สวัสดีครับ หนูโก๊ะตี๋ อารามบอย จากวันนั้นถึงวันนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ของผู้ชายที่ชื่อว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งนำพาความยิ่งใหญ่มาสู่เมืองแมนเชสเตอร์ มามอบให้กับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สำหรับแฟนบอลทุกคน ถ้าเอ่ยชื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกได้เลยว่าไม่มีใครไม่รู้จัก ซึ่งผู้ชายคนนี้พาปีศาจแดงประสบความสำเร็จทั้งแชมป์ลีกสูงสุดของเมืองผู้ดี แชมป์เอฟเอ คัพ แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และอีกมากมาย
เฟอร์กี้เริ่มเข้ามาคุมทีมแมนฯ ยูฯ ในปี 1986 หลังจากปลด รอน แอ๊ตกินสัน ซึ่งก่อนหน้าที่เฟอร์กี้จะได้รับตำแหน่งนายใหญ่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นี้ เขามีแชมป์การันตีความสำเร็จในบ้านเกิดพอสมควร โดยพาทีมอย่างอเบอร์ดีนคว้าแชมป์ลีกถึง 3 สมัย สกอตติช คัพ 4 สมัย ลีก คัพ 1 สมัย และแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ อีก 1 สมัย
ตอนนั้นเฟอร์กี้ต้องพบกับงานที่ยากและหินพอตัว แมนฯ ยูฯ ในขณะนั้นไม่ใช่ทีมที่ดีนัก ยุคนั้นเป็นยุคของลิเวอร์พูลที่กำลังรุ่งเรืองและเป็นอริตัวฉกาจซะด้วย แต่เฟอร์กี้ก็สามารถฉุดแมนฯ ยูฯ ขึ้นมาจากท้ายตารางในฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมทีม โดยจบอันดับที่ 11 และฤดูกาลถัดมาเฟอร์กี้สามารถพาทีมจบอันดับที่ 2 ของลีกซึ่งแชมป์ตกเป็นของลิเวอร์พูล
อย่างไรก็ตามทีมของเฟอร์กี้เองก็มาประสบความสำเร็จโดยสามารถคว้าแชมป์แรกที่นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในฤดูกาล 1989/90 ด้วยตำแหน่งแชมป์เอฟเอ คัพ จากการเอาชนะคริสตัล พาเลซ ในรอบชิงฯ นัดรีเพลย์ ซึ่งฮีโร่ของผีแดงและเฟอร์กี้ในตอนนั้นคือ ลี มาร์ติน
ถ้วยรางวัลนี้เองเป็นถ้วยที่เบิกร่องกรุยทางสู่แชมป์อื่นๆ และความยิ่งใหญ่ของแมนฯ ยูฯ ก็เริ่มต้นด้วยถ้วยต่อมาได้แก่ คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่เฉือนชนะบาร์เซโลน่า 2-1 จาก 2 ประตูของ มาร์ค ฮิวจ์ส ก่อนที่จะได้แชมป์ลีก คัพ อีกใบในฤดูกาล 1991/92
การรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดของแมนฯ ยูไนเต็ด มาสิ้นสุดในฤดูกาล 1992/93 เฟอร์กี้จัดการคว้าตัว "ก็องโต้" เอริก คันโตน่า มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ และสามารถคว้าแชมป์ในฤดูกาลนั้นมาครองได้สำเร็จก่อนป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาลถัดมา จากนั้นก็เว้นวรรคหนึ่งฤดูกาล (แบล็คเบิร์นได้แชมป์ฤดูกาล 1994/95) แล้วกลับมาเบิ้ลแชมป์ 2 ฤดูกาลซ้อนในปี 1996 และ 1997
และสิ่งที่ทำให้คนทั้งโลกและโดยเฉพาะแฟนบาเยิร์นต้องตะลึงและจำชื่อเฟอร์กี้ได้แม่นยำคือ แมตช์ชิงยูฟ่า เเชมเปี้ยนส์ ลีก ค่ำคืนที่น่าจดจำของบรรดาแฟนผีแดงเกิดขึ้นเมื่อเฟอร์กี้ส่ง เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สองนักเตะตัวสำรองลงสนามในขณะที่สกอร์ตามหลังบาเยิร์น 1 ลูก และสำรองทั้งสองก็กลายเป็นฮีโร่ของผีแดงเมื่อช่วยกันยิงประตูพาทีมกลับมาชนะและคว้าแชมป์ไปครอง ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ยิ่งใหญ่สำหรับเฟอร์กี้จริงๆ เพราะคว้า 3 แชมป์ไปครองหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก กับ เอฟเอ คัพ มาแล้ว
จากความสำเร็จเริ่มมีคำถามว่าเมื่อไหร่เฟอร์กี้จะวางมือและสิ่งที่เฟอร์กี้ได้ตอบคำถามนี้ก็คือแชมป์ 3 สมัยติด 1998/99, 1999/00, 2000/01 จากนั้นกลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งในฤดูกาล 2002/03 รวมทั้งคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้อีก 5 สมัย
ทีท่าเฟอร์กี้ยังไม่ยอมหมดไฟ ในยุคที่เฟอร์กี้กำลังสนุกที่จะสร้างสายเลือดใหม่เข้ามาทดแทนสายเลือดเก่าที่เริ่มหมดความเก่ง การนำรูนี่ย์และโรนัลโด้เข้ามาใส่เสื้อแมนฯ ยูฯ และอีกหลายต่อหลายคน และก็ชิงแชมป์ลีกได้อีกในฤดูกาล 2006/07 และยังป้องกันไว้ได้ในฤดูกาลถัดมา แถมยังคว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นสมัยที่ 2
หลังจากนั้นยังไปคว้าแชมป์สโมสรโลกที่ญี่ปุ่นได้อีก ส่วนแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 19 ที่ทำลายสถิติของลิเวอร์พูลเกิดขึ้นในฤดูกาล 2010/11 และฤดูกาลนี้ก็คว้าแชมป์สมัยที่ 20 ของสโมสรไปครองตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไฟในตัวของชายที่ชื่อว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังไม่ยอมหมดลงง่ายๆ
มากว่า 26 ปี อายุ 71 ปี ใครจะเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะทำอะไรหลายๆ อย่างไว้ให้กับแฟนผีแดงมากมาย ถือว่ายุคนี้สมัยนี้เป็นยุคของเฟอร์กี้ และยุคของแมนฯ ยูฯ ก็ว่าได้ ถึงแม้จะมีคู่แข่งเกิดขึ้นมามากมายและมีการทุ่มเงินซื้อความสำเร็จก็ตาม
เฟอร์กี้ทำให้เห็นแล้วว่ากึ๋นของกุนซือสำคัญกว่าเงินและทั้งหมดนั่นก็คือความรุ่งเรืองของแมนฯ ยูฯ ที่มียอดกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คุมทีม ความเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สามารถประสบความสำเร็จมากมายมาจนถึงทุกสมัย
วันนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธและไม่ยอมรับกับสโมสรนี้ ถึงแม้หนูจะแฟนลิเวอร์พูลแต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นกุนซือที่เก่งและยิ่งใหญ่ในเวลานี้ ประวัติศาสตร์ของสโมสรจะต้องจารึกชื่อเขาผู้นี้ไว้ตราบนานเท่านาน ข้าขอคารวะ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
credit : www.siamsport.co.th คอลัมน์ : โก๊ะตี๋ตุงตาข่าย โดย.. โก๊ะตี๋
[บทความผีแดง 2013-06-02] สดุดีเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน - โดยโก๊ะตี๋
สำหรับแฟนบอลทุกคน ถ้าเอ่ยชื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกได้เลยว่าไม่มีใครไม่รู้จัก ซึ่งผู้ชายคนนี้พาปีศาจแดงประสบความสำเร็จทั้งแชมป์ลีกสูงสุดของเมืองผู้ดี แชมป์เอฟเอ คัพ แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และอีกมากมาย
เฟอร์กี้เริ่มเข้ามาคุมทีมแมนฯ ยูฯ ในปี 1986 หลังจากปลด รอน แอ๊ตกินสัน ซึ่งก่อนหน้าที่เฟอร์กี้จะได้รับตำแหน่งนายใหญ่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นี้ เขามีแชมป์การันตีความสำเร็จในบ้านเกิดพอสมควร โดยพาทีมอย่างอเบอร์ดีนคว้าแชมป์ลีกถึง 3 สมัย สกอตติช คัพ 4 สมัย ลีก คัพ 1 สมัย และแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ อีก 1 สมัย
ตอนนั้นเฟอร์กี้ต้องพบกับงานที่ยากและหินพอตัว แมนฯ ยูฯ ในขณะนั้นไม่ใช่ทีมที่ดีนัก ยุคนั้นเป็นยุคของลิเวอร์พูลที่กำลังรุ่งเรืองและเป็นอริตัวฉกาจซะด้วย แต่เฟอร์กี้ก็สามารถฉุดแมนฯ ยูฯ ขึ้นมาจากท้ายตารางในฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมทีม โดยจบอันดับที่ 11 และฤดูกาลถัดมาเฟอร์กี้สามารถพาทีมจบอันดับที่ 2 ของลีกซึ่งแชมป์ตกเป็นของลิเวอร์พูล
อย่างไรก็ตามทีมของเฟอร์กี้เองก็มาประสบความสำเร็จโดยสามารถคว้าแชมป์แรกที่นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในฤดูกาล 1989/90 ด้วยตำแหน่งแชมป์เอฟเอ คัพ จากการเอาชนะคริสตัล พาเลซ ในรอบชิงฯ นัดรีเพลย์ ซึ่งฮีโร่ของผีแดงและเฟอร์กี้ในตอนนั้นคือ ลี มาร์ติน
ถ้วยรางวัลนี้เองเป็นถ้วยที่เบิกร่องกรุยทางสู่แชมป์อื่นๆ และความยิ่งใหญ่ของแมนฯ ยูฯ ก็เริ่มต้นด้วยถ้วยต่อมาได้แก่ คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่เฉือนชนะบาร์เซโลน่า 2-1 จาก 2 ประตูของ มาร์ค ฮิวจ์ส ก่อนที่จะได้แชมป์ลีก คัพ อีกใบในฤดูกาล 1991/92
การรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดของแมนฯ ยูไนเต็ด มาสิ้นสุดในฤดูกาล 1992/93 เฟอร์กี้จัดการคว้าตัว "ก็องโต้" เอริก คันโตน่า มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ และสามารถคว้าแชมป์ในฤดูกาลนั้นมาครองได้สำเร็จก่อนป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาลถัดมา จากนั้นก็เว้นวรรคหนึ่งฤดูกาล (แบล็คเบิร์นได้แชมป์ฤดูกาล 1994/95) แล้วกลับมาเบิ้ลแชมป์ 2 ฤดูกาลซ้อนในปี 1996 และ 1997
และสิ่งที่ทำให้คนทั้งโลกและโดยเฉพาะแฟนบาเยิร์นต้องตะลึงและจำชื่อเฟอร์กี้ได้แม่นยำคือ แมตช์ชิงยูฟ่า เเชมเปี้ยนส์ ลีก ค่ำคืนที่น่าจดจำของบรรดาแฟนผีแดงเกิดขึ้นเมื่อเฟอร์กี้ส่ง เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สองนักเตะตัวสำรองลงสนามในขณะที่สกอร์ตามหลังบาเยิร์น 1 ลูก และสำรองทั้งสองก็กลายเป็นฮีโร่ของผีแดงเมื่อช่วยกันยิงประตูพาทีมกลับมาชนะและคว้าแชมป์ไปครอง ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ยิ่งใหญ่สำหรับเฟอร์กี้จริงๆ เพราะคว้า 3 แชมป์ไปครองหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก กับ เอฟเอ คัพ มาแล้ว
จากความสำเร็จเริ่มมีคำถามว่าเมื่อไหร่เฟอร์กี้จะวางมือและสิ่งที่เฟอร์กี้ได้ตอบคำถามนี้ก็คือแชมป์ 3 สมัยติด 1998/99, 1999/00, 2000/01 จากนั้นกลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งในฤดูกาล 2002/03 รวมทั้งคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้อีก 5 สมัย
ทีท่าเฟอร์กี้ยังไม่ยอมหมดไฟ ในยุคที่เฟอร์กี้กำลังสนุกที่จะสร้างสายเลือดใหม่เข้ามาทดแทนสายเลือดเก่าที่เริ่มหมดความเก่ง การนำรูนี่ย์และโรนัลโด้เข้ามาใส่เสื้อแมนฯ ยูฯ และอีกหลายต่อหลายคน และก็ชิงแชมป์ลีกได้อีกในฤดูกาล 2006/07 และยังป้องกันไว้ได้ในฤดูกาลถัดมา แถมยังคว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นสมัยที่ 2
หลังจากนั้นยังไปคว้าแชมป์สโมสรโลกที่ญี่ปุ่นได้อีก ส่วนแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 19 ที่ทำลายสถิติของลิเวอร์พูลเกิดขึ้นในฤดูกาล 2010/11 และฤดูกาลนี้ก็คว้าแชมป์สมัยที่ 20 ของสโมสรไปครองตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไฟในตัวของชายที่ชื่อว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังไม่ยอมหมดลงง่ายๆ
มากว่า 26 ปี อายุ 71 ปี ใครจะเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะทำอะไรหลายๆ อย่างไว้ให้กับแฟนผีแดงมากมาย ถือว่ายุคนี้สมัยนี้เป็นยุคของเฟอร์กี้ และยุคของแมนฯ ยูฯ ก็ว่าได้ ถึงแม้จะมีคู่แข่งเกิดขึ้นมามากมายและมีการทุ่มเงินซื้อความสำเร็จก็ตาม
เฟอร์กี้ทำให้เห็นแล้วว่ากึ๋นของกุนซือสำคัญกว่าเงินและทั้งหมดนั่นก็คือความรุ่งเรืองของแมนฯ ยูฯ ที่มียอดกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คุมทีม ความเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สามารถประสบความสำเร็จมากมายมาจนถึงทุกสมัย
วันนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธและไม่ยอมรับกับสโมสรนี้ ถึงแม้หนูจะแฟนลิเวอร์พูลแต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นกุนซือที่เก่งและยิ่งใหญ่ในเวลานี้ ประวัติศาสตร์ของสโมสรจะต้องจารึกชื่อเขาผู้นี้ไว้ตราบนานเท่านาน ข้าขอคารวะ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
credit : www.siamsport.co.th คอลัมน์ : โก๊ะตี๋ตุงตาข่าย โดย.. โก๊ะตี๋