนึ่งวินาทีในจรวดก็จะยาวนานไม่สิ้นสุดเช่นกัน
สรุป ถ้าขับจรวดแล้วเพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆจนเข้าใกล้ 300,000km/s คุณก็จะเห็นทุกอย่างนอกจรวดเร็วขึ้น
จนเมื่อถึงความเร็ว 1c (ที่ข้างบนผมบอกว่าเวลาจะหยุด จริงๆแล้วต้องบอกว่าเวลาจะหายไป )
1 วินาทีบนจรวดจะไม่มีทางมาถึง คุณจะไม่รู้สึกตัว นาฬิกาจะหยุด กล้องจะหยุดทำงาน จนจักรวาลล่มสลาย
ตราบใดที่ไม่ลดความเร็วให้น้อยกว่าค่า c
(ส่วนความเร็วมากกว่าค่าc นี่คงเป็นไปไม่ได้)
ความเร็วแสงเป็นสัมบูรณ์ ไม่ว่าคนสังเกตจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าไหร่ก็ตาม
ที่ 299,792,458 เมตรต่อวินาที (ขอประมาณว่า300,000 km/s และขอใช้คำว่าค่า c)
ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกของมนุษย์มาก เช่น รถคันที่1ขับรถออกจากบ้านด้วยความเร็ว 100km/hr
คันที่2ขับออกไป 90km/hr รถคันที่สองจะเห็นรถคันแรกวิ่งนำไปแค่ที่ 10 km/hr
แต่ แสงที่พุ่งออกจากโลกด้วยความเร็ว 300,000 km/s ถ้าขับจรวดไล่ตามไปที่ 200,000km/s
ถ้าสามัญสำนึกของคนคงนึกว่าคนขับจรวดจะเห็นแสงวิ่งนำที่ 100,000km/s ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด
คนในจรวดก็ยังเห็นแสงวิ่งด้วยความเร็ว 300,000km/s ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเวลาในจรวดเปลี่ยนไป
สิ่งที่ไม่สัมบูรณ์คือเวลาครับ(ความไม่สัมบูรณ์ คือเวลาต่างๆ ในแต่ละจุดของจักรวาลอาจจะไม่แน่นอนและอาจจะไม่เท่ากัน)
เช่น สมมติว่าถ้ามีจรวดที่เคลื่อนที่เร็วมากๆ เช่น 0.9999c เวลาในจรวดจะถูกยืดยาวจนช้ากว่าบนโลก เกือบร้อยเท่าเลยทีเดียว
(สูตร time dilation หาได้ใน google ครับ แล้วก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้จากนาฬิกาของดาวเทียม)
ยิ่งความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสง 0.99999 (infinity) c เวลาในจรวดก็จะถูกยืดออกไปจน
หนึ่งวินาทีในจรวดก็จะยาวนานไม่สิ้นสุดเช่นกัน
สรุป ถ้าขับจรวดแล้วเพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆจนเข้าใกล้ 300,000km/s คุณก็จะเห็นทุกอย่างนอกจรวดเร็วขึ้น
จนเมื่อถึงความเร็ว 1c (ที่ข้างบนผมบอกว่าเวลาจะหยุด จริงๆแล้วต้องบอกว่าเวลาจะหายไป )
1 วินาทีบนจรวดจะไม่มีทางมาถึง คุณจะไม่รู้สึกตัว นาฬิกาจะหยุด กล้องจะหยุดทำงาน จนจักรวาลล่มสลาย
ตราบใดที่ไม่ลดความเร็วให้น้อยกว่าค่า c
(ส่วนความเร็วมากกว่าค่าc นี่คงเป็นไปไม่ได้)
แสดงความคิดเห็น
ถ้าหากเราเดินทางเร็วกว่าแสง ?
ดวงตาของเราจึงมองเห็นภาพ แล้ว...
ถ้าหากเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เหนือแสง เร็วกว่าแสง
เรายังสามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้หรือป่าว ?