สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 23
คุณดาเล่าต่อว่าน้องตาลวิ่งออกไปร้องไห้จ้าอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน และมีคนมาเห็น จึงเรียกรถพยาบาลมารับคุณดาไปล้างท้องได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นคุณดาคงได้ตายสมใจหรือไม่ก็คงพิการ
“ถ้าวันนั้นดิฉันไม่ได้ลูก ชีวิตของดิฉันก็คงจบอยู่แค่ตรงนั้น” คุณดาเสียงเศร้า
“พอทุเลาขึ้น ดิฉันก็ทุ่มเทมีชีวิตให้ลูก อยู่เพื่อลูก ดิฉันแยกบ้านกับคุณวินัย เอาลูกมาเลี้ยงเองทั้งสองคน”
“อ้าวเหรอครับ ผมนึกว่าคุณดากับสามี ... ” ผมหยุดคำถามผมไว้แค่ตรงนั้น
“ค่ะคุณหมอ คุณวินัยใช้ความพยายามมาก แต่อีกหลายปีค่ะ กว่าที่จะสามารถทำให้ดิฉันยอมคุยด้วยอีกครั้ง”
“ตอนนั้นหน้าที่การงานดิฉันดีมาก ที่ดิฉันใจอ่อนก็เพราะลูก เขาคิดถึงพ่อเขา เพื่อนก็บอกให้ดิฉันให้โอกาสคุณวินัยอีกครั้ง”
“ดิฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองในตอนนั้นเหมือนกัน ทีหลังถึงพิจารณาได้ว่า มันคือโมหะที่เข้ามาทำลายสติ”
“ลูกของดิฉันทั้งสองได้ดิฉันไปมาก แต่ไม่นึกว่าลูกตาล ...” คุณดาหยุดเล่า น้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง
“คุณดาบอกผมว่า เราเคยพบกันมาก่อน คุณดาเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ” ผมรีบชิงเปลี่ยนเรื่อง
คุณดายิ้มบาง ๆ ให้ผม เอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา
“ดูท่าคุณหมอจะจำดิฉันไม่ได้จริง ๆ”
“คุณหมอชอบเข้ามานั่งคุยกับคุณแม่ดิฉันทุกวันเลย ดิฉันยังชี้ให้ลูกดิฉันเห็นเลยว่าคุณหมอคงจะรักคุณพ่อคุณแม่มาก”
“หา ..... “ เหมือนลมออกจากตัวผมไปหมดปอด
แล้วภาพความทรงจำในอดีตก็ผุดเข้ามาให้หัว
“คุณยายห้องพิเศษ คุณยายวิมล (นามสมมติ) คุณยายวิมลเป็นคุณแม่ของคุณดาเหรอครับ” ผมตกใจ
คุณดายิ้มแม้มปากคำตอบ
นานหลายปีมาแล้ว ผมเคยขออนุญาตกองทัพกรีกมาฝึกศึกษา (Clinical clerkships) ที่โรงพยาบาลทหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นเวลา ๘ สัปดาห์ ก่อนจะกลับไปเป็น Extern ที่กรีซ
“คุณหมอแต่งตัวไม่เหมือนคุณหมอท่านอื่น คุณหมอใส่เสื้อกาวน์แขนยาว ข้างในเหมือนเป็นเครื่องแบบ มีป้ายชื่อสีฟ้าเป็นภาษาที่ดิฉันอ่านไม่ออก” คุณดาเล่ายิ้ม
“คุณแม่เล่าให้ดิฉันฟังว่า คุณหมอชอบแวะมาคุยกับท่านเพราะกลัวว่าท่านจะกลัวเหงา”
“ตอนนั้นคุณแม่ก็เหงาจริง ๆ น่ะคะ เพราะไม่ยอมให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อน คุณแม่ท่านขี้รำคาญ อยากอยู่ห้องพิเศษคนเดียว”
“ดิฉันเป็นลูกคนเดียวก็เลยไม่รู้จะหันไปปรึกษาใคร คุณแม่อยากได้อะไรก็ตามใจคุณแม่ เพราะคุณแม่เองก็ตามใจดิฉันมาตลอดเหมือนกัน”
“มีอยู่วันดิฉันพาลูกมาเยี่ยมคุณยาย คุณแม่กลับไล่ให้ดิฉันรีบกลับ ทั้งที่นั่งยังไม่ทันหายเหนื่อยเสียด้วยซ้ำ”
“คุณแม่ดิฉันว่า เดี๋ยวคุณหมอมา เดี๋ยวคุณหมอมา”
“ดิฉันกำลังจะพาลูกกลับ แล้วคุณหมอก็เดินเข้ามาพอดี” คุณดายิ้ม
“คุณหมอหันมาบอกดิฉันกับลูกว่า ถ้าไม่มีธุระให้อยู่ด้วยก่อนสิครับ”
“แล้วคุณหมอก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงของคุณแม่ แล้วก็เล่าเรื่องการผจญภัยของคุณหมอให้ท่านฟัง”
“ตั้งแต่คุณพ่อจากคุณแม่ไป ก็ไม่มีใครได้เห็นรอยยิ้มของคุณแม่อีกเลย จนวันนั้นที่ดิฉันได้เห็นคุณแม่ยิ้มและหัวเราะอีกครั้ง”
“ก่อนที่คุณหมอจะกลับประเทศ คุณหมอทิ้งที่อยู่ของคุณหมอไว้ให้คุณแม่ แต่ดิฉันก็ไม่รู้ว่าคุณแม่ได้เก็บไว้ที่ไหน”
.................................................
ผมเคยได้รับการ์ดขอบคุณจากเมืองไทยตามหลังผมมาไม่กี่เดือน ยังคิดว่าถ้ามีโอกาสกลับเมืองไทยอีกจะไปเยี่ยมคุณยาย ไม่คิดว่าผมจะได้พบทั้งหลานคุณยาย และลูกของคุณยายที่ฝรั่งเศส
ตอนที่ผมมาเป็นหมอฝึกงานในโรงพยาบาล ผมจำคุณยายได้เพราะคุณยายทำให้คุณพยาบาลปวดหัวตรงที่คุณยายไม่ยอมทานข้าว คุณยายบอกว่าเดี๋ยวฉันก็ตายแล้ว จะกินไปทำไมให้เปลืองทรัพยากรโลก
อาจารย์บอกผมว่าให้ทำอะไรหน่อยสิ แล้วผมก็เข้าไปในห้องของคุณยาย
“หมอ นั่นมันภาษาอะไรน่ะ” คุณยายชี้มา
“ภาษากรีกครับยาย” ผมใช้นิ้วไล่ตามที่ป้ายชื่อของผม
ΚΑΜΝΕΡΔΣΗΡΗ Γ. (Καμνερδσήρη Γ.) “อ่านว่า กำเนิดศิริ กามม่า ครับ”
"ทำไมต้องเป็นกามม่า" คุณยายถามต่อ
"กามม่าเป็นตัวอักษรกรีกเริ่มต้นของชื่อผมครับยาย วาชาราโปล ... แบบนี้ครับ Γουάτσαραπολ" ผมเขียนสะกดชื่อตัวเองลงในกระดาษให้ยายดู
คุณยายหยิบแว่นสายตามาใส่ ก่อนจะเพ่งดูผมชัด ๆ
“หมอแต่งตัวแปลก เป็นคนไทยไม่ใช่เหรอ” คุณยายถามผม
“ครับ แต่ผมถูกไล่ออกไปนอกประเทศ” ผมตอบติดตลก
“ใครไล่หมอ?!” คุณยายถามผมหน้าตาซีเรียส
“ผมไล่ตัวเองนี่ล่ะครับ ตอนนี้ผมเรียนอยู่ที่กรีซ แต่ใกล้จบแล้วครับยาย ก็เลยขอมาฝึกงานที่นี่ ๒ เดือน”
คุณยายพยักหน้าอือออตามผม
“อาหารโรงพยาบาลนี้อร่อยมากนะยาย ผมแอบกินตลอดเลย”
“อร่อยอะไร แกงจืดงี้จืดยังกับน้ำซาวข้าว” คุณยายบุ้ยปาก
“โห .. ยายต้องมาลองกินอาหารของโรงพยาบาลผมที่กรีซ ยายกินกับผมไหม แลกกันคนละคำ”
จากนั้นมาผมก็ต้องมาคุยกับคุณยายทุกวัน ถ้าวันไหนผมสาย ผมจะโดนคุณพยาบาลเพจตามหา โทรไปก็จะถูกพี่พยาบาลหัวหน้าวอร์ดพิเศษว่า “คุณหมออยู่ไหนค่ะเนี่ย รีบมาไว ๆ หน่อย คุณยายกดออดเรียกพวกพี่จนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว”
วันสุดท้ายที่ผมทำงาน ผมบอกคุณยายว่า ยายต้องกินข้าวเยอะ ๆ ต้องแข็งแรงนะ แล้วผมจะกลับมาเล่าการผจญภัยของผมให้ฟังต่อ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ทราบข่าวของคุณยายอีกเลยนอกจากการ์ดขอบคุณที่เขียนด้วยลายมือของคุณยาย
.................................................
“คุณแม่เสียชีวิตหลังจากคุณหมอกลับเพียงไม่กี่เดือน เพราะภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด” คุณดาบอก
“ก่อนที่คุณแม่จะเสียชีวิต คุณแม่บอกกับดิฉันว่า ตอนนี้แม่ไม่กลัวแล้วที่จะตาย คุณหมอได้พาแม่ไปเที่ยวรอบโลกมาแล้ว”
น้ำตาของผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ...
To be continued …
http://ppantip.com/topic/30507449/comment2161
“ถ้าวันนั้นดิฉันไม่ได้ลูก ชีวิตของดิฉันก็คงจบอยู่แค่ตรงนั้น” คุณดาเสียงเศร้า
“พอทุเลาขึ้น ดิฉันก็ทุ่มเทมีชีวิตให้ลูก อยู่เพื่อลูก ดิฉันแยกบ้านกับคุณวินัย เอาลูกมาเลี้ยงเองทั้งสองคน”
“อ้าวเหรอครับ ผมนึกว่าคุณดากับสามี ... ” ผมหยุดคำถามผมไว้แค่ตรงนั้น
“ค่ะคุณหมอ คุณวินัยใช้ความพยายามมาก แต่อีกหลายปีค่ะ กว่าที่จะสามารถทำให้ดิฉันยอมคุยด้วยอีกครั้ง”
“ตอนนั้นหน้าที่การงานดิฉันดีมาก ที่ดิฉันใจอ่อนก็เพราะลูก เขาคิดถึงพ่อเขา เพื่อนก็บอกให้ดิฉันให้โอกาสคุณวินัยอีกครั้ง”
“ดิฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองในตอนนั้นเหมือนกัน ทีหลังถึงพิจารณาได้ว่า มันคือโมหะที่เข้ามาทำลายสติ”
“ลูกของดิฉันทั้งสองได้ดิฉันไปมาก แต่ไม่นึกว่าลูกตาล ...” คุณดาหยุดเล่า น้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง
“คุณดาบอกผมว่า เราเคยพบกันมาก่อน คุณดาเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ” ผมรีบชิงเปลี่ยนเรื่อง
คุณดายิ้มบาง ๆ ให้ผม เอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา
“ดูท่าคุณหมอจะจำดิฉันไม่ได้จริง ๆ”
“คุณหมอชอบเข้ามานั่งคุยกับคุณแม่ดิฉันทุกวันเลย ดิฉันยังชี้ให้ลูกดิฉันเห็นเลยว่าคุณหมอคงจะรักคุณพ่อคุณแม่มาก”
“หา ..... “ เหมือนลมออกจากตัวผมไปหมดปอด
แล้วภาพความทรงจำในอดีตก็ผุดเข้ามาให้หัว
“คุณยายห้องพิเศษ คุณยายวิมล (นามสมมติ) คุณยายวิมลเป็นคุณแม่ของคุณดาเหรอครับ” ผมตกใจ
คุณดายิ้มแม้มปากคำตอบ
นานหลายปีมาแล้ว ผมเคยขออนุญาตกองทัพกรีกมาฝึกศึกษา (Clinical clerkships) ที่โรงพยาบาลทหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นเวลา ๘ สัปดาห์ ก่อนจะกลับไปเป็น Extern ที่กรีซ
“คุณหมอแต่งตัวไม่เหมือนคุณหมอท่านอื่น คุณหมอใส่เสื้อกาวน์แขนยาว ข้างในเหมือนเป็นเครื่องแบบ มีป้ายชื่อสีฟ้าเป็นภาษาที่ดิฉันอ่านไม่ออก” คุณดาเล่ายิ้ม
“คุณแม่เล่าให้ดิฉันฟังว่า คุณหมอชอบแวะมาคุยกับท่านเพราะกลัวว่าท่านจะกลัวเหงา”
“ตอนนั้นคุณแม่ก็เหงาจริง ๆ น่ะคะ เพราะไม่ยอมให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อน คุณแม่ท่านขี้รำคาญ อยากอยู่ห้องพิเศษคนเดียว”
“ดิฉันเป็นลูกคนเดียวก็เลยไม่รู้จะหันไปปรึกษาใคร คุณแม่อยากได้อะไรก็ตามใจคุณแม่ เพราะคุณแม่เองก็ตามใจดิฉันมาตลอดเหมือนกัน”
“มีอยู่วันดิฉันพาลูกมาเยี่ยมคุณยาย คุณแม่กลับไล่ให้ดิฉันรีบกลับ ทั้งที่นั่งยังไม่ทันหายเหนื่อยเสียด้วยซ้ำ”
“คุณแม่ดิฉันว่า เดี๋ยวคุณหมอมา เดี๋ยวคุณหมอมา”
“ดิฉันกำลังจะพาลูกกลับ แล้วคุณหมอก็เดินเข้ามาพอดี” คุณดายิ้ม
“คุณหมอหันมาบอกดิฉันกับลูกว่า ถ้าไม่มีธุระให้อยู่ด้วยก่อนสิครับ”
“แล้วคุณหมอก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงของคุณแม่ แล้วก็เล่าเรื่องการผจญภัยของคุณหมอให้ท่านฟัง”
“ตั้งแต่คุณพ่อจากคุณแม่ไป ก็ไม่มีใครได้เห็นรอยยิ้มของคุณแม่อีกเลย จนวันนั้นที่ดิฉันได้เห็นคุณแม่ยิ้มและหัวเราะอีกครั้ง”
“ก่อนที่คุณหมอจะกลับประเทศ คุณหมอทิ้งที่อยู่ของคุณหมอไว้ให้คุณแม่ แต่ดิฉันก็ไม่รู้ว่าคุณแม่ได้เก็บไว้ที่ไหน”
.................................................
ผมเคยได้รับการ์ดขอบคุณจากเมืองไทยตามหลังผมมาไม่กี่เดือน ยังคิดว่าถ้ามีโอกาสกลับเมืองไทยอีกจะไปเยี่ยมคุณยาย ไม่คิดว่าผมจะได้พบทั้งหลานคุณยาย และลูกของคุณยายที่ฝรั่งเศส
ตอนที่ผมมาเป็นหมอฝึกงานในโรงพยาบาล ผมจำคุณยายได้เพราะคุณยายทำให้คุณพยาบาลปวดหัวตรงที่คุณยายไม่ยอมทานข้าว คุณยายบอกว่าเดี๋ยวฉันก็ตายแล้ว จะกินไปทำไมให้เปลืองทรัพยากรโลก
อาจารย์บอกผมว่าให้ทำอะไรหน่อยสิ แล้วผมก็เข้าไปในห้องของคุณยาย
“หมอ นั่นมันภาษาอะไรน่ะ” คุณยายชี้มา
“ภาษากรีกครับยาย” ผมใช้นิ้วไล่ตามที่ป้ายชื่อของผม
ΚΑΜΝΕΡΔΣΗΡΗ Γ. (Καμνερδσήρη Γ.) “อ่านว่า กำเนิดศิริ กามม่า ครับ”
"ทำไมต้องเป็นกามม่า" คุณยายถามต่อ
"กามม่าเป็นตัวอักษรกรีกเริ่มต้นของชื่อผมครับยาย วาชาราโปล ... แบบนี้ครับ Γουάτσαραπολ" ผมเขียนสะกดชื่อตัวเองลงในกระดาษให้ยายดู
คุณยายหยิบแว่นสายตามาใส่ ก่อนจะเพ่งดูผมชัด ๆ
“หมอแต่งตัวแปลก เป็นคนไทยไม่ใช่เหรอ” คุณยายถามผม
“ครับ แต่ผมถูกไล่ออกไปนอกประเทศ” ผมตอบติดตลก
“ใครไล่หมอ?!” คุณยายถามผมหน้าตาซีเรียส
“ผมไล่ตัวเองนี่ล่ะครับ ตอนนี้ผมเรียนอยู่ที่กรีซ แต่ใกล้จบแล้วครับยาย ก็เลยขอมาฝึกงานที่นี่ ๒ เดือน”
คุณยายพยักหน้าอือออตามผม
“อาหารโรงพยาบาลนี้อร่อยมากนะยาย ผมแอบกินตลอดเลย”
“อร่อยอะไร แกงจืดงี้จืดยังกับน้ำซาวข้าว” คุณยายบุ้ยปาก
“โห .. ยายต้องมาลองกินอาหารของโรงพยาบาลผมที่กรีซ ยายกินกับผมไหม แลกกันคนละคำ”
จากนั้นมาผมก็ต้องมาคุยกับคุณยายทุกวัน ถ้าวันไหนผมสาย ผมจะโดนคุณพยาบาลเพจตามหา โทรไปก็จะถูกพี่พยาบาลหัวหน้าวอร์ดพิเศษว่า “คุณหมออยู่ไหนค่ะเนี่ย รีบมาไว ๆ หน่อย คุณยายกดออดเรียกพวกพี่จนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว”
วันสุดท้ายที่ผมทำงาน ผมบอกคุณยายว่า ยายต้องกินข้าวเยอะ ๆ ต้องแข็งแรงนะ แล้วผมจะกลับมาเล่าการผจญภัยของผมให้ฟังต่อ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ทราบข่าวของคุณยายอีกเลยนอกจากการ์ดขอบคุณที่เขียนด้วยลายมือของคุณยาย
.................................................
“คุณแม่เสียชีวิตหลังจากคุณหมอกลับเพียงไม่กี่เดือน เพราะภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด” คุณดาบอก
“ก่อนที่คุณแม่จะเสียชีวิต คุณแม่บอกกับดิฉันว่า ตอนนี้แม่ไม่กลัวแล้วที่จะตาย คุณหมอได้พาแม่ไปเที่ยวรอบโลกมาแล้ว”
น้ำตาของผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ...
To be continued …
http://ppantip.com/topic/30507449/comment2161
ความคิดเห็นที่ 57
ภาพจากวินาทีแรกที่ผมได้เจอน้องตาลได้ย้อนกลับมาหาผมอีกครั้งเหมือน Flashback
“คุณดาครับ คุณดาครับ” ผมทรุดตัวลงไปช้อนตัวคุณดา ตรวจชีพจรจากข้อมือขวา ก่อนที่คุณหญิงสาและน้องหญิงจะเข้ามาช่วยผมประคอง
“คุณหมอรีบไปเถอะค่ะ ดิฉันกับลูกจะดูแลคุณดาเอง” คุณหญิงสาบอกทั้งที่เสียงยังสั่นด้วยความตกใจ
ผมเดินไปยังจุดเกิดเหตุ ส่วนหน้าของรถบรรทุกขนาดย่อมสีขาวพังยับเยินเพราะชนกับเสาโคมไฟริมถนน คนขับยังติดอยู่ในที่นั่งเพราะประตูบิดเบี้ยวเสียรูปทรงจนเปิดไม่ได้
ผมได้ยินเสียงรถหวอวิ่งใกล้เข้ามา ร่างที่ติดอยู่ระหว่างรถกับเสาไฟริมทางเป็นร่างของป๋อง
น้องแตนที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้นถนนไม่ไกลออกไปนัก ข้อศอกมีรอยเลือดซึม ดูยังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“ลูก ป๋อง ลูก ... ได้ยินพ่อไหมลูก” คุณดอนเบียดตัวแทรกซากความเสียหายเข้ากอดร่างของลูกชาย
“อาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาซ์์์์ ..................!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“อาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา..................!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
้เสียงร้องของคุณดรที่ประหนึ่งกำลังอุทธรณ์ขอชีวิตลูกต่อฟ้าต่อดิน ทำให้ทุกคนที่เป็นพยานในที่แห่งนั้นต่างหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความสงสาร
เจ้าหน้าที่ตำรวจดับเพลิง ตำรวจ เจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉิน รีบรุดเข้ามาในที่เกิดเหตุเพื่อแก้ไขเหตุการณ์ตรงหน้า ผมเห็นป๋องขยับริมฝีปากกระซิบที่ข้างใบหูคุณคุณดอน ก่อนจะหันมายิ้มให้กับผม .... หันไปยิ้มให้คุณพ่อ แล้วป๋องก็คอตกแน่นิ่งไป
ผมยืนค้างอยู่กับภาพตรงหน้านั้น
น้องแตนวิ่งเข้ามากอดเอวผมจากทางด้านหลัง
“อาหมอ อาหมอ อาหมอ” น้องแตนตัวสั่นเหมือนลูกนก
“พี่ป๋องจะเป็นอะไรไหมคะ ฮืออออออออออออออ ............”
จากสถานการณ์ผมประเมินได้ว่า ถ้าป๋องไม่ได้เป็นคนวิ่งเข้ามาผลักน้องแตนให้พ้นออกไปจากจุดเกิดเหตุ คุณดาอาจต้องเสียลูกสาวไปทั้งสองคน
คุณดรร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง ผมยังคงยืนแน่นิ่งไม่ไหวติง ... มันไม่ใช่เรื่องของคนนอกอย่างผมที่จะเข้าไปยุ่งในวินาทีนี้
เพราะมันคือสายป่านแห่งรักระหว่างคุณพ่อกับลูกชาย เป็นช่วงนาทีชีวิตสุดท้ายของลูกในอ้อมกอดแห่งรักของคนที่เป็นพ่อที่สะอาด ใส ไร้มลทิน
เหตุการณ์ที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้า ได้พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่า ...
รักแท้นั้นมีอยู่จริงในธรรมชาติ
Credit :http://ppantip.com/topic/30507449/comment2858
“คุณดาครับ คุณดาครับ” ผมทรุดตัวลงไปช้อนตัวคุณดา ตรวจชีพจรจากข้อมือขวา ก่อนที่คุณหญิงสาและน้องหญิงจะเข้ามาช่วยผมประคอง
“คุณหมอรีบไปเถอะค่ะ ดิฉันกับลูกจะดูแลคุณดาเอง” คุณหญิงสาบอกทั้งที่เสียงยังสั่นด้วยความตกใจ
ผมเดินไปยังจุดเกิดเหตุ ส่วนหน้าของรถบรรทุกขนาดย่อมสีขาวพังยับเยินเพราะชนกับเสาโคมไฟริมถนน คนขับยังติดอยู่ในที่นั่งเพราะประตูบิดเบี้ยวเสียรูปทรงจนเปิดไม่ได้
ผมได้ยินเสียงรถหวอวิ่งใกล้เข้ามา ร่างที่ติดอยู่ระหว่างรถกับเสาไฟริมทางเป็นร่างของป๋อง
น้องแตนที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้นถนนไม่ไกลออกไปนัก ข้อศอกมีรอยเลือดซึม ดูยังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“ลูก ป๋อง ลูก ... ได้ยินพ่อไหมลูก” คุณดอนเบียดตัวแทรกซากความเสียหายเข้ากอดร่างของลูกชาย
“อาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาซ์์์์ ..................!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“อาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา..................!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
้เสียงร้องของคุณดรที่ประหนึ่งกำลังอุทธรณ์ขอชีวิตลูกต่อฟ้าต่อดิน ทำให้ทุกคนที่เป็นพยานในที่แห่งนั้นต่างหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความสงสาร
เจ้าหน้าที่ตำรวจดับเพลิง ตำรวจ เจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉิน รีบรุดเข้ามาในที่เกิดเหตุเพื่อแก้ไขเหตุการณ์ตรงหน้า ผมเห็นป๋องขยับริมฝีปากกระซิบที่ข้างใบหูคุณคุณดอน ก่อนจะหันมายิ้มให้กับผม .... หันไปยิ้มให้คุณพ่อ แล้วป๋องก็คอตกแน่นิ่งไป
ผมยืนค้างอยู่กับภาพตรงหน้านั้น
น้องแตนวิ่งเข้ามากอดเอวผมจากทางด้านหลัง
“อาหมอ อาหมอ อาหมอ” น้องแตนตัวสั่นเหมือนลูกนก
“พี่ป๋องจะเป็นอะไรไหมคะ ฮืออออออออออออออ ............”
จากสถานการณ์ผมประเมินได้ว่า ถ้าป๋องไม่ได้เป็นคนวิ่งเข้ามาผลักน้องแตนให้พ้นออกไปจากจุดเกิดเหตุ คุณดาอาจต้องเสียลูกสาวไปทั้งสองคน
คุณดรร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง ผมยังคงยืนแน่นิ่งไม่ไหวติง ... มันไม่ใช่เรื่องของคนนอกอย่างผมที่จะเข้าไปยุ่งในวินาทีนี้
เพราะมันคือสายป่านแห่งรักระหว่างคุณพ่อกับลูกชาย เป็นช่วงนาทีชีวิตสุดท้ายของลูกในอ้อมกอดแห่งรักของคนที่เป็นพ่อที่สะอาด ใส ไร้มลทิน
เหตุการณ์ที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้า ได้พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่า ...
รักแท้นั้นมีอยู่จริงในธรรมชาติ
Credit :http://ppantip.com/topic/30507449/comment2858
ความคิดเห็นที่ 60
ป๋องเสียชีวิตในสภาพที่คล้ายคลึงกับน้องตาล ร่างของป๋องถูกอัดอยู่ตรงกลางระหว่างกระโปรงหน้ารถที่พังยับเยินกับเสาโคมไฟริมถนนที่หักเอียง แรงปะทะทำให้ร่างกายและอวัยวะภายในเสียหายเกินกว่าจะเยียวยา ป๋องหมดลมหายใจในที่เกิดเหตุพร้อมกับเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้เป็นพ่อ เป็นความน่าเวทนาประจักษ์ต่อหน้าทุกคนที่ได้พบเห็นยิ่งนัก
.........................................
ไม่กี่วันต่อมา ผมถูกเชิญให้มาร่วมเป็นเกียรติในพิธีฌาปนกิจร่างของป๋องที่สุสาน แปร์ ลาแฌช (Père Lachaise) ซึ่งนอกจากที่ผมจะได้พบกับทุกคนที่ได้ไปร่วมงานพิธีลอยอังคารของน้องตาลแล้ว ผมยังได้พบกับแขกเหรื่อทางฝั่งของคุณดอน รวมทั้งคุณแมรี่ คุณแม่ของป๋อง ซึ่งเป็นรูมเมท (Roommate) ของคุณดาตั้งแต่สมัยที่ทั้งคู่เรียนอยู่ที่เจนีวา (Geneva)
คุณแมรี่เศร้าโศกเสียใจมากที่ลูกชายคนเดียวต้องมีอันเป็นไป ถึงกับเป็นลมล้มพับไปถึงสองครั้งในระหว่างพิธี คุณดาเองก็แย่ไปไม่น้อยกว่าแต่จำ้เป็นต้องนั่งกุมมือเพื่อนเพื่อเป็นให้กำลังใจ น้องแตนเองก็เสียใจมากถึงกับซึมทั้งวัน คงเพราะตำหนิตัวเองว่าคือต้นเหตุที่ทำให้ป๋องต้องมาเสียชีวิตลง ถ้าผมไม่ได้น้องหญิงกับคุณแม่คอยช่วยเหลือปลอบโยนเป็นเพื่อนคอยระวังน้องแตน เหตุการณ์อาจจะแย่ไปมากกว่านี้ก็เป็นได้
ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารค่ำในคืนวันนั้น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยความเงียบสงัด ผมเองก็ทานอะไรไม่ลง แต่ที่จำเป็นต้องมาเพราะผมถือว่าผมได้รับเกียรติอย่างมากจากสองครอบครัวนี้ ที่ทำเสมือนหนึ่งว่าผมเป็นแพทย์ผู้ใหญ่ประจำทั้งสองตระกูล
“คุณดาครับ” คุณดอนเอ่ยขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงัน
“ผมไม่รู้ว่าคุณดาจะว่ายังไง ถ้าผมจะขออนุญาตทำตามคำขอร้องสุดท้ายของลูกชายผม”
“ป๋อง ... กระซิบบอกผมก่อนสิ้นใจว่า ... พ่ออย่าลืม ... อือ ...” คุณดอนเสียงกระตุก มีน้ำตาคลอเบ้า
“พ่ออย่าลืม ... อย่าลืมขอตาลให้ผมด้วยนะครับ”
คุณดาเอามือขวาอุดปากน้ำตาไหลร่วงลงเป็นทาง คุณแมรี่ร้องไห้โฮก่อนจะโผไปกอดคุณดอนที่นั่งเงียบด้วยความเศร้า ทุกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะนั้นต่างก็สลดใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ผมเองก็ด้วย
.........................................
พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นที่พิกัดเดียวกันกับที่คุณดาได้ลอยอังคารอัฐิของน้องตาล บนเรือที่ทอดสมออยู่กลางทะเล ไม่ไกลจากชายฝั่งมากนัก
โถอัฐิของทั้งคู่ถูกผูกโยงเข้ากันด้วยด้ายสายสิญจน์มงคลสีขาว มีน้องหญิงยืนเป็นเพื่อนเจ้าสาว มีเพื่อนของป๋องจากอเมริกายืนเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว เป็นพิธีแต่งงานจัดได้ถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน มีแขกเหรื่อ มีเพื่อนฝูง มีแขกผู้มีเกียรติ ร่วมรดน้ำสังข์ให้ (โถอัฐิของ) คู่บ่าวสาว มีการให้ศีลให้พร มีการส่งตัวเจ้าบ่าวและจ้าสาวเข้าเรือนหอในอ้อมกอดของเทพแห่งมหาสมุทรผู้ยิ่งใหญ่ ให้เป็นผู้ดูแลดวงวิญญาณทั้งสองตลอดไป
คุณดาเดินมาเปรยกับผมว่า เธออยากให้ลูกทั้งสองของเธอ (ลูกสาวและลูกเขย) ได้อยู่กันเป็นคู่รักคู่ทุกข์คู่ยากทุกชาติไป เธอดีใจที่ป๋องรักน้องตาลมากถึงขนาดยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องคนที่น้องตาลรัก (น้องแตนและความรู้สึกของคุณดา)
.........................................
เมื่อเรือพาเรากลับมาถึงฝั่ง ทุกคนต่างพร้อมใจกันเดินขึ้นไปที่โบสถ์บนเขา เพื่อรำลึกถึงน้องตาลกับป๋องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับปารีส
ผมเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าสูท ก่อนจะนึกได้ว่ายังไม่ได้ให้โทรศัพท์ BlackBerry (เครื่องเก่าของผมที่ให้น้องตาลใช้คุยกับคุณดาในที่เกิดเหตุ) กับคุณดาเพื่อเป็นที่ระลึก
แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ ตกกระทบจอโทรศัพท์ที่ผมควักออกมาจากกระเป๋า เป็นแสงสะท้อนจ้า แยงเข้าตาผม ...
ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น อาจเป็นเพราะตาที่พร่า ผมเห็นภาพของคู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงานกำลังยิ้มแย้มเริงร่าในสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิของฝรั่งเศส
ท่ามกลางสักขีพยาน ณ ที่แห่งนั้น คำอวยพรจากผู้ที่ให้กำเนิดชีวิตทั้งสองขึ้นมาบนโลกใบนี้
คงจะทำให้ดวงวิญญาณของทั้งคู่ ได้สุขสมหวังในความรักที่มีต่อกัน ในทุกภพทุกชาติไป
ในวันที่สองหัวใจ ... โยงใย ... เกี่ยวพัน ... นิรันดร์กาล
THE END
http://ppantip.com/topic/30507449/comment3001
.........................................
ไม่กี่วันต่อมา ผมถูกเชิญให้มาร่วมเป็นเกียรติในพิธีฌาปนกิจร่างของป๋องที่สุสาน แปร์ ลาแฌช (Père Lachaise) ซึ่งนอกจากที่ผมจะได้พบกับทุกคนที่ได้ไปร่วมงานพิธีลอยอังคารของน้องตาลแล้ว ผมยังได้พบกับแขกเหรื่อทางฝั่งของคุณดอน รวมทั้งคุณแมรี่ คุณแม่ของป๋อง ซึ่งเป็นรูมเมท (Roommate) ของคุณดาตั้งแต่สมัยที่ทั้งคู่เรียนอยู่ที่เจนีวา (Geneva)
คุณแมรี่เศร้าโศกเสียใจมากที่ลูกชายคนเดียวต้องมีอันเป็นไป ถึงกับเป็นลมล้มพับไปถึงสองครั้งในระหว่างพิธี คุณดาเองก็แย่ไปไม่น้อยกว่าแต่จำ้เป็นต้องนั่งกุมมือเพื่อนเพื่อเป็นให้กำลังใจ น้องแตนเองก็เสียใจมากถึงกับซึมทั้งวัน คงเพราะตำหนิตัวเองว่าคือต้นเหตุที่ทำให้ป๋องต้องมาเสียชีวิตลง ถ้าผมไม่ได้น้องหญิงกับคุณแม่คอยช่วยเหลือปลอบโยนเป็นเพื่อนคอยระวังน้องแตน เหตุการณ์อาจจะแย่ไปมากกว่านี้ก็เป็นได้
ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารค่ำในคืนวันนั้น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยความเงียบสงัด ผมเองก็ทานอะไรไม่ลง แต่ที่จำเป็นต้องมาเพราะผมถือว่าผมได้รับเกียรติอย่างมากจากสองครอบครัวนี้ ที่ทำเสมือนหนึ่งว่าผมเป็นแพทย์ผู้ใหญ่ประจำทั้งสองตระกูล
“คุณดาครับ” คุณดอนเอ่ยขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงัน
“ผมไม่รู้ว่าคุณดาจะว่ายังไง ถ้าผมจะขออนุญาตทำตามคำขอร้องสุดท้ายของลูกชายผม”
“ป๋อง ... กระซิบบอกผมก่อนสิ้นใจว่า ... พ่ออย่าลืม ... อือ ...” คุณดอนเสียงกระตุก มีน้ำตาคลอเบ้า
“พ่ออย่าลืม ... อย่าลืมขอตาลให้ผมด้วยนะครับ”
คุณดาเอามือขวาอุดปากน้ำตาไหลร่วงลงเป็นทาง คุณแมรี่ร้องไห้โฮก่อนจะโผไปกอดคุณดอนที่นั่งเงียบด้วยความเศร้า ทุกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะนั้นต่างก็สลดใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ผมเองก็ด้วย
.........................................
พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นที่พิกัดเดียวกันกับที่คุณดาได้ลอยอังคารอัฐิของน้องตาล บนเรือที่ทอดสมออยู่กลางทะเล ไม่ไกลจากชายฝั่งมากนัก
โถอัฐิของทั้งคู่ถูกผูกโยงเข้ากันด้วยด้ายสายสิญจน์มงคลสีขาว มีน้องหญิงยืนเป็นเพื่อนเจ้าสาว มีเพื่อนของป๋องจากอเมริกายืนเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว เป็นพิธีแต่งงานจัดได้ถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน มีแขกเหรื่อ มีเพื่อนฝูง มีแขกผู้มีเกียรติ ร่วมรดน้ำสังข์ให้ (โถอัฐิของ) คู่บ่าวสาว มีการให้ศีลให้พร มีการส่งตัวเจ้าบ่าวและจ้าสาวเข้าเรือนหอในอ้อมกอดของเทพแห่งมหาสมุทรผู้ยิ่งใหญ่ ให้เป็นผู้ดูแลดวงวิญญาณทั้งสองตลอดไป
คุณดาเดินมาเปรยกับผมว่า เธออยากให้ลูกทั้งสองของเธอ (ลูกสาวและลูกเขย) ได้อยู่กันเป็นคู่รักคู่ทุกข์คู่ยากทุกชาติไป เธอดีใจที่ป๋องรักน้องตาลมากถึงขนาดยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องคนที่น้องตาลรัก (น้องแตนและความรู้สึกของคุณดา)
.........................................
เมื่อเรือพาเรากลับมาถึงฝั่ง ทุกคนต่างพร้อมใจกันเดินขึ้นไปที่โบสถ์บนเขา เพื่อรำลึกถึงน้องตาลกับป๋องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับปารีส
ผมเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าสูท ก่อนจะนึกได้ว่ายังไม่ได้ให้โทรศัพท์ BlackBerry (เครื่องเก่าของผมที่ให้น้องตาลใช้คุยกับคุณดาในที่เกิดเหตุ) กับคุณดาเพื่อเป็นที่ระลึก
แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ ตกกระทบจอโทรศัพท์ที่ผมควักออกมาจากกระเป๋า เป็นแสงสะท้อนจ้า แยงเข้าตาผม ...
ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น อาจเป็นเพราะตาที่พร่า ผมเห็นภาพของคู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงานกำลังยิ้มแย้มเริงร่าในสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิของฝรั่งเศส
ท่ามกลางสักขีพยาน ณ ที่แห่งนั้น คำอวยพรจากผู้ที่ให้กำเนิดชีวิตทั้งสองขึ้นมาบนโลกใบนี้
คงจะทำให้ดวงวิญญาณของทั้งคู่ ได้สุขสมหวังในความรักที่มีต่อกัน ในทุกภพทุกชาติไป
ในวันที่สองหัวใจ ... โยงใย ... เกี่ยวพัน ... นิรันดร์กาล
THE END
http://ppantip.com/topic/30507449/comment3001
ความคิดเห็นที่ 7
หมายเหตุก่อนเขียน
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ผมมีภาีรกิจยาวตั้งแต่ 8AM - 8PM (GMT+1) จึงสามารถจะเขียนต่อเท่าที่เวลาจะอำนวยให้ คงไม่เคืองกันนะครับ
ที่ผมเอาเรื่องของผมลง Pantip นั้น นอกจาก Feedback แล้ว ผมก็ถือว่าจะได้เป็นการบังคับตัวเองไปด้วย (ให้เขียนนี่ล่ะ) เพราะลำพังแค่งานและการเดินทางไปก็ทำให้ผมแทบจะอยากจะทำอย่างอื่นต่อไปเมื่อหมดวัน อยากจะนอนเฉย ๆ อยากเป็นคนอ่านมากกว่าเป็นคนเขียน (เพราะผมไม่ได้เป็นนักเขียนโดยอาชีพ)
ผมใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมาเกือบจะ ๓๐ ปีแล้ว การที่ผมก็ยังไม่ลืมภาษาไทย ก็เพราะผมรักภาษาไทย ภาษาไทยนั้นไม่ง่าย ถ้าใช้ให้ดีประโยคจะดีและคำจะสวย ถ้าใช้ไม่ดีประโยคจะยืด คำจะกำกวม ความยากของภาษาไทยอยู่ตรงที่ต้องเขียนให้สั้นแต่ทำให้ได้ใจความทั้งหมด ผมถึงเขียนช้า เพราะผมต้องกลั่นรายละเอียดออกมาจากความทรงจำ ผมต้องใช้คำให้ระวังไม่ให้ผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ ต้องดูหลักไวยากรณ์ภาษาและต้องระวังไม่ให้เกิดความเยิ่นเย้อขึ้นในเรื่อง และต้องต่อสู้กับความเหนื่อยของตัวเอง (เพื่อไม่ให้หลับคา Keyboard)
ในวันนี้ ขอเวลาผมเคลียร์ภารกิจของวันนี้ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วผมจะกลับมาเขียนต่อในเวลาประมาณ 8PM (GMT+1)
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นขนาดยาว และจากการคาดการณ์ตามตารางงานของผมนั้น เกรงว่าคงเขียนไม่จบในสัปดาห์นี้ (ยกเว้นผมจะตัดเนื้อหาบางส่วนออก) ยังไงทำใจเย็น ๆ อ่านไปพร้อม ๆ กับผม ผมสัญญาว่าจะเล่าให้ฟังต่อจนจบ (ถ้าอยากฟังจนจบนะ)
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและทุก Feedback ครับ
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ผมมีภาีรกิจยาวตั้งแต่ 8AM - 8PM (GMT+1) จึงสามารถจะเขียนต่อเท่าที่เวลาจะอำนวยให้ คงไม่เคืองกันนะครับ
ที่ผมเอาเรื่องของผมลง Pantip นั้น นอกจาก Feedback แล้ว ผมก็ถือว่าจะได้เป็นการบังคับตัวเองไปด้วย (ให้เขียนนี่ล่ะ) เพราะลำพังแค่งานและการเดินทางไปก็ทำให้ผมแทบจะอยากจะทำอย่างอื่นต่อไปเมื่อหมดวัน อยากจะนอนเฉย ๆ อยากเป็นคนอ่านมากกว่าเป็นคนเขียน (เพราะผมไม่ได้เป็นนักเขียนโดยอาชีพ)
ผมใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมาเกือบจะ ๓๐ ปีแล้ว การที่ผมก็ยังไม่ลืมภาษาไทย ก็เพราะผมรักภาษาไทย ภาษาไทยนั้นไม่ง่าย ถ้าใช้ให้ดีประโยคจะดีและคำจะสวย ถ้าใช้ไม่ดีประโยคจะยืด คำจะกำกวม ความยากของภาษาไทยอยู่ตรงที่ต้องเขียนให้สั้นแต่ทำให้ได้ใจความทั้งหมด ผมถึงเขียนช้า เพราะผมต้องกลั่นรายละเอียดออกมาจากความทรงจำ ผมต้องใช้คำให้ระวังไม่ให้ผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ ต้องดูหลักไวยากรณ์ภาษาและต้องระวังไม่ให้เกิดความเยิ่นเย้อขึ้นในเรื่อง และต้องต่อสู้กับความเหนื่อยของตัวเอง (เพื่อไม่ให้หลับคา Keyboard)
ในวันนี้ ขอเวลาผมเคลียร์ภารกิจของวันนี้ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วผมจะกลับมาเขียนต่อในเวลาประมาณ 8PM (GMT+1)
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นขนาดยาว และจากการคาดการณ์ตามตารางงานของผมนั้น เกรงว่าคงเขียนไม่จบในสัปดาห์นี้ (ยกเว้นผมจะตัดเนื้อหาบางส่วนออก) ยังไงทำใจเย็น ๆ อ่านไปพร้อม ๆ กับผม ผมสัญญาว่าจะเล่าให้ฟังต่อจนจบ (ถ้าอยากฟังจนจบนะ)
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและทุก Feedback ครับ
ความคิดเห็นที่ 26
ถ้าคุณผู้อ่านยังใจหายกับเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังในตอนที่แล้ว (http://ppantip.com/topic/30507449/comment2161) ความรู้สึกของผมในตอนที่เขียนนั้นแย่ยิ่งกว่าคุณผู้อ่านมากมาย
ตอนที่ผมรู้จักกับคุณยายวิมล (นามสมมติ) นั้น ผมยังเป็นนักเรียนแพทย์ทหารอยู่ที่กรีซ ซึ่งในเวลานั้น แม้แต่ความคิดที่จะไปฝรั่งเศสก็ยังไม่มีอยู่ในหัวของผมเสียด้วยซ้ำ จริงว่าผมเสียใจที่คุณยายเสียชีวิตไป แต่ในตอนนั้น ผมก็ยังไม่สามารถจะเข้าใจความรู้สึกของคุณดา (นามสมมติ) ที่สูญเสียทั้งคุณพ่อและคุณแม่รวมถึงน้องตาล (นามสมมติ) จนวันที่คุณพ่อได้จากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ (http://ppantip.com/topic/30507449/comment1671)
ในบทนั้น ผมได้เขียนไว้ว่า
ผมนั่งมองวันที่ผ่านไป แล้วสิ่งที่ไม่เคยพูดกับผมในอดีต ก็กลับมาพูดกับผมได้อีกครั้ง เรื่องของน้องตาลนั้น หากจะให้ผมเล่าแบบสองย่อหน้าจบ ผมก็สามารถทำได้ แต่ที่ผมใส่ใจในรายละเอียดเพราะผมต้องการจะสื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้าใจว่า อย่าเพิ่งด่วนสรุปกับสิ่งที่เราไม่รู้ความจริงทั้งหมด
ชีวิตของคนหนึ่งคน ใช้เวลานานและทรัพยากรมากมายกว่าที่จะเติบใหญ่ โตขึ้นมามีที่ยืนในสังคม ซึ่งชีวิตนั้นก็โยงใยต่อไปกับอีกหลายชีวิตที่ตามมา
ผมหวัังว่าคุณผู้อ่านจะสามารถเข้าใจถึงสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อในเรื่อง ความซับซ้อนของชีวิตเรา (Complexity of Life) ในส่วนความสัมพันธ์ของมนุษย์และการเชื่อมต่อระหว่างกัน (Human Relationships and Interconnectivity) ว่าเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ที่ชวนให้ค้นคว้าเพียงใด
การศึกษาและประสบการณ์ชีวิตที่ผมได้รับมาจนถึงตอนนี้นั้น ได้หล่อหลอมให้ผมโตขึ้นมาเป็นนักคิด (Thinker) และั้เมื่อคุณพ่อของผมบอกให้ผมมองกลับเข้าไปในสังคมที่ผมเกิดมา (Social Origins) และ ถามผมว่า "ผมพร้อมหรือยังที่จะทำอะไรสักอย่าง?"
คำตอบของผมในตอนนั้น คือ "ผมไม่มีเวลาครับพ่อ" และ "คงไม่มีใครใส่ใจเรื่องของผมหรอก"
หลังจากที่ผมสูญเสียความตั้งใจที่มี จากการถูกปฏิเสธจากฝ่ายการตลาดของสำนักพิมพ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองไทย ผมก็ดีใจที่สามารถค้นพบวิธีพิสูจน์ว่าพอจะมีใครบ้างไหมที่จะสนใจในสิ่งที่ผมนำเสนอ
ผมดีใจที่มิตรภาพไร้พรมแดน (Friendship beyond frontier) นั้นทำได้มีอยู่จริง ไม่ได้เป็นเพียงความเพ้อฝันอย่างที่ใึครบางคนได้่กล่าวไว้ เพราะถึงแม้เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสได้มาพบกันในชีวิตจริง แต่เราก็ยังสามารถที่จะอยู่เป็นเพื่อนร่วมสังคมออนไลน์ในที่แห่งนี้ ที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจกันและกันได้ จริงไหมครับ?
ขอผมได้พักหายใจก่อนนะ ถ้าคืนนี้ผมยังเขียนไหวผมจะกลับมาเล่าต่อ ถ้าผมสลบไปก่อนก็ขอติดไว้เป็นตอนเช้าวันพรุ่งนี้เหมือนเดิมนะครับ
ขอบคุณนะครับ .. คุณผู้อ่านที่รักของผม
ของฝาก : เครื่องแบบนักเีรียนแพทย์ทหารกรีีกที่ผมใส่ในตอนนั้น (ยุคปัจจุบันเปลี่ยนใหม่แล้วครับ) ป้ายชื่อติดเฉพาะตอนอยู่ในโรงพยาบาลครับ
Credit : http://ppantip.com/topic/30507449/comment2236
ตอนที่ผมรู้จักกับคุณยายวิมล (นามสมมติ) นั้น ผมยังเป็นนักเรียนแพทย์ทหารอยู่ที่กรีซ ซึ่งในเวลานั้น แม้แต่ความคิดที่จะไปฝรั่งเศสก็ยังไม่มีอยู่ในหัวของผมเสียด้วยซ้ำ จริงว่าผมเสียใจที่คุณยายเสียชีวิตไป แต่ในตอนนั้น ผมก็ยังไม่สามารถจะเข้าใจความรู้สึกของคุณดา (นามสมมติ) ที่สูญเสียทั้งคุณพ่อและคุณแม่รวมถึงน้องตาล (นามสมมติ) จนวันที่คุณพ่อได้จากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ (http://ppantip.com/topic/30507449/comment1671)
ในบทนั้น ผมได้เขียนไว้ว่า
ผมนั่งมองวันที่ผ่านไป แล้วสิ่งที่ไม่เคยพูดกับผมในอดีต ก็กลับมาพูดกับผมได้อีกครั้ง เรื่องของน้องตาลนั้น หากจะให้ผมเล่าแบบสองย่อหน้าจบ ผมก็สามารถทำได้ แต่ที่ผมใส่ใจในรายละเอียดเพราะผมต้องการจะสื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้าใจว่า อย่าเพิ่งด่วนสรุปกับสิ่งที่เราไม่รู้ความจริงทั้งหมด
ชีวิตของคนหนึ่งคน ใช้เวลานานและทรัพยากรมากมายกว่าที่จะเติบใหญ่ โตขึ้นมามีที่ยืนในสังคม ซึ่งชีวิตนั้นก็โยงใยต่อไปกับอีกหลายชีวิตที่ตามมา
ผมหวัังว่าคุณผู้อ่านจะสามารถเข้าใจถึงสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อในเรื่อง ความซับซ้อนของชีวิตเรา (Complexity of Life) ในส่วนความสัมพันธ์ของมนุษย์และการเชื่อมต่อระหว่างกัน (Human Relationships and Interconnectivity) ว่าเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ที่ชวนให้ค้นคว้าเพียงใด
การศึกษาและประสบการณ์ชีวิตที่ผมได้รับมาจนถึงตอนนี้นั้น ได้หล่อหลอมให้ผมโตขึ้นมาเป็นนักคิด (Thinker) และั้เมื่อคุณพ่อของผมบอกให้ผมมองกลับเข้าไปในสังคมที่ผมเกิดมา (Social Origins) และ ถามผมว่า "ผมพร้อมหรือยังที่จะทำอะไรสักอย่าง?"
คำตอบของผมในตอนนั้น คือ "ผมไม่มีเวลาครับพ่อ" และ "คงไม่มีใครใส่ใจเรื่องของผมหรอก"
หลังจากที่ผมสูญเสียความตั้งใจที่มี จากการถูกปฏิเสธจากฝ่ายการตลาดของสำนักพิมพ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองไทย ผมก็ดีใจที่สามารถค้นพบวิธีพิสูจน์ว่าพอจะมีใครบ้างไหมที่จะสนใจในสิ่งที่ผมนำเสนอ
ผมดีใจที่มิตรภาพไร้พรมแดน (Friendship beyond frontier) นั้นทำได้มีอยู่จริง ไม่ได้เป็นเพียงความเพ้อฝันอย่างที่ใึครบางคนได้่กล่าวไว้ เพราะถึงแม้เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสได้มาพบกันในชีวิตจริง แต่เราก็ยังสามารถที่จะอยู่เป็นเพื่อนร่วมสังคมออนไลน์ในที่แห่งนี้ ที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจกันและกันได้ จริงไหมครับ?
ขอผมได้พักหายใจก่อนนะ ถ้าคืนนี้ผมยังเขียนไหวผมจะกลับมาเล่าต่อ ถ้าผมสลบไปก่อนก็ขอติดไว้เป็นตอนเช้าวันพรุ่งนี้เหมือนเดิมนะครับ
ขอบคุณนะครับ .. คุณผู้อ่านที่รักของผม
ของฝาก : เครื่องแบบนักเีรียนแพทย์ทหารกรีีกที่ผมใส่ในตอนนั้น (ยุคปัจจุบันเปลี่ยนใหม่แล้วครับ) ป้ายชื่อติดเฉพาะตอนอยู่ในโรงพยาบาลครับ
Credit : http://ppantip.com/topic/30507449/comment2236
แสดงความคิดเห็น
รวดเดียวจบ....โศกนาฏกรรมรัก (ของ ๒ นักเรียนไทย) ณ กรุงปารีส ... โดย ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กำเนิดศิริ
สำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านใหม่ให้ไปเริ่มอ่านความเห็นที่ 1 ก่อนนะคะเลื่อนลงไปเรื่อยๆจะเจอช่วงแรกๆนั้นจะเป็นสุดยอดความเห็นค่ะเดี๋ยวจะสับสน
ดิฉันทำกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อการอ่านและได้ทำการขออนุญาตคุณหมอเรียบร้อยแล้ว คุณหมอท่านก็ว่าทำสำเนาเก็บไว้ให้ด้วยเพราะคุณหมอเขียนสดทุกครั้ง ดิฉันหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อท่านอื่นๆด้วยและอย่าลืมไปให้กำลังคุณหมอที่กระทู้ต้นฉบับด้วยนะคะ
http://ppantip.com/topic/30507449