.......................กองทุนอ้อยฯคาดปีหน้าแบกหนี้ 3 หมื่นล้าน หลังราคาน้ำตาลตลาดโลกตก เผย มิ.ย.นี้เตรียมกู้ 1.6 หมื่นล้าน อุ้มชาวไร่อ้อย หวั่นพัวพันหนี้ฤดูกาลหน้า ด้านภาคอุตสาหกรรมชี้กระทบผู้ส่งออก 1.5 หมื่นล้าน โดนบาทแข็งซ้ำ หากแข็ง 1 บาท/ดอลลาร์ มูลค่าหาย 3.5 พันล้าน
แหล่งข่าวในสำนักงานกองทุน อ้อยและน้ำตาลทราย (สกท.) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตอนนี้ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกตกต่ำลงเหลือประมาณ 17 เซนต์ต่อปอนด์ จากฤดูกาลที่ผ่านมา (2555/2556) ราคาประมาณ 23 เซนต์ต่อปอนด์ คาดการณ์ว่าฤดูกาลหน้า (2556/2557) สกท.จะต้องแบกรับภาระ
ที่หนักมาก เพราะแนวโน้มราคาน้ำตาลในตลาดโลกในฤดูกาลหน้าไม่น่าจะเกิน 20 เซนต์ต่อปอนด์ ส่งผลให้ สกท.อาจต้องกู้เงิน เพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
"ฤดูกาลที่แล้ว ราคาอ้อยขั้นต้นอยู่ที่ 950 บาทต่อตัน ซึ่งต้องมีการนำเงินกองทุนมาอุดหนุนในส่วนเพิ่มเติม 160 บาทต่อตัน หากราคาน้ำตาลในตลาดโลกตกต่ำเช่นนี้จะส่งผลให้ฤดูกาล 2556/2557 การคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นจะได้ราคาไม่ถึง 900 บาทต่อตัน จึงมีความเป็นไปได้ว่า สกท.จะต้องอุดหนุนเงินเพิ่มเติมไม่ต่ำกว่า 200 บาทต่อตัน ถ้าฤดูกาลหน้ามีปริมาณอ้อยทั้งหมด 100 ล้านตัน เท่ากับว่า สกท.จะต้องกู้เงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เนื่องจากชาวไร่อ้อยเรียกร้องว่าต้นทุนสูงถึง 1,200 บาทต่อตัน"
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกตกต่ำ เนื่องจากประเทศบราซิลผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของโลกได้ผลิต น้ำตาลออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากทำให้น้ำตาลล้นตลาด ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกตกต่ำ โดยขณะนี้ราคาซื้อขายล่วงหน้าจนถึงเดือนมีนาคม 2557 อยู่ที่ 18.07 เซนต์ต่อปอนด์ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศที่ไทยสามารถปลูกอ้อยได้ถึง 100 ล้านตัน
"สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ สกท.จะต้องแบกรับภาระจากเงินกู้ค่อนข้างมาก เนื่องจากฤดูกาล 2555/2556 จะต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อชดเชยส่วนต่าง 160 บาทต่อตัน จำนวน 15,920 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายนนี้ ตามกำหนดกว่าจะใช้หนี้เงินก้อนนี้หมดต้องใช้เวลากว่า 14 เดือน ส่วนฤดูกาลหน้า 2556/2557 หากจะต้องกู้เงินเพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท จะทำให้หนี้ของ สกท.อาจสูงถึง 30,000 ล้านบาท เพราะต้องรวมกับหนี้ของฤดูกาล 2555/2556 ที่ได้มีการชำระไปบ้างแล้ว จะทำให้ สกท.ต้องแบกรับภาระหนี้จำนวนมาก"
ด้านนายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล ผู้บริหาร 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลกล่าวว่า ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกตกต่ำส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมส่งออกน้ำตาลของไทย แน่นอน เพราะราคาลดลง 1 เซนต์ต่อปอนด์ จะกระทบประมาณ 5,280 ล้านบาท ถ้าฤดูกาลนี้ราคาในตลาดโลกอยู่ที่ 20 เซนต์ต่อปอนด์ เท่ากับหายไป 3 เซนต์ต่อปอนด์ ทั้งอุตสาหกรรมจะกระทบประมาณ 15,000 ล้านบาท กรณีนี้คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 30 บาทต่อดอลลาร์
"ยังมีปัญหา เรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำตาล เพราะหากแข็งค่าขึ้น 1 บาทต่อดอลลาร์จะกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกน้ำตาล ประมาณ 3,500 ล้านบาท ซึ่งแต่ละแห่งต้องมีการปรับตัวด้วยการลดต้นทุนการผลิต การขายไฟฟ้า และการทำอัตราซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินล่วงหน้า ซึ่งในภาคอุตสาหกรรมยังพอปรับตัวได้ แต่ที่หน้าเป็นห่วงคือชาวไร่อ้อยที่อาจจะได้รับผลกระทบหนักจากราคาน้ำตาลที่ ตกต่ำ" นายณัฎฐปัญญ์กล่าว
อนึ่งสถานการณ์น้ำตาลในตลาดโลกขณะนี้มี ปริมาณส่วนเกินปี 2012/13 ที่ 7.1 ล้านตัน เป็นปริมาณที่สูง จะทำให้การผลิตลดลงจนถึงปี 2014 และเพื่อลดน้ำตาลที่เกินดุล จะต้องทำให้ราคาน้ำตาลในช่วงไตรมาส 4 มีเสถียรภาพก่อนตลาดจะอยู่ในช่วงขาลงในช่วงเริ่มฤดูการผลิตหน้า
ที่มา
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1369658232#
กองทุนอ้อยหนี้อ่วม3หมื่นล้าน ราคาน้ำตาลโลกดิ่ง-บาทแข็ง!
แหล่งข่าวในสำนักงานกองทุน อ้อยและน้ำตาลทราย (สกท.) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตอนนี้ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกตกต่ำลงเหลือประมาณ 17 เซนต์ต่อปอนด์ จากฤดูกาลที่ผ่านมา (2555/2556) ราคาประมาณ 23 เซนต์ต่อปอนด์ คาดการณ์ว่าฤดูกาลหน้า (2556/2557) สกท.จะต้องแบกรับภาระ
ที่หนักมาก เพราะแนวโน้มราคาน้ำตาลในตลาดโลกในฤดูกาลหน้าไม่น่าจะเกิน 20 เซนต์ต่อปอนด์ ส่งผลให้ สกท.อาจต้องกู้เงิน เพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
"ฤดูกาลที่แล้ว ราคาอ้อยขั้นต้นอยู่ที่ 950 บาทต่อตัน ซึ่งต้องมีการนำเงินกองทุนมาอุดหนุนในส่วนเพิ่มเติม 160 บาทต่อตัน หากราคาน้ำตาลในตลาดโลกตกต่ำเช่นนี้จะส่งผลให้ฤดูกาล 2556/2557 การคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นจะได้ราคาไม่ถึง 900 บาทต่อตัน จึงมีความเป็นไปได้ว่า สกท.จะต้องอุดหนุนเงินเพิ่มเติมไม่ต่ำกว่า 200 บาทต่อตัน ถ้าฤดูกาลหน้ามีปริมาณอ้อยทั้งหมด 100 ล้านตัน เท่ากับว่า สกท.จะต้องกู้เงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เนื่องจากชาวไร่อ้อยเรียกร้องว่าต้นทุนสูงถึง 1,200 บาทต่อตัน"
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกตกต่ำ เนื่องจากประเทศบราซิลผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของโลกได้ผลิต น้ำตาลออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากทำให้น้ำตาลล้นตลาด ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกตกต่ำ โดยขณะนี้ราคาซื้อขายล่วงหน้าจนถึงเดือนมีนาคม 2557 อยู่ที่ 18.07 เซนต์ต่อปอนด์ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศที่ไทยสามารถปลูกอ้อยได้ถึง 100 ล้านตัน
"สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ สกท.จะต้องแบกรับภาระจากเงินกู้ค่อนข้างมาก เนื่องจากฤดูกาล 2555/2556 จะต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อชดเชยส่วนต่าง 160 บาทต่อตัน จำนวน 15,920 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายนนี้ ตามกำหนดกว่าจะใช้หนี้เงินก้อนนี้หมดต้องใช้เวลากว่า 14 เดือน ส่วนฤดูกาลหน้า 2556/2557 หากจะต้องกู้เงินเพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท จะทำให้หนี้ของ สกท.อาจสูงถึง 30,000 ล้านบาท เพราะต้องรวมกับหนี้ของฤดูกาล 2555/2556 ที่ได้มีการชำระไปบ้างแล้ว จะทำให้ สกท.ต้องแบกรับภาระหนี้จำนวนมาก"
ด้านนายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล ผู้บริหาร 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลกล่าวว่า ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกตกต่ำส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมส่งออกน้ำตาลของไทย แน่นอน เพราะราคาลดลง 1 เซนต์ต่อปอนด์ จะกระทบประมาณ 5,280 ล้านบาท ถ้าฤดูกาลนี้ราคาในตลาดโลกอยู่ที่ 20 เซนต์ต่อปอนด์ เท่ากับหายไป 3 เซนต์ต่อปอนด์ ทั้งอุตสาหกรรมจะกระทบประมาณ 15,000 ล้านบาท กรณีนี้คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 30 บาทต่อดอลลาร์
"ยังมีปัญหา เรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำตาล เพราะหากแข็งค่าขึ้น 1 บาทต่อดอลลาร์จะกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกน้ำตาล ประมาณ 3,500 ล้านบาท ซึ่งแต่ละแห่งต้องมีการปรับตัวด้วยการลดต้นทุนการผลิต การขายไฟฟ้า และการทำอัตราซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินล่วงหน้า ซึ่งในภาคอุตสาหกรรมยังพอปรับตัวได้ แต่ที่หน้าเป็นห่วงคือชาวไร่อ้อยที่อาจจะได้รับผลกระทบหนักจากราคาน้ำตาลที่ ตกต่ำ" นายณัฎฐปัญญ์กล่าว
อนึ่งสถานการณ์น้ำตาลในตลาดโลกขณะนี้มี ปริมาณส่วนเกินปี 2012/13 ที่ 7.1 ล้านตัน เป็นปริมาณที่สูง จะทำให้การผลิตลดลงจนถึงปี 2014 และเพื่อลดน้ำตาลที่เกินดุล จะต้องทำให้ราคาน้ำตาลในช่วงไตรมาส 4 มีเสถียรภาพก่อนตลาดจะอยู่ในช่วงขาลงในช่วงเริ่มฤดูการผลิตหน้า
ที่มา http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1369658232#