มาแชร์ประสบการณ์สอบสัมภาษณ์นักเรียนทุนกระทรวงวิทย์หลังจากผ่านรอบข้อเขียน สัมภาษณ์วันที่ 25 พ.ค. 56 ค่ะ

สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคนใน Pantip สืบเนื่องจากเราได้ไปสอบสัมภาษณ์ทุนกระทรวงวิทย์มาเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2556 นะคะ ก่อนไปก็ได้มีการสืบหาข้อมูลการสัมภาษณ์ในอากู๋พอสมควร แต่ได้ข้อมูลมาค่อนข้างน้อยมาก หลังสัมภาษณ์เสร็จ (นอยด์เสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย - -" เหอๆๆ) เลยอยากจะมาแชร์รูปแบบและลักษณะการสัมภาษณ์ทุนกระทรวงวิทย์ให้เพื่อนๆได้ทราบกันนะคะ เผื่อเป็นแนวการสัมภาษณ์ให้เพื่อนๆรุ่นต่อไป ^^ อ้อ! กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ตั้งเองครั้งแรกของเรานะคะ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้เลยด้วยค่ะ ^^"

สำหรับการสัมภาษณ์ของทุนกระทรวงวิทย์นะคะ กระบวนการจะไม่ซับซ้อนมากเท่าการสัมภาษณ์ทุนของสายศิลป์ อย่างที่คุณ JM2p ได้แชร์ประสบการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ คือจะมีการสัมภาษณ์รวดเดียวและวันเดียวจบเลยค่ะ

ของเราได้รอบสัมภาษณ์ช่วงเช้า 7.30 น. เช้ามากกกก T^T แต่ก็ต้องยอมตื่น อิอิอิ  อ้อ สถานที่สอบคืออาคารมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะ  มาถึงก็ขึ้นไปชั้น 3 มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกบอกทางเรียบร้อย เราก็เข้าไปนั่งรอในห้องพร้อมๆกับผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับเราอีกหลายท่าน ทุกคนจะนั่งอยู่ที่โต๊ะ lecture คล้ายกับว่าจะมีข้อสอบให้ทำก่อนอย่างงั๊นแหละ ในใจเราก็เริ่มแป้ว แต่ละคนหน้าตาดูมีออร่านักเรียนทุนกันมากๆ จะไหวมั๊ยยย >.< แต่เอาหน่า ไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ได้โอกาสมาเราต้องทำให้เต็มที่เนอะ รอซักพักก็มีเจ้าหน้าที่ประกาศว่าเดี๋ยวเราจะทำการสอบข้อเขียน ให้เขียนเรียงความภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง กรี๊ดดด นี่ชั้นต้องเขียนอะไรอีกเนี่ยยย?!! แงๆๆๆๆ T^T พลิกข้อสอบดู...มีกระดาษประมาณ 7-10 แผ่น (จำไม่ได้อ่ะค่ะว่ากี่แผ่นทั้งหมด เลยประมาณคร่าวๆ) ครึ่งหนึ่งเป็นประวัติของตัวเองล้วนๆ มีให้ใส่วิชาที่เรียนตอนป.ตรีและโทพร้อมเกรดที่ได้มาที่คาดว่าจะเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อในสาขาของทุนที่เราเลือกไปด้วยนะคะ แล้วก็เป็นการใส่ประวัติการทำงาน ความภาคภูมิใจที่ผ่านมา รางวัลที่ได้รับ ฯลฯ ซึ่งจะแยกหัวข้อกันชัดเจนเลยว่ารางวัลหรือกิจกรรมที่เคยได้รับสมัยเรียนหรือสมัยทำงาน ใครที่มีประสบการณ์ทำงานมาแล้วก็เขียนเยอะหน่อยส่วนนี้ แนะนำว่าให้เตรียมข้อมูลส่วนตัวไล่ๆมาเป็น Resume จากบ้านมาเลยนะคะ มานั่งนึกในห้องตอนเขียนนี่ไม่แนะนำค่ะ ไม่ทันแน่นอน เพราะเราก็เกือบไม่ทัน ขนาดเรียงมาจากบ้านแล้วนะคะ !

ส่วนถัดมาจากประวัติส่วนตัวจะเป็นคำถามค่ะให้เราเล่าว่าทำไมเราถึงสมควรได้รับเลือกในหน่วยทุนที่เราสมัคร ข้อนี้ให้พื้นที่มาหนึ่งหน้ากระดาษเต็มๆเลย ตรงนี้ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นจุดเรียกคะแนนเลยล่ะค่ะ เพราะสามารถชักโยงแม่น้ำทั้งห้ามาตอบได้ คล้ายๆว่าเอาประวัติเราด้านหน้ามาเรียงร้อยใหม่และใส่ความตั้งใจกลับมาใช้ทุนเข้าไปด้วย ไม่ยากเลยค่ะแต่เราเขียนไม่ทัน เวลาใกล้หมด เสียดายจริงๆใช้เวลากับส่วนแรกมากไปหน่อย

ถัดมาจากนั้นก็เป็นข้อสุดท้าย เป็นโครงการวิทยาศาสตร์อะไรซักอย่างที่เกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยเค้าจะเขียนเล่าว่าโครงการนี้คืออะไร มีที่มาจากไหน ตอนนี้มีเทคโนโลยีอะไรที่สามารถเอามาใช้ในโครงการนี้ได้ มาหมดทั้งรูปภาพและกราฟ คำถามก็จะให้เราสรุปว่าเราจะมีวิธีการทำอย่างไรได้บ้างให้ผลออกมาอย่างที่เค้าต้องการ ส่วนนี้บอกตามตรง...ทำไม่ทันเลยค่ะ ตอนอ่านโจทย์อยู่ คุณเจ้าหน้าที่ก็ประกาศแล้วว่าเหลือเวลาอีก 5 นาทีเท่านั้น เรารีบปั่นสุดฤทธิ์ ทำอะไรไม่ได้นอกจากเขียนสรุปวิธีการ 1,2,3,… รู้สึกเฟลมากจากข้อสุดท้ายนี้ที่เขียนไม่ทัน -_-“ แต่เวลาก็ผ่านไปแล้ว เรามาเตรียมตัวตั้งสติใหม่ดีกว่า เพราะหลังจากส่งข้อสอบให้คุณเจ้าหน้าที่ ผู้เข้าสัมภาษณ์คนแรกของแต่ละหน่อยทุนก็ต้องเตรียมตัวเข้าห้องเชือดต่อเลย เฮือกกกก!!!  

คุณเจ้าหน้าที่ใจดีมากๆเลยนะคะ มีน้ำและขนมปังให้ทานระหว่างนั่งรอสัมภาษณ์ด้วย ^^ เรารอสัมภาษณ์เป็นคนที่ 4 ของหน่วยทุน รอจนก้นแฉะเลยทีเดียว อิอิ : P ถ้าถึงคิวเราคุณเจ้าหน้าที่ใจดีจะเรียกชื่อและพาเราไปยังห้องเชือด เอ้ย! ห้องสัมภาษณ์ เค้าจะให้เรานั่งสงบสติอารมณ์อยู่หน้าห้องสัมภาษณ์อยู่พักนึง ถ้ากรรมการพร้อมแล้วก็จะส่งสัญญาณมาบอกเจ้าหน้าที่ให้เปิดประตูให้เราเข้าไปได้

ความรู้สึกแรกตอนเดินเข้าไป...เย็นวูบๆเลยค่ะ ตื่นเต้นมาก แต่พยายามตั้งสติค่ะ ต้องทำให้เต็มที่ ห้องสัมภาษณ์ขนาดเล็กๆไม่ใหญ่ มีกรรมการ 5 ท่านด้วยกันนั่งเรียงเป็นตัวยู เหมือนนั่งรอบโต๊ะประชุมอ่ะค่ะ เราจะนั่งประจันหน้ากับกรรมการทุกท่านเลย เข้ามาถึงเราก็สวัสดีสวยๆและไม่ลืมโปรยยิ้ม เพราะเราเชื่อว่าในการสัมภาษณ์ทุกครั้ง ไม่ว่าจะสัมภาษณ์งานหรือสัมภาษณ์ทุน ความประทับใจแรก หรือ First Impression เป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ เพราะเป็นใบเบิกทางสู่บทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ กรรมการทุกท่านรับไหว้ กรรมการท่านหนึ่งบอกให้เราแนะนำตัวตาม step การสัมภาษณ์ทั่วไป เกือบลืมไปค่ะ การสัมภาษณ์ในวันนี้เกือบทั้งหมดเป็นภาษาไทยนะคะ มีแค่การแนะนำตัวตอนแรกที่มีไทยและอังกฤษนิดเดียว จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่คำถามนะคะ ส่วนใหญ่จะคล้ายๆกันกับการสัมภาษณ์งานเลยค่ะ ต่างแค่ที่เราต้องเตรียมข้อมูลสถานศึกษาที่เราสนใจจะไปเรียนต่อ สาขาที่สนใจ ความรู้พื้นฐานที่เรามีให้มากหน่อย เพราะกรรมการท่านถามแน่นอนค่ะ ของเราเลือกทุนทางด้านวิศวกรรม กลับมาใช้ทุนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นกรรมการท่านจะเน้นคำถามเกี่ยวกับอาจารย์มากหน่อย เช่น หน้าที่อาจารย์, เหตุผลที่เราอยากเป็นอาจารย์, การวางแผนการสอน, การสอนนักศึกษาที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน, งานวิจัย ฯลฯ สำหรับเราคำถามสองส่วนนี้ค่อนข้างสบายค่ะ เพราะศึกษาข้อมูลมหาวิทยาลัยและหลักสูตรที่จะไปเรียนต่อมาแล้ว แล้วเราก็เคยสอนพิเศษมาก่อนเลยค่อนข้างตอบได้ฉะฉานค่ะ

จนมาถึงคำถามส่วนที่เราคิดว่าทำได้ไม่ค่อยดี คือกรรมการท่านยกเรียงความที่เราเขียนไปก่อนหน้านี้มาถามค่ะ ข้อสุดท้ายที่เราบอกว่าเกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรแล้วเราเขียนไม่ทันนั่นแหละค่ะ คำถามที่จี๊ดเล็กๆคือ ท่านถามว่า “ที่เขียนมาน้อยเพราะคุณเขียนไม่ทันหรือว่าคุณอ่านไม่รู้เรื่อง?” อุ๊ยยย...จริงๆคือเขียนไม่ทัน แต่ถ้าจริงมากคือไม่รู้เรื่องด้วยส่วนหนึ่ง 555 แต่ไม่ได้คิดมากนะคะ ก็ตอบท่านไปตามตรงว่าเขียนไม่ทันค่ะ ท่านก็ใจดี ให้เราเล่าให้ฟังหน่อยว่าสรุปเค้าให้ทำอะไร แล้วผลคืออะไร ตรงนี้มีคำถามจากกรรมการเยอะมาก ช็อตนึงท่านถามว่า “คิดว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้โครงการนี้ไม่ประสบความสำเร็จ” เราตอบไปว่า “น่าจะเป็นสภาพอากาศเพราะว่าสภาพอากาศบ้านเราไม่ค่อยแน่นอน ปริมาณน้ำน่าจะควบคุมยาก” กรรมการท่านก็จะถามต่อๆๆๆจากคำตอบที่เราตอบไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะจนมุม ประมาณว่า “แล้วถ้าเราควบคุมปริมาณน้ำไม่ได้ คุณคิดว่าผลลัพธ์ที่เราต้องการคืออะไร?” เราแอบซีดเลยค่ะ ไม่รู้จะตอบอะไร เลยแอบแถนิดๆหน่อย และเหมือนกรรมการจะรู้ว่าเราแอบแถ หลังจากคำถามนี้ท่านเลยเปลี่ยนเรื่องไปเลย 55555 ^^”  ส่วนนี้เราว่าเหมือนจะดูไหวพริบและการแสดงออกของเราว่าเป็นยังไงมากกว่าคำตอบที่เราตอบนะคะ นอกนั้นก็ถามเรื่องส่วนตัวทั่วๆไป ครอบครัว กิจกรรม ฯลฯ  

ที่เราคิดว่าทำได้ไม่ค่อยดีอีกส่วนหนึ่งก็คือ คำถามหมดที่วัดความตั้งใจจริงกับอาชีพอาจารย์ คือ หน่วยทุนที่เราเลือกไปมีให้เลือก 2 หน่วย คือกลับมาใช้ทุนมหาลัยในกทม. กับอีกที่หนึ่งอยู่ต่างจังหวัด (ซึ่งค่อนข้างไกลมาก ไม่สามารถกลับมากรุงเทพทุกอาทิตย์ได้) แต่เป็นทุนที่ให้ไปศึกษาต่อด้านเดียวกัน กรรมการท่านถามเราว่า “ทำไมเราถึงเลือกสมัครแค่มหาลัยในกทม. ไม่สมัครต่างจังหวัดด้วย” เราไม่คิดว่าท่านจะถามประเด็นนี้ ณ สถานการณ์ตอนนั้นที่นึกคำตอบได้ดีที่สุดตามความรู้สึกคือ “เลือกในที่ที่มีความเป็นไปได้ในการกลับมาใช้ทุนมากที่สุด ถ้าเราเลือกใช้ทุนต่างจังหวัดด้วย หากสมมติได้รับเลือกจริง อาจมีปัจจัยหลายอย่างให้ต้องตัดสินใจว่าจะรับทุนหรือไม่ เราไม่อยากปิดโอกาสคนอื่นๆ ที่เขาอยากได้ทุนที่นี่จริงๆ” ประมาณว่าถ้าเราเลือกไปต่างจังหวัด เรารู้ตัวเองว่าเราต้องพะวงหน้าพะวงหลังแน่นอน สาเหตุเพราะส่วนหนึ่งเราเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวและมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพโดยกำเนิด เราไปเรียนจบกลับมาปริญญาเอก เรามีหัวโขนหลายหัว นอกจากต้องเป็นอาจารย์แล้ว ยังต้องทำหน้าที่เป็นลูกที่ดี ดูแลบุพการีด้วย ระยะเวลา 10 ปีที่เราต้องกลับมาใช้ทุน ก็เท่ากับท่านแก่ชรามากขึ้นอีก 10 ปี ท่านมีเราเพียงคนเดียว เราเลยอยากทำอะไรเพื่อตอบแทนท่านบ้าง  เราเลยอยากเลือกในสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด โดยตอนเลือกไม่ได้คิดเลยว่าเลือกๆไปเถอะ ได้แล้วค่อยมาคิด ตัวเลือกเยอะยิ่งมีโอกาสได้ทุนมาก ถ้าได้แล้วต้องมาสละสิทธิ์เราว่ามันเป็นการปิดโอกาสเพื่อนๆคนอื่นที่ตั้งใจจริงมากและอาจเป็นคนในพื้นที่นั้นหรือไม่มีสิ่งพะวงหรือเหตุปัจจัยให้ต้องตัดสินใจเยอะแบบเรา แต่พอเราตอบไปลักษณะนั้น กรรมการก็พูดต่อว่า “แล้วถ้าคุณรู้ว่ามีโครงการที่ไปสอนประมาณสองสามปีแล้วสามารถย้ายกลับมาได้ คุณจะเลือกมาใช้ทุนที่ต่างจังหวัดนี้มั๊ย?” เราเริ่มลังเล แต่ก็ตอบไปว่าอาจจะเลือก เท่านั้นแหละ...รู้สึกเหมือนตกหลุมพรางของท่านกรรมการ ท่านเลยบอกว่า “อ้าว อย่างงี๊คุณไม่เห็นใจต้นสังกัดที่ให้ทุนมาหรอ เค้าอุตส่าห์ให้ทุนไปเรียนตั้งหลายปี” เราก็บอกจริงๆทุกอย่างมันไม่แน่นอน ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ ตอนนั้น แต่ท้ายที่สุดก็ต้องแล้วแต่กฎระเบียบของกระทรวงอยู่ดี แต่ยังไงความตั้งใจเราก็คืออยากเป็นอาจารยอยู่แล้วนะ หลังจากนั้นกรรมการก็เปลี่ยนเรื่องถามไปเลย เราก็คิดไปเองว่ากรรมการอาจจะคิดว่าเราอยากเป็นอาจารย์จริงรึเปล่า เพราะถ้าอยากเป็นอาจารย์จริงๆ ก็น่าจะสอนที่ไหนก็ได้เนอะ T^T เราพลาดไปหน่อย แต่ ณ เวลานั้นก็คิดคำตอบได้ดีที่สุดแค่นั้นจริงๆอ่า >.<

นอกจากนั้นกรรมการก็ถามเรื่องทั่วๆไป เกี่ยวกับข่าวล่าสุดที่อ่านมา ให้เล่าให้ฟัง ถามถึงกิจกรรมที่เราทำ หนังสือที่เราเคยเขียน (บังเอิญเราเคยเขียนหนังสือตีพิมพ์ค่ะ) แล้วคุณกรรมการก็ทิ้งท้ายเหมือนการสัมภาษณ์ทั่วๆไป คือ “มีคำถามอะไรจะถามเค้ามั๊ย?” เราก็ถามนิดๆหน่อยๆ พอเป็นพิธี และปิดท้ายด้วยการขอบคุณ ไหว้สวยๆ ยิ้มสวยๆ และเดินอย่างมั่นใจออกมาจากห้องเชือด! 555

เอาล่ะค่ะ เล่ามาซะยาว เราขอสรุปสั้นๆ กับแนวคำถามและการเตรียมตัวไปสัมภาษณ์นะคะ

1. ทำการบ้านเกี่ยวกับหลักสูตรและมหาลัยที่เราอยากจะไปศึกษาต่อมาให้ดีๆ รวมไปถึงงานวิจัยที่สนใจด้วยนะคะ ยังไงคุณกรรมการท่านก็ต้องถาม หาเหตุผลมาประกอบเยอะๆ
2. ตั้งสติให้ดีเวลาสัมภาษณ์ บุคลิกต้องดูน่าเชื่อถือ ความเห็นส่วนตัวนะคะ เราว่าบุคลิก, ลักษณะท่าทาง รวมไปถึงสีหน้าตอนตอบคำถามมีความสำคัญมากๆ กรรมการน่าจะพิจารณาส่วนนี้มากกว่าคำตอบที่เราตอบออกไป และที่สำคัญต้องแสดงให้ท่านเห็นถึงความตั้งใจจริงของเราที่จะกลับมาใช้ทุนในหน่วยงานที่เราเลือกให้ได้ค่ะอย่าลืมยิ้มสู้นะคะ ยิ้มไว้ก่อนแล้วทุกอย่างจะดีเองค่ะ : )
3. เกี่ยวกับแฟ้มสะสมผลงานนะคะ อยากให้ทำเตรียมไว้ด้วยจริงๆ ไม่ว่าจะมีผลงานเยอะหรือน้อย เราสามารถนำเสนอได้เลยตั้งแต่ตอนแนะนำตัวค่ะ แต่จริงๆรูปแบบของแฟ้มงานไม่ได้มีผลต่อคะแนนนะคะ มันจะทำให้คุณกรรมการท่านรู้จักเรามากขึ้นค่ะ
4.อย่าลืมอัพเดทข่าวสารบ้านเมืองในช่วงเวลานั้นไปด้วยนะคะ ^^

เราเขียนยาวมากเลย ขอบคุณนะคะที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ ^^” เราก็ไม่รู้ว่าเราจะได้ทุนนี้หรือไม่ แต่เราก็คิดว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว ถึงไม่ได้ก็จะไม่เสียใจค่ะ ขอให้เพื่อนๆทุกคนที่มาสัมภาษณ์ทุนเหมือนเราโชคดีนะคะ แล้วถ้าเพื่อนๆคนไหนกำลังเตรียมตัวอยู่เราก็ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ถ้ามีข้อสงสัยยังไงทิ้งคำถามไว้ได้เลยนะคะ เราจะพยายามเข้ามาตอบค่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่