คำว่าเหลือเชื่อยังอาจจะน้อยไป สำหรับชีวิตของผู้ชายชื่อ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และคงไม่มีใครอีกแล้ว ที่จะประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดได้มากมาย และยาวนานต่อเนื่องเทียบได้กับโคตรคนแห่งเมืองวิสกี้
การล้างมือในอ่างทองคำของ "เฟอร์กี" จึงถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย และน่าใจหายสำหรับแฟนบอลทั่วทั้งโลก เพราะมันคือการปิดตำนานของสุดยอดกุนซือที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งวงการฟุตบอลอย่างแท้จริง....
ปิดตำนาน 'มหาบุรุษแห่ง โอลด์ แทรฟฟอร์ด'
สถานะของการเป็น “ตำนาน” นั้น หากใครสักคนจะได้ไปไว้ในครอบครองย่อมต้องไม่ใช่ได้มาเพราะ “โชคช่วย” เขาคนนั้นต้องได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่และมีความสำคัญอย่างแท้จริง
ช่วงเวลา 26 ปี กับ แชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 5 สมัย, ลีก คัพ 4 สมัย, คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย และ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ อย่างละครั้ง ไม่รวมถาดแชมป์แชริตี ชิลด์ หรือที่เรียกในเวอร์ชั่นปัจจุบันว่า คอมมูนิตี ชิลด์ อีก 10 ครั้ง
ที่กล่าวไปนั้นคือความสำเร็จของชายที่ชื่อ เซอร์ อเล็กซ์ แชปแมน เฟอร์กูสัน บนเก้าอี้กุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตลอด 26 ปีที่ผ่านมา
ยิ่งใหญ่สมกับสถานะ “ตำนาน” อย่างไร้ข้อโต้แย้ง...
หลังจาก อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หนุ่มใหญ่จากกลาสโกว์ สกอตแลนด์ แบกดีกรีความสำเร็จจากการพา อเบอร์ดีน ทีมเล็ก ๆ ในลีกสกอตแลนด์ผงาดคว้าแชมป์ลีกและแชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ เข้ามารับเผือกร้อนคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจาก “บิ๊กรอน” รอน แอตกินสัน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1986 นั้น
เขาประกาศกร้าวต่อสื่อมวลชนว่าจะพาทีม “เขี่ยหงส์ลงจากคอน” โค่นบัลลังก์ของ ลิเวอร์พูล ซึ่งครองความยิ่งใหญ่คับแดนผู้ดีในเวลานั้นลงให้ได้
อย่างไรก็ตาม จอมคนจากแดนวิสกี้ต้องลองผิดลองถูกอยู่พักใหญ่ 3 ปีแรกของ เฟอร์กูสัน กับ “ผีแดง” ไร้ถ้วยแชมป์ติดมือ จนกระทั่งเกือบจะโดนปลดอยู่รอมร่อ ก่อนจะมาได้แชมป์ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1989-90 เป็นการต่อชีวิต แต่หลังจากนั้น “เฟอร์กี” และพลพรรค “เรด เดวิลส์” มีแต่ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่เคยหันหลังกลับอีกเลย นับตั้งแต่ซิวแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1992-93
จากวันนั้นถึงวันนี้ 27 ปีผ่านไป ภารกิจเขี่ย “หงส์แดง” ลงจากคอนสำเร็จเรียบร้อย ด้วยการช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแซงหน้าทีมคู่ปรับไปแล้ว และแม้ว่าทีมคู่แข่งแย่งแชมป์จะเปลี่ยนหน้าผลัดกันมาท้าทายบัลลังก์กี่ทีม แต่ “ผีแดง” ของ “เฟอร์กี” ก็ยังอยู่ยงคงกระพัน เป็นทีมที่มีลุ้นแชมป์ในทุก ๆ ฤดูกาลมาอย่างต่อเนื่องทุกปี
ปัจจัยสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนของ “เฟอร์กี” นั้น มันมีมากมายหลายอย่างชนิดแจงกัน 3 วันก็อาจไม่จบ ไม่ว่าจะเป็นการปั้นเด็กขึ้นมาเสริมทัพในทีมชุดใหญ่ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ หรือการตัดสินใจที่เด็ดขาดเรื่องการจัดการทุกอย่างภายในทีม นักเตะคนไหนแตกแถวขายทิ้งทันทีโดยไม่สนว่าจะเป็นแกนหลักของทีมหรือเปล่า
เพราะหลักการสำคัญคือไม่มีใครใหญ่กว่าสโมสร หรือแม้กระทั่งการซื้อนักเตะมาเสริมทัพที่หลายคนกลายเป็นกุญแจสำคัญที่พาทีมไปสู่แชมป์ ไม่ว่าจะเป็น เอริก คันโตนา, ปีเตอร์ ชไมเคิล, แอนดี โคล, ดไวท์ ยอร์ค, รุด ฟาน นิสเตลรอย, ริโอ เฟอร์ดินานด์ หรือ โรบิน ฟาน เพอร์ซี ในซีซั่นปัจจุบัน
นอกจากผลงานในสนามแล้ว สีสันนอกสนามของ “เฟอร์กี” ก็เป็นที่จดจำเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำสงครามจิตวิทยา จนเป็นที่มาของการเปิดศึกกับกุนซือคู่แข่งหลายคน หรือแม้กระทั่ง “เครื่องเป่าผม” อันลือเลื่องและเป็นที่กลัวนักกลัวหนาของลูกทีม รวมไปถึงชอตโวยกรรมการที่ขอบสนาม ซึ่งเป็นที่คุ้นตาของแฟนบอลเป็นอย่างดี
ภาพที่ “เฟอร์กี” ในบทบาทนายใหญ่ “ผีแดง” ตลอด 26 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นของคุ้นเคยสำหรับสาวก “เรด เดวิลส์” บางคนเห็นภาพนี้มาตลอดชีวิตนับตั้งแต่จำความได้
แต่นับจากฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป ภาพเหล่านั้นจะไม่มีให้เห็นอีก เพราะ “ตำนาน” ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนนี้ประกาศวางมือเรียบร้อยแล้วหลังจบซีซั่นนี้
ความสำเร็จที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำเอาไว้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้น ทำให้ใครก็ตามที่จะเข้ามาเป็นนายใหญ่คนใหม่ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด คงยากที่จะมีใครมาวัดรอยเท้าของเขาได้ และกับการที่ “เฟอร์กี” ยังคงอยู่กับทีมในฐานะบอร์ดบริหาร
ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่ากุนซือคนใหม่อาจเจอการ “ล้วงลูก” จาก “เฮดของเฮดโค้ช” จากกลาสโกว์ตนนี้ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม นั่นคือเรื่องของอนาคตที่จะเป็นอย่างไรต่อไปไม่มีใครรู้ แต่สิ่งที่รู้ ๆ คือ ด้วยสาเหตุเรื่องสุขภาพ อายุที่มากขึ้น หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ชายผู้ “เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง” ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังจะลุกจากเก้าอี้ตัวเก่งที่เขานั่งมากว่า 26 ปี หลังจบเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่ “ผีแดง” จะบุกไปเยือน เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ในวันที่ 19 พ.ค. นี้
และด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ “เฟอร์กี” ทำในวงการลูกหนังตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าคุณจะเชียร์หรือไม่เชียร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ “ตำนาน” ผู้นี้ แต่เมื่อถึงคราวที่เขาประกาศวางมือ ถ้าไม่โดนอคติบดบังจนมองไม่เห็นความเป็นจริง...
คุณย่อมต้องยอมโค้งคารวะให้กับ “มหาบุรุษ” แห่ง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ผู้นี้อย่างจริงใจ...
ผยองเดช
===========================================================
จาก เดลินิวส์ ครับ
Credit : From Daylinews online,11/05/2013
http://www.dailynews.co.th/article/125/203580
โค้งคารวะ "มหาบุรุษ" (เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน) บทความสดุดีน่าอ่านจาก เดลินิวส์ ครับ
การล้างมือในอ่างทองคำของ "เฟอร์กี" จึงถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย และน่าใจหายสำหรับแฟนบอลทั่วทั้งโลก เพราะมันคือการปิดตำนานของสุดยอดกุนซือที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งวงการฟุตบอลอย่างแท้จริง....
ปิดตำนาน 'มหาบุรุษแห่ง โอลด์ แทรฟฟอร์ด'
สถานะของการเป็น “ตำนาน” นั้น หากใครสักคนจะได้ไปไว้ในครอบครองย่อมต้องไม่ใช่ได้มาเพราะ “โชคช่วย” เขาคนนั้นต้องได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่และมีความสำคัญอย่างแท้จริง
ช่วงเวลา 26 ปี กับ แชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 5 สมัย, ลีก คัพ 4 สมัย, คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย และ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ อย่างละครั้ง ไม่รวมถาดแชมป์แชริตี ชิลด์ หรือที่เรียกในเวอร์ชั่นปัจจุบันว่า คอมมูนิตี ชิลด์ อีก 10 ครั้ง
ที่กล่าวไปนั้นคือความสำเร็จของชายที่ชื่อ เซอร์ อเล็กซ์ แชปแมน เฟอร์กูสัน บนเก้าอี้กุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตลอด 26 ปีที่ผ่านมา
ยิ่งใหญ่สมกับสถานะ “ตำนาน” อย่างไร้ข้อโต้แย้ง...
หลังจาก อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หนุ่มใหญ่จากกลาสโกว์ สกอตแลนด์ แบกดีกรีความสำเร็จจากการพา อเบอร์ดีน ทีมเล็ก ๆ ในลีกสกอตแลนด์ผงาดคว้าแชมป์ลีกและแชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ เข้ามารับเผือกร้อนคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจาก “บิ๊กรอน” รอน แอตกินสัน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1986 นั้น เขาประกาศกร้าวต่อสื่อมวลชนว่าจะพาทีม “เขี่ยหงส์ลงจากคอน” โค่นบัลลังก์ของ ลิเวอร์พูล ซึ่งครองความยิ่งใหญ่คับแดนผู้ดีในเวลานั้นลงให้ได้
อย่างไรก็ตาม จอมคนจากแดนวิสกี้ต้องลองผิดลองถูกอยู่พักใหญ่ 3 ปีแรกของ เฟอร์กูสัน กับ “ผีแดง” ไร้ถ้วยแชมป์ติดมือ จนกระทั่งเกือบจะโดนปลดอยู่รอมร่อ ก่อนจะมาได้แชมป์ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1989-90 เป็นการต่อชีวิต แต่หลังจากนั้น “เฟอร์กี” และพลพรรค “เรด เดวิลส์” มีแต่ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่เคยหันหลังกลับอีกเลย นับตั้งแต่ซิวแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1992-93
จากวันนั้นถึงวันนี้ 27 ปีผ่านไป ภารกิจเขี่ย “หงส์แดง” ลงจากคอนสำเร็จเรียบร้อย ด้วยการช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแซงหน้าทีมคู่ปรับไปแล้ว และแม้ว่าทีมคู่แข่งแย่งแชมป์จะเปลี่ยนหน้าผลัดกันมาท้าทายบัลลังก์กี่ทีม แต่ “ผีแดง” ของ “เฟอร์กี” ก็ยังอยู่ยงคงกระพัน เป็นทีมที่มีลุ้นแชมป์ในทุก ๆ ฤดูกาลมาอย่างต่อเนื่องทุกปี
ปัจจัยสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนของ “เฟอร์กี” นั้น มันมีมากมายหลายอย่างชนิดแจงกัน 3 วันก็อาจไม่จบ ไม่ว่าจะเป็นการปั้นเด็กขึ้นมาเสริมทัพในทีมชุดใหญ่ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ หรือการตัดสินใจที่เด็ดขาดเรื่องการจัดการทุกอย่างภายในทีม นักเตะคนไหนแตกแถวขายทิ้งทันทีโดยไม่สนว่าจะเป็นแกนหลักของทีมหรือเปล่า เพราะหลักการสำคัญคือไม่มีใครใหญ่กว่าสโมสร หรือแม้กระทั่งการซื้อนักเตะมาเสริมทัพที่หลายคนกลายเป็นกุญแจสำคัญที่พาทีมไปสู่แชมป์ ไม่ว่าจะเป็น เอริก คันโตนา, ปีเตอร์ ชไมเคิล, แอนดี โคล, ดไวท์ ยอร์ค, รุด ฟาน นิสเตลรอย, ริโอ เฟอร์ดินานด์ หรือ โรบิน ฟาน เพอร์ซี ในซีซั่นปัจจุบัน
นอกจากผลงานในสนามแล้ว สีสันนอกสนามของ “เฟอร์กี” ก็เป็นที่จดจำเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำสงครามจิตวิทยา จนเป็นที่มาของการเปิดศึกกับกุนซือคู่แข่งหลายคน หรือแม้กระทั่ง “เครื่องเป่าผม” อันลือเลื่องและเป็นที่กลัวนักกลัวหนาของลูกทีม รวมไปถึงชอตโวยกรรมการที่ขอบสนาม ซึ่งเป็นที่คุ้นตาของแฟนบอลเป็นอย่างดี
ภาพที่ “เฟอร์กี” ในบทบาทนายใหญ่ “ผีแดง” ตลอด 26 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นของคุ้นเคยสำหรับสาวก “เรด เดวิลส์” บางคนเห็นภาพนี้มาตลอดชีวิตนับตั้งแต่จำความได้
แต่นับจากฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป ภาพเหล่านั้นจะไม่มีให้เห็นอีก เพราะ “ตำนาน” ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนนี้ประกาศวางมือเรียบร้อยแล้วหลังจบซีซั่นนี้
ความสำเร็จที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำเอาไว้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้น ทำให้ใครก็ตามที่จะเข้ามาเป็นนายใหญ่คนใหม่ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด คงยากที่จะมีใครมาวัดรอยเท้าของเขาได้ และกับการที่ “เฟอร์กี” ยังคงอยู่กับทีมในฐานะบอร์ดบริหาร ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่ากุนซือคนใหม่อาจเจอการ “ล้วงลูก” จาก “เฮดของเฮดโค้ช” จากกลาสโกว์ตนนี้ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม นั่นคือเรื่องของอนาคตที่จะเป็นอย่างไรต่อไปไม่มีใครรู้ แต่สิ่งที่รู้ ๆ คือ ด้วยสาเหตุเรื่องสุขภาพ อายุที่มากขึ้น หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ชายผู้ “เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง” ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังจะลุกจากเก้าอี้ตัวเก่งที่เขานั่งมากว่า 26 ปี หลังจบเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่ “ผีแดง” จะบุกไปเยือน เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ในวันที่ 19 พ.ค. นี้
และด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ “เฟอร์กี” ทำในวงการลูกหนังตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าคุณจะเชียร์หรือไม่เชียร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ “ตำนาน” ผู้นี้ แต่เมื่อถึงคราวที่เขาประกาศวางมือ ถ้าไม่โดนอคติบดบังจนมองไม่เห็นความเป็นจริง...
คุณย่อมต้องยอมโค้งคารวะให้กับ “มหาบุรุษ” แห่ง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ผู้นี้อย่างจริงใจ...
ผยองเดช
===========================================================
จาก เดลินิวส์ ครับ
Credit : From Daylinews online,11/05/2013
http://www.dailynews.co.th/article/125/203580