Airbus A300B4-203
วันที่ 27 มิถุนายน 1976 สายการบิน แอร์ฟรานซ์เที่ยวบิน 139 แอร์บัส A300 (Airbus A300B4-203) เลขทะเบียน F-BVGG (c / n 019) ที่เดินทางมาจาก กรุง Tel Aviv ประเทศ อิสราเอล ได้รับผู้โดยสาร 246คน และลูกเรือ12 คน และพนักงานต้อนรับอีก 58คน จากสนามบินเอเธนส์ แต่ที่ไม่มีใครทราบคือ เที่ยวบินนี้ได้รับ ผู้ก่อการร้าย 4 คนโดยสารมาด้วย เที่ยวบินออกจากเอเธนส์, กรีซ ตามกำหนดการเดิม จุดหมายปลายทางคือ มุ่งหน้าไปยังกรุงปารีส แต่ทว่า ไม่นานหลังจากเครื่องออกจากสนามบิน
เวลา 12:30 เที่ยวบินก็ถูกไฮแจ็ค โดยสองผู้ก่กการร้าย ชาวปาเลสไตน์จาก (PFLP- EO) และสองคนจากผู้ก่อการร้ายชาวเยอรมัน วิลฟรีดโบส และ Brigitte Kuhlmann สลัดอากาศทั้งสี่ ได้บังคับเที่ยวบินไปที่ Benghazi ประเทศ ลิเบีย ก่อนจะเติมน้ำมันที่นั่น เป็นเวลาเจ็ดชั่วโมง ในช่วงเวลานั้นสลัดอากาศได้ปล่อยประกันหญิงคนหนึ่ง ที่แกล้งทำเป็นว่าจะ แท้งลูก เครื่องออกจาก Benghazi และเมื่อเวลา 15:15 ของวันที่ 28 เป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมงหลังจากที่ออกเดินทางของเที่ยวบินเดิม เครื่องก็มาถึง สนามบิน Entebbeใน ยูกันดา
เส้นทางที่ สลัดอากาศบังคับให้เครื่องออกนอกเส้นทาง
สนามบิน Entebbe
ที่ Entebbe มีกำลังมาสมทบกับสลัดอากาศเพิ่มขึ้นอีกสี่ การสนับสนุน ทั้งหมดได้ รับการสนับสนุนจากผู้นำที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาตร์ของประเทศยูกันดา อีดี้อามิน พวกเขาเรียกร้องให้ปล่อยตัว ชาวปาเลสไตน์ 40 คนที่ถูกขังในอิสราเอลและ 13 คนที่ถูก ขังอยู่ใน เคนยา , ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนีตะวันตก พวกเขาขู่ว่าถ้าความต้องการเหล่านี้ไม่ได้รับการตอบสนอง พวกเขาจะฆ่าตัวประกัน เส้นตายคือ 1 กรกฎาคม 1976
จอมเผด็จการ อีดี้ อามิน
สลัดอากาศ ได้เริ่มแบ่งตัวประกันออกเป็นสองกลุ่ม คือชาวอิสราเอล และชาวยิว รวมถึงประเทศอื่นๆ
ในปี2011 Ilan Hartuv หนึ่งในผู้รอดชีวิตได้ให้สัมภาษณ์ ว่า ขณะที่พวกสลัดอากาศกำลังทำการแยกตัวประกันอยู่นั้น รอยสักประจำตัวที่ได้รับมาจากค่ายกักกัน ชาวยิว(ในสมัยสงครามww2) ได้โผล่ออกมานอกผ้า เขาจึงรีบปิด แต่สลัดอากาศชาวเยอรมันที่เห็น ได้บอกว่า “ เขาไม่ใช่นาซี เขามีอุดมการณ์ ” ("I'm no Nazi! ... I am an idealist")
ตามที่ Ilan Hartuv ให้สัมภาษณ์ สลัดอากาศได้บอกกับตัวประกันอื่นๆว่า “พวกเขาไม่ได้ต่อต้านชาวยิว แต่พวกเขาต่อต้านประเทศอิสราเอล “
ท่ามกลางผู้โดยสาร สลัดอากาศได้ปลดปล่อย ชาวยิวหลายคนที่ไม่ได้ ถือสัญชาติอิสราเอล รวมทั้งสองนักเรียนเยชิวาจากบราซิล (yeshiva) ตัวประกันทั้งหมดถูกขังที่ห้องโถง ที่ terminal เก่า ตัวประกันหลายคนได้รับการปลดปล่อย แต่ยังเหลือตัวประกัน อีก106 คน สลัดอากาศได้ประกาศว่า “หากความต้องการไม่ได้กับการตอบสนอง พวกเขาจะถูกฆ่าทั้งหมด “ ตัวประกันที่ได้รับการปลดปล่อยซึ่งก็คือ ผู้โดยสารที่ไม่ได้ถือสัญชาติอิสสราเอล และลูกเรือรวมทั้งกับตัน โดยให้เครื่องมุ่งหน้าสู่จุดมุ่งหมายเดิม คือฝรั่งเศส แต่กับตันและลูกเรือ ปฏิเสธ โดยบอกว่า ผู้โดยสารทั้งหมดถือเป็นความรับผิดชอบของเขา และไม่อาจทิ้งผู้โดยสารทั้งหมดเอาไว้เบื้องหลังได้ และแม่ชีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งก็ยืนยันว่าจะอยู่กับ ตัวประกันที่เหลือ แต่ทหารอูกันดา ได้บังคับให้เธอไปขึ้นเครื่อง รวมกับตัวประกันที่ได้รับการปลดปล่อย
ที่อิสราเอล มีความพยามที่จะทำตามการเรียกร้อง ของสลัดอากาศ หากปฏิบัติการทางทหารมีท่าทีว่าจะล้มเหลว การพยามทางทางการทูตที่จะปลดปล่อยนักโทษในประเทศอื่นๆ ถูกนำมาใช้ เจ้าหน้าที่ IDF ที่เกษียณแล้วมีชื่อว่า Baruch "Burka" Bar-Lev ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ อีดี้อามิน ได้รับการร้องขอจากคณะรัฐมนตรี เขาโทรศัพท์คุยกับ อีดี้อามินหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลว
แต่ทางรัฐบาลอิสราเอล ยังไม่ยอมแพ้ คณะรัฐมนตรี ได้ติดต่อสหรัฐ เพื่อส่งข้อความไปยัง ประธานาธิปดีของ อียิปต์ Anwar Sadat เพื่อร้องขอให้ปล่อยตัวประกัน แต่ทุกอย่างก็ไร้ผล แสงแห่งความหวังใกล้จะมอดดับลงทุกที
เวลากำลัง งวดเข้ามาทุกขณะ
ในที่สุดก็ถึงวันเส้นตาย 1 กรกฎาคม 1976 ทุกอย่างใกล้หมดหวัง ญาติตัวประกันทำใจไว้แล้วว่าเขาอาจไม่ได้พบหน้าคนที่ตนรัก
ประธานาธิปดีของ อียิปต์ Anwar Sadat
แต่แล้ว แสงก็ถูกจุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เมื่อรบ.อิสราเอล ได้ขอร้องให้ยืดเส้นตายเป็นวันที่ 4 กรกฎาคม ครั้งนี้ อีดี้อามินตอบ ตกลง เขารับปากว่าจะยืดเวลาเส้นตาย เพราะเขาต้องเดินทางไป Port Louis สาธารณรัฐ Mauritius อย่างเป็นทางการเพื่อรับตำแหน่งประธาณ องค์กร องค์การเอกภาพแอฟริกา (Organisation of African Unity )ต่อจาก Seewoosagur Ramgoolam
การขยายเส้นตายนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็น สิ่งสำคัญที่จะให้กองกำลังอิสราเอลมีเวลาพอที่ เปิดปฏิบัติการ Operation Entebbe
แม้ว่าฉากหน้า รบ.อิสราเอลจะพยาม เจรจาทางการทูตจนถึงที่สุด แต่ทว่าเบื้องหลัง ปฏิบัติการทางทหาร ได้ถูกเตรียมพร้อม เอาไว้แล้ว หากการเจรจาใช้ไม่ได้ผล
ปฏิบัติการล้วงตับเผด็จการ Operation Entebbe
Airbus A300B4-203
วันที่ 27 มิถุนายน 1976 สายการบิน แอร์ฟรานซ์เที่ยวบิน 139 แอร์บัส A300 (Airbus A300B4-203) เลขทะเบียน F-BVGG (c / n 019) ที่เดินทางมาจาก กรุง Tel Aviv ประเทศ อิสราเอล ได้รับผู้โดยสาร 246คน และลูกเรือ12 คน และพนักงานต้อนรับอีก 58คน จากสนามบินเอเธนส์ แต่ที่ไม่มีใครทราบคือ เที่ยวบินนี้ได้รับ ผู้ก่อการร้าย 4 คนโดยสารมาด้วย เที่ยวบินออกจากเอเธนส์, กรีซ ตามกำหนดการเดิม จุดหมายปลายทางคือ มุ่งหน้าไปยังกรุงปารีส แต่ทว่า ไม่นานหลังจากเครื่องออกจากสนามบิน
เวลา 12:30 เที่ยวบินก็ถูกไฮแจ็ค โดยสองผู้ก่กการร้าย ชาวปาเลสไตน์จาก (PFLP- EO) และสองคนจากผู้ก่อการร้ายชาวเยอรมัน วิลฟรีดโบส และ Brigitte Kuhlmann สลัดอากาศทั้งสี่ ได้บังคับเที่ยวบินไปที่ Benghazi ประเทศ ลิเบีย ก่อนจะเติมน้ำมันที่นั่น เป็นเวลาเจ็ดชั่วโมง ในช่วงเวลานั้นสลัดอากาศได้ปล่อยประกันหญิงคนหนึ่ง ที่แกล้งทำเป็นว่าจะ แท้งลูก เครื่องออกจาก Benghazi และเมื่อเวลา 15:15 ของวันที่ 28 เป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมงหลังจากที่ออกเดินทางของเที่ยวบินเดิม เครื่องก็มาถึง สนามบิน Entebbeใน ยูกันดา
เส้นทางที่ สลัดอากาศบังคับให้เครื่องออกนอกเส้นทาง
สนามบิน Entebbe
ที่ Entebbe มีกำลังมาสมทบกับสลัดอากาศเพิ่มขึ้นอีกสี่ การสนับสนุน ทั้งหมดได้ รับการสนับสนุนจากผู้นำที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาตร์ของประเทศยูกันดา อีดี้อามิน พวกเขาเรียกร้องให้ปล่อยตัว ชาวปาเลสไตน์ 40 คนที่ถูกขังในอิสราเอลและ 13 คนที่ถูก ขังอยู่ใน เคนยา , ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนีตะวันตก พวกเขาขู่ว่าถ้าความต้องการเหล่านี้ไม่ได้รับการตอบสนอง พวกเขาจะฆ่าตัวประกัน เส้นตายคือ 1 กรกฎาคม 1976
จอมเผด็จการ อีดี้ อามิน
สลัดอากาศ ได้เริ่มแบ่งตัวประกันออกเป็นสองกลุ่ม คือชาวอิสราเอล และชาวยิว รวมถึงประเทศอื่นๆ
ในปี2011 Ilan Hartuv หนึ่งในผู้รอดชีวิตได้ให้สัมภาษณ์ ว่า ขณะที่พวกสลัดอากาศกำลังทำการแยกตัวประกันอยู่นั้น รอยสักประจำตัวที่ได้รับมาจากค่ายกักกัน ชาวยิว(ในสมัยสงครามww2) ได้โผล่ออกมานอกผ้า เขาจึงรีบปิด แต่สลัดอากาศชาวเยอรมันที่เห็น ได้บอกว่า “ เขาไม่ใช่นาซี เขามีอุดมการณ์ ” ("I'm no Nazi! ... I am an idealist")
ตามที่ Ilan Hartuv ให้สัมภาษณ์ สลัดอากาศได้บอกกับตัวประกันอื่นๆว่า “พวกเขาไม่ได้ต่อต้านชาวยิว แต่พวกเขาต่อต้านประเทศอิสราเอล “
ท่ามกลางผู้โดยสาร สลัดอากาศได้ปลดปล่อย ชาวยิวหลายคนที่ไม่ได้ ถือสัญชาติอิสราเอล รวมทั้งสองนักเรียนเยชิวาจากบราซิล (yeshiva) ตัวประกันทั้งหมดถูกขังที่ห้องโถง ที่ terminal เก่า ตัวประกันหลายคนได้รับการปลดปล่อย แต่ยังเหลือตัวประกัน อีก106 คน สลัดอากาศได้ประกาศว่า “หากความต้องการไม่ได้กับการตอบสนอง พวกเขาจะถูกฆ่าทั้งหมด “ ตัวประกันที่ได้รับการปลดปล่อยซึ่งก็คือ ผู้โดยสารที่ไม่ได้ถือสัญชาติอิสสราเอล และลูกเรือรวมทั้งกับตัน โดยให้เครื่องมุ่งหน้าสู่จุดมุ่งหมายเดิม คือฝรั่งเศส แต่กับตันและลูกเรือ ปฏิเสธ โดยบอกว่า ผู้โดยสารทั้งหมดถือเป็นความรับผิดชอบของเขา และไม่อาจทิ้งผู้โดยสารทั้งหมดเอาไว้เบื้องหลังได้ และแม่ชีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งก็ยืนยันว่าจะอยู่กับ ตัวประกันที่เหลือ แต่ทหารอูกันดา ได้บังคับให้เธอไปขึ้นเครื่อง รวมกับตัวประกันที่ได้รับการปลดปล่อย
ที่อิสราเอล มีความพยามที่จะทำตามการเรียกร้อง ของสลัดอากาศ หากปฏิบัติการทางทหารมีท่าทีว่าจะล้มเหลว การพยามทางทางการทูตที่จะปลดปล่อยนักโทษในประเทศอื่นๆ ถูกนำมาใช้ เจ้าหน้าที่ IDF ที่เกษียณแล้วมีชื่อว่า Baruch "Burka" Bar-Lev ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ อีดี้อามิน ได้รับการร้องขอจากคณะรัฐมนตรี เขาโทรศัพท์คุยกับ อีดี้อามินหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลว
แต่ทางรัฐบาลอิสราเอล ยังไม่ยอมแพ้ คณะรัฐมนตรี ได้ติดต่อสหรัฐ เพื่อส่งข้อความไปยัง ประธานาธิปดีของ อียิปต์ Anwar Sadat เพื่อร้องขอให้ปล่อยตัวประกัน แต่ทุกอย่างก็ไร้ผล แสงแห่งความหวังใกล้จะมอดดับลงทุกที
เวลากำลัง งวดเข้ามาทุกขณะ
ในที่สุดก็ถึงวันเส้นตาย 1 กรกฎาคม 1976 ทุกอย่างใกล้หมดหวัง ญาติตัวประกันทำใจไว้แล้วว่าเขาอาจไม่ได้พบหน้าคนที่ตนรัก
ประธานาธิปดีของ อียิปต์ Anwar Sadat
แต่แล้ว แสงก็ถูกจุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เมื่อรบ.อิสราเอล ได้ขอร้องให้ยืดเส้นตายเป็นวันที่ 4 กรกฎาคม ครั้งนี้ อีดี้อามินตอบ ตกลง เขารับปากว่าจะยืดเวลาเส้นตาย เพราะเขาต้องเดินทางไป Port Louis สาธารณรัฐ Mauritius อย่างเป็นทางการเพื่อรับตำแหน่งประธาณ องค์กร องค์การเอกภาพแอฟริกา (Organisation of African Unity )ต่อจาก Seewoosagur Ramgoolam
การขยายเส้นตายนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็น สิ่งสำคัญที่จะให้กองกำลังอิสราเอลมีเวลาพอที่ เปิดปฏิบัติการ Operation Entebbe
แม้ว่าฉากหน้า รบ.อิสราเอลจะพยาม เจรจาทางการทูตจนถึงที่สุด แต่ทว่าเบื้องหลัง ปฏิบัติการทางทหาร ได้ถูกเตรียมพร้อม เอาไว้แล้ว หากการเจรจาใช้ไม่ได้ผล