โดยธรรมชาติทั่วๆไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนขึ้นมาบริหารประเทศก็จะมีประชาชนบ่น หรือด่าว่ารัฐบาลเป็นธรรมดา
เพราะการที่จะทำให้ประชาชนพอใจไปทุกเรื่องก็ย่อมเป็นไปได้ยาก ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจว่า นี่แหละคือรสชาติของประชาธิปไตย
ตอนที่ชวนเป็นนายกก็ถูกด่าว่าเชื่องช้า มีปัญหากับคดีปรส. ชาติชายก็ถูกกล่าวว่าคอรัปชั่นจนเกิดการรัฐประหาร
ชวลิตก็เรื่องลดค่าเงินบาท มาถึงอภิสิทธิ์นี่ก็โครงการไทยเข้มแข็ง ไข่ชั่งกิโล ปราบม็อบตายเป็นร้อย เจ็บเป็นพัน
ประชาชนก็สามารถด่าว่า ตำหนิได้ เพราะคนเหล่านี้อาสามาเป็นผู้รับใช้ประชาชน
แต่พอมายุคนี้ รัฐบาลกลับมีคนเสื้อแดงที่พร้อมจะเล่นงานคนที่ด่ารัฐบาล ทั้งด้วยคำพูด ข้อเขียน และการกระทำ
ทั้งๆที่มาจากการเลือกตั้ง แม้ว่าการตำหนิของคนเหล่านั้นจะทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความห่วงใยบ้านเมือง และทำตามสิทธิ์
ในระบอบประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาในห้องนี้ เสมือนหนึ่งเป็นตัวรัฐบาลเองมาตอบโต้ประชาชนที่ตำหนิการทำงานของตนเอง
ตั้งแต่มีประเทศไทยมา ไม่เคยมีขบวนการ หรือปรากฏการณ์อย่างนี้มาก่อน ที่เรียกว่า "สิ่งผิดปกติในห้องราชดำเนิน"
นี่ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงข้อสังเกตที่กล่าวมาข้างต้น ทำไมต้องมีฝ่ายปกป้องรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
นั่นมันเป็นรูปแบบของเผด็จการต่างหาก ที่เล่นงานฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล
จึงอยากขอบอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ไม่ใช่เฉพาะ คนเสื้อแดงเพียงพวกเดียว ที่กำลังเป็นใหญ่ในแผ่นดินอย่างในเวลานี้
การแก้ตัวแก้ต่างให้ฝ่ายที่สนับสนุนนั้น เป็นสิ่งที่สามารถทำได้
แต่การดูหมิ่นเหยียดหยาม และด่าทอคนที่ตำหนิรัฐบาลนั้น
มีแต่จะสร้างศัตรูให้รัฐบาลเพิ่มมากขึ้น เพราะศักดิ์ศรีของคนนั้น มันไม่มีใครยอมใครหรอก ถ้ามาใช้วิธีข่มเหงรังแกกัน
หากไม่มีข้อโต้แย้งที่สมเหตุสมผล แล้วนิ่งฟังไม่ออกความเห็น ก็ไม่ได้เสียเกียรติอะไร ปล่อยให้ประชาชนเขาได้ระบายบ้าง
เพราะเขาได้รับผลกระทบจากรัฐบาลโดยตรง แล้วก็ไม่ต้องไปบังคับให้เขาต้องด่ารัฐบาลชุดก่อนๆด้วย เพราะมันผ่านมาแล้ว
คนธรรมดาทั่วไปก็ขี้เกียจรื้อฟื้น เอามาพูดอีก
อยากให้คนเสื้อแดงเข้าใจคนอื่นบ้าง อย่ามองโลกในแง่ร้ายนัก เพราะประเทศไทยไม่ได้มีแค่เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์
ไม่ได้มีแค่สีแดง เหลือง ฟ้า หลากสี เพราะถ้าคิดอย่างนั้น มันก็เท่ากับเอากะลาสีมาครอบหัวตัวเองไว้
โลกมันยังกว้างใหญ่ไพศาลนัก อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดและเชื่อกันก็ได้
ทำใจกว้างๆ ปล่อยวาง และเย็นลงกันเถอะครับ
สิ่งผิดปกติในห้องราชดำเนิน
เพราะการที่จะทำให้ประชาชนพอใจไปทุกเรื่องก็ย่อมเป็นไปได้ยาก ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจว่า นี่แหละคือรสชาติของประชาธิปไตย
ตอนที่ชวนเป็นนายกก็ถูกด่าว่าเชื่องช้า มีปัญหากับคดีปรส. ชาติชายก็ถูกกล่าวว่าคอรัปชั่นจนเกิดการรัฐประหาร
ชวลิตก็เรื่องลดค่าเงินบาท มาถึงอภิสิทธิ์นี่ก็โครงการไทยเข้มแข็ง ไข่ชั่งกิโล ปราบม็อบตายเป็นร้อย เจ็บเป็นพัน
ประชาชนก็สามารถด่าว่า ตำหนิได้ เพราะคนเหล่านี้อาสามาเป็นผู้รับใช้ประชาชน
แต่พอมายุคนี้ รัฐบาลกลับมีคนเสื้อแดงที่พร้อมจะเล่นงานคนที่ด่ารัฐบาล ทั้งด้วยคำพูด ข้อเขียน และการกระทำ
ทั้งๆที่มาจากการเลือกตั้ง แม้ว่าการตำหนิของคนเหล่านั้นจะทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความห่วงใยบ้านเมือง และทำตามสิทธิ์
ในระบอบประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาในห้องนี้ เสมือนหนึ่งเป็นตัวรัฐบาลเองมาตอบโต้ประชาชนที่ตำหนิการทำงานของตนเอง
ตั้งแต่มีประเทศไทยมา ไม่เคยมีขบวนการ หรือปรากฏการณ์อย่างนี้มาก่อน ที่เรียกว่า "สิ่งผิดปกติในห้องราชดำเนิน"
นี่ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงข้อสังเกตที่กล่าวมาข้างต้น ทำไมต้องมีฝ่ายปกป้องรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
นั่นมันเป็นรูปแบบของเผด็จการต่างหาก ที่เล่นงานฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล
จึงอยากขอบอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ไม่ใช่เฉพาะ คนเสื้อแดงเพียงพวกเดียว ที่กำลังเป็นใหญ่ในแผ่นดินอย่างในเวลานี้
การแก้ตัวแก้ต่างให้ฝ่ายที่สนับสนุนนั้น เป็นสิ่งที่สามารถทำได้
แต่การดูหมิ่นเหยียดหยาม และด่าทอคนที่ตำหนิรัฐบาลนั้น
มีแต่จะสร้างศัตรูให้รัฐบาลเพิ่มมากขึ้น เพราะศักดิ์ศรีของคนนั้น มันไม่มีใครยอมใครหรอก ถ้ามาใช้วิธีข่มเหงรังแกกัน
หากไม่มีข้อโต้แย้งที่สมเหตุสมผล แล้วนิ่งฟังไม่ออกความเห็น ก็ไม่ได้เสียเกียรติอะไร ปล่อยให้ประชาชนเขาได้ระบายบ้าง
เพราะเขาได้รับผลกระทบจากรัฐบาลโดยตรง แล้วก็ไม่ต้องไปบังคับให้เขาต้องด่ารัฐบาลชุดก่อนๆด้วย เพราะมันผ่านมาแล้ว
คนธรรมดาทั่วไปก็ขี้เกียจรื้อฟื้น เอามาพูดอีก
อยากให้คนเสื้อแดงเข้าใจคนอื่นบ้าง อย่ามองโลกในแง่ร้ายนัก เพราะประเทศไทยไม่ได้มีแค่เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์
ไม่ได้มีแค่สีแดง เหลือง ฟ้า หลากสี เพราะถ้าคิดอย่างนั้น มันก็เท่ากับเอากะลาสีมาครอบหัวตัวเองไว้
โลกมันยังกว้างใหญ่ไพศาลนัก อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดและเชื่อกันก็ได้
ทำใจกว้างๆ ปล่อยวาง และเย็นลงกันเถอะครับ