วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งเดือนของวันฌาปนกิจคุณยายของเรา เราเลยมีเรื่องมาแบ่งปัน
เนื้อเรื่องอาจจะยาวนิดนึง ใครไม่อยากอ่าน สามารถข้ามไปได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เกือบสองปีก่อน เราเป็นนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ในมหาลัยที่ต่างประเทศ ด้วยความที่ยังไม่แตกฉานในภาษาใหม่รวมถึงวิชาการที่เรียน และความตั้งใจความขยันไม่มากพอ พร้อมทั้งยังดูแลตัวเองได้ไม่ดี เรียนๆเล่นๆ สนใจเรื่องอื่นมากกว่าการเรียน ทำให้เรามีปัญหาด้านการเรียน ถึงขั้นที่ว่า เราสอบตกหลายวิชา และ เราจำเป็นต้องซ้ำชั้น ตอนนั้นเราทำใจไม่ได้เลย เพราะ เป็นเด็กเรียนใช้ได้ค่อนข้างดีมาตลอด พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็ถึงกับช๊อค ช่วงปิดเทอม พ่อแม่พี่ต้องปลอบเราแบบรายวันกันเลยทีเดียว ชีวิตมันดูมืดมน ตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้า ไม่สามารถหาทางออกดีๆให้กับสถานการณ์ตรงนั้นได้ แต่พอเวลาผ่านไป ความคิดตกผลึกมากขึ้น คำสั่งสอนของพ่อแม่เริ่มเข้าหัว เราก็ทำใจและผ่านชีวิตข่วงนั้นมาได้
(อาจจะฟังดูไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย แต่สำหรับเรา ณ ตอนนั้น มันใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้ว เพราะ เราไม่เคยผ่านเหตุกาณ์ผิดหวัง ท้อแท้แบบหนักๆมาก่อนในชีวิต เหมือนคนไม่มีภูมิคุ้นกันชีวิต เจออะไรเข้ามากระทบ ก็จัดการหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้)
เวลาผ่านไป เราใช้ชีวิตในฐานะเด็กเรียนซ้ำชั้น ทำใจยากมาก ไม่มีความสุขเลย รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ามากๆ และก็เสียดายเวลาหนึ่งปี ที่ต้องมาชดใช้ให้กับการไม่เอาใจใส่การเรียนในทีแรก ความกลัวการสอบตก ตามมาหลอนเราทุกครั้งที่มีการสอบ แต่สภาพจิตใจก็ดีขึ้นเรื่อยตามกาลเวลา
ครึ่งปีที่แล้ว เราทราบข่าวการป่วยของยายเรา ท่านได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะที่สี่ เราที่เรียนทางด้านนี้มา พอทราบว่า มันหมายความว่าอย่างไร พอทราบเช่นนั้น เราบินกลับไทยทันที ไปดูแลท่าน ปรนนิบัติทุกอย่าง ช่วงนั้นท่านยังพูดคุยได้อยู่ แต่ก็เริ่มเดินและนั่งไม่ได้แล้ว จากการได้คุยกับแพทย์ ประเมินว่า ท่านสามารถอยู่ได้อีกประมาณสี่เดือน เราก็บินกลับมาสอบปลายภาค ไม่นานก็ปิดเทอมฤดูหนาว เราก็บินกลับไทยอีก ช่วงนี้ อาการท่านทรุดลง แต่ได้รับการรักษาที่ดีมาก ทำให้คุณภาพชีวิตท่านจัดว่าดีถ้าเทียบกับสิ่งที่ท่านเผชิญอยู่ มหาลัยเปิดอีก เราก็ต้องบินกลับมาลงทะเบียน แต่เราบอกกับที่บ้านไว้แล้วว่า ถ้าเราจัดการเรื่องการเลือกวิชาต่างๆอะไรเสร็จ เราจะกลับไทยทันที ไปดูแลท่าน ไปเยี่ยมท่าน ไปให้ท่านเห็นหน้า ไปอยู่ใกล้ๆท่าน เพราะเรารู้ว่า เวลาแบบนี้ มันมีจำกัด เราไม่อยากเสียโอกาสที่จะได้อยู่ดูใจท่านไป
เรายังย้อนกลับไปคิดเลยว่า ถ้าเราไม่ได้เรียนซ้ำชั้น เราจะมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดท่านในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตท่านหรือไม่
คำตอบคือ ไม่มีทางแน่นอน เพราะ ถ้าเราไม่ได้เรียนซ้ำชั้น เราจะต้องกำลังเรียนอยู่ปีห้า ซึ่งการเรียนหนักหนาสาหัสมาก ต้องเรียนทุกวัน และยไปโรงพยาบาลทุกอาทิตย์ ขนาดเวลาพักผ่อนยังแทบจะไม่มีเลย แล้วจะบินกลับไทยไปมาได้อย่างไร
ระยะเวลาตั้งแต่ทราบว่าท่านป่วย จนถึงวันที่ท่านเสีย รวมๆแล้วประมาณห้าเดือนเต็ม ระหว่างนั้น เราบินกลับไทยไปสามครั้ง อยู่ไทยไปทั้งหมดสามเดือน
ถามว่าสำหรับเราเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมันน้อยไปไหม มันน้อยไปมาก เพราะเราอยากมีเวลาอยู่กับท่านให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
แต่ถามว่า เราทำเต็มที่ไหม เราทำเต็มที่แล้ว ตามที่สถานการณ์จะเอื้ออำนวย
เราไม่ได้จะบอกว่า การเรียนซ้ำชั้นของเรานั้นเป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่เราต้องการจะสื่อก็คือ
สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ เราไม่ควรไปจมทุกข์อยู่กับมันนานจนเกินไป
ควรจะเรียนรู้จากมัน แล้วทำใจให้เร็วที่สุด ชีวิตจะได้ดำเนินต่อไปได้อย่างสดใส
และแม้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันจะทำให้คุณเสียใจหรือเสียดายแค่ไหนก็ตาม ไม่ใครรู้หรอกว่าในอนาคต เหตุการณ์อาจจะให้โอกาสอะไรในชีวิตคุณได้บ้าง
สำหรับเรา การเรียนซ้ำชั้น ทำให้เรารู้ข้อบกพร่องของตัวเอง และทำให้เราเรียนรู้ที่จะรับมือกับความผิดหวังได้
ทำให้เราที่เคยซึมเศร้า เรียนรู้ที่จะปรับจิตใจของตนเอง จนเราหายจากอาการเหล่านั้นได้เอง
ให้เราเรียนรู้ที่จะสู้กับปัญหา แก้ปัญหา ไม่หนีปัญหา ยอมรับความจริง
ทำให้เรารู้ว่า สุดท้ายคนที่รักและหวังดีกับเราที่สุดคือครอบครัว
และอีกสิ่งที่การเรียนซ้ำชั้นให้เราก็คือ เวลา ให้เรากลับไปดูใจยายได้
ถามว่าเสียใจไหม ที่ไม่ประสบความสำเร็จด้านการเรียนจนทำให้ต้องเรียนซ้ำชั้น
เสียใจและผิดหวังมาก
แต่ถ้าถามว่าเสียดายเวลาไหม ที่ทำให้เราต้องเรียนจบช้ากว่าคนอื่นไปหนึ่งปี
ไม่เสียดายเลย
เพราะ เวลาเหล่านั้น เราได้ใช้มันไปกับการดูแลคนที่เรารักมากที่สุด ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเค้า
...สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ...
[แชร์ประสบการณ์] ...สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ...
เนื้อเรื่องอาจจะยาวนิดนึง ใครไม่อยากอ่าน สามารถข้ามไปได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถามว่าเสียใจไหม ที่ไม่ประสบความสำเร็จด้านการเรียนจนทำให้ต้องเรียนซ้ำชั้น
เสียใจและผิดหวังมาก
แต่ถ้าถามว่าเสียดายเวลาไหม ที่ทำให้เราต้องเรียนจบช้ากว่าคนอื่นไปหนึ่งปี
ไม่เสียดายเลย
เพราะ เวลาเหล่านั้น เราได้ใช้มันไปกับการดูแลคนที่เรารักมากที่สุด ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเค้า
...สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ...